ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
ตะลุยป่าใต้ ที่ เขาเจ็ดยอด เขาเจ็ดยอด จ.ตรัง
    • โพสต์-1
    Tammy •  สิงหาคม 27 , 2560

    ตะลุยป่าใต้ ที่ เขาเจ็ดยอด

    เราออกเดินทาง เพื่อค้นหาสิ่งที่ตื่นเต้น..
    เราเสพติดมัน และออกเดินทาง หาสิ่งที่ตื่นเต้นมากขึ้น และมากขึ้น..

    ..การเดินป่าในดินแดนของป่าใต้ครั้งแรก..

    ..หลายๆ คนคงเคยได้ยิน คำร่ำลือของ "ดินแดนป่าใต้" ป่าดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์ทั้งพืชพรรณต่างๆ สัตว์ป่าน้อยใหญ่ แหล่งน้ำ รวมถึงสภาพผืนป่าที่มีความงามตามแบบฉบับของธรรมชาติ และด้วยความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ใครหลายๆ คนคงอยากมาสัมผัส หรือหลายคนเคยสัมผัสมาบ้างแล้ว 

    และ "เทือกเขาบรรทัด" หลายคนคงเคยได้ยินชื่อนี้เป็นอีกหนึ่งเทือกเขาทางฝั่งใต้ของประเทศไทย แล้ว "เขาเจ็ดยอด"ล่ะเคยได้ยินรึเปล่า..?? เห็นเค้าบอกว่า วิวด้านบนนั้นช่างสวยงาม สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลสุดลูกหูลูกตา มองเห็นสันเขาหลายลูกที่วางเรียงรายทับซ้อนกันไปเรื่อยๆ ที่นี่เลยได้ถูกขนานนามว่า "เขาเจ็ดยอด" ที่ในตอนเช้าจะมีไอหมอกพุ่งทะยานขึ้นมาปกคลุมเหล่าภูเขาที่เห็นอยู่เบื้องหน้า และค่อยๆ กระจายหายไปเผยให้เห็นผืนป่าสีเขียวขจี  และถ้าหากได้เห็นภาพแบบนี้ด้วยตาตัวเองคงจะดีไม่ใช่น้อย และแล้วโอกาสนั้นก็มาเยือน ในวันที่เราจะไป "ตะลุยดินแดนแห่งป่าใต้ ที่เขาเจ็ดยอด" หนึ่งในเทือกเขาบรรทัด..

    ............................................................................................................................................

    ตะลุยป่าใต้ ที่ "เขาเจ็ดยอด"
    ตรัง
    1 - 2 เมษายน 2560
    ( 2 วัน 1 คืน )

    เช้าวันที่ 1 เมษายน 2560

    .."ยินดีต้อนรับสู่จังหวัดตรัง" เราเจอป้ายนี้ในช่วงเช้าวันใหม่ เรามาถึงแล้วจังหวัดตรัง แวะทานข้าวเช้า และซื้อสิ่งของที่จำเป็นพวกขนม ช็อคโกแลต ต่างๆ ที่จะสามารถผ่อนคลายความเมื่อยและเหนื่อยล้าระหว่างทางเดินได้บ้าง หลังจากนั้นเรามุ่งหน้าสู่ "น้ำตกหนานสะตอ"

    **สำหรับเส้นทางเดินขึ้นเขาเจ็ดยอด หลักๆ มี 2 เส้นทาง คือ (เราเลือกเดินขึ้นที่ตรังและลงที่ตรัง นอนพัก 1 คืน)
             - ทางฝั่งจังหวัดตรัง เริ่มต้นเดินจากบริเวณน้ำตกหนานสะตอ ระยะทางโดยประมาณ 11 - 12 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 7 - 8 ชั่วโมง แล้วแต่สภาพอากาศ และสภาพผืนป่า
             - ทางฝั่งจังหวัดพัทลุง จุดเริ่มเดินบริเวณน้ำตกไพรวัลย์  หากขึ้นทางพัทลุงจะต้องพักแรมระหว่างทางก่อน 1 คืน แล้วเดินทางต่อวันรุ่งขึ้นจนถึงยอดเขาในช่วงบ่ายๆ  ขากลับสามารถลงทางจังหวัดตรังได้

     

    **สำหรับคนนำทาง จะเป็นชาวบ้านในพื้นที่ เป็นทั้งคนนำทางและช่วยแบกสัมภาระ (ไม่แน่ใจว่าจำกัดน้ำหนักเท่าไหร่ ส่วนมากจะช่วยพวกเราแบกเสบียง ของส่วนใหญ่เราแบกเป้กันเอง) สามารถติดต่อน้าเฉลียวได้เลย (080 536 6347) สามารถติดต่อได้ทั้งที่ขึ้นทางตรังและพัทลุง เดี๋ยวน้าจัดการหาคนนำทางให้ ส่วนใหญ่แล้วรู้จักกันหมด สำหรับราคาวันที่เราไป วันละ 1,000 บาทต่อคนต่อวัน**

     

    **อุปกรณ์ที่ต้องมี และเตรียมไป** (เท่าที่นึกได้นะ^^)
        - เปลนอน บนนั้นค่อนข้างมีพื้นที่จำกัด แนะนำเป็น "เปลนอน" จะดีกว่า แต่ถ้าจะเป็นเต็นท์ก็ได้ แต่พื้นที่ค่อนข้างจำกัด อาจกางได้ประมาณ 3 - 4 หลังแค่นั้น หรือจะนอนเป็นลักษณะปลาทูก็ได้ (ที่สำคัญนอนเปล หลีกเลี่ยง "ทาก" ได้ดีว่า เต็นท์")
        - อาหารและอุปกรณ์ทำอาหาร คำนวนแต่ละมื้อให้พอดี เพื่อจะไม่ให้หนักจนเกินไป เพราะต้องเดินเป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมง
        - น้ำดื่ม พกขวดเล็กหรือขวดใหญ่ ก็ได้ เพราะระหว่างจะมีแหล่งน้ำสามารถเติมน้ำได้  (บริเวณที่เราไปพักมีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน สามารถใช้น้ำตรงนั้นกินและใช้ได้)
        - ถุงเท้ากันทาก อันนี้จำเป็นมาก เรียกว่า "ฝ่าดงทาก" ก็ว่าได้ ควรมี
        - สเปรย์หรืออะไรก็ได้ไว้ป้องกันทาก อาจเป็นสเปรย์กลิ่นตะไคร้ไว้ค่อยฉีดใส่ตัวเองเรื่อยๆ ระหว่างเดิน เพื่อป้องกันทากเข้าใกล้5555
        - ขนมต่างๆ ที่สามารถกินแก้เหนื่อยหว่างทาง แนะนำอาจเป็นช็อคโกแลต ลูกอมรสหวานๆ ระหว่างทางได้มีแรงเดิน
        - rain cover อันนี้ไว้ใช้คลุมกระเป๋าเป้อีกที ต่อให้กระเป๋ากันน้ำยังไงก็ตาม ป่าใต้เป็นป่าดิบชื้น ที่ฝนพร้อมจะตกได้ทุกเมื่อ
        - รองเท้า ควรเป็นรองเท้าที่สามารถเดินป่าและลุยน้ำได้ และเกาะพื้นเป็นอย่างดี เพราะทางชันค่อนข้างเยอะ และต้องเดินลุยน้ำ
        - ไฟฉาย แนะนำเป็นไฟฉายคาดหัวจะดีมาก เพราะบางช่วงอาจต้องใช้มือเกาะเกี่ยว
        - ยา จำพวกยาคลายกล้ามเนื้อ ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาแก้แพ้
        - เชือก เผื่อใช้ในยามจำเป็น
        - กระเป๋ากันน้ำใบเล็ก หากจำเป็นต้องมีกระเป๋าสะพายข้างเล็กๆ ไว้ใส่พวกโทรศัพท์ต่างๆ 
        - ฟรายชีท และกราวชีท ฝนตกแน่นอน
        - กระดาษทิชชูทั้งแบบเปียกและแบบแห้ง
        - ถุงขยะ
    **เสื้อผ้า ข้าวของที่จำเป็นที่จะจัดใส่กระเป๋าเป้ ควรใส่ถุงซิปล็อคกันน้ำให้เรียบร้อย**

    ..น้ำตกหนานสะตอ..
    เราทั้งหมดประมาณยี่สิบกว่าชีวิต พร้อมกับคนนำทาง 3 คน ที่เดินทางมารอเราอยู่แล้ว บริเวณนี้มีร้านค้าเป็นซุ้มเล็กๆ ประมาณ 4 - 5 ร้าน มีพวกขนม น้ำอัดลม ส้มตำ ลูกชิ้นปิ้ง ฯ ไว้คอยขายให้แก่นักท่องเที่ยว มีห้องน้ำประมาณ 2 ห้อง สามารถใช้งานได้ ทุกคนแยกย้ายทำภารกิจส่วนตัว เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เตรียมสัมภาระที่จะแบก เปลี่ยนชุด เพื่อให้พร้อมที่จะเริ่มเดินทางไปสู่ "เขาเจ็ดยอด"..

    รูปภาพมีทั้งจากกล้องตัวเองและกล้องสมาชิกคนอื่นๆ ^^

     

    • โพสต์-2
    Tammy •  สิงหาคม 27 , 2560

    เริ่มมมม..
    Day 1 วันที่ 1 เมษายน 2560

    เมื่อเริ่มเดินทาง เส้นทางในช่วงแรกยังคงสบาย ไม่ถึงกับชัน ลักษณะทางมีทั้งทางราบ มีเนินเล็กๆ ให้ค่อยๆ เดินขึ้นไป มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่านพร้อมกับมีสะพานไม้วางไว้ให้เดินข้าม ลักษณะป่ายังคงเป็นป่าโปร่งโล่งไม่ทึบมากเท่าไหร่ มีต้นไม้น้อยใหญ่สลับกันระหว่างทางไปทำให้แสงแดดที่สาดส่องลงมาอย่างทั่วถึง แต่ก็ไม่ได้ร้อนมากนัก เส้นทางเดินยังเห็นเป็นรอยทางเดินชัดเจนทำให้เดินได้ง่าย บ้างมีรอยล้อรถมอเตอร์ไซต์ เพราะเส้นทางนี้เป็นทางที่จะไปยังสวนผลไม้ของชาวบ้าน

    ยังยิ้มได้^^

     

     

    แม้ทางจะไม่ชันมากแต่ด้วยระยะทางที่เดินมาก็ถือว่าไกลพอสมควร เริ่มเหนื่อย หอบ กันบ้างแล้ว บวกกับแสงแดดในยามใกล้เที่ยงและเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลังเล่นเอาร้อนได้เหมือนกัน

    photo : P'Koh

     

    เดินมาเรื่อยๆ เข้าสู่สวนลองกองของชาวบ้าน แวะพัก ดื่มน้ำให้หายเหนื่อยก่อน

    พ้นจากสวนผลไม้ทางก็เริ่มชันขึ้น เริ่มเข้าสู่พื้นที่ป่ามากขึ้น ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นสลับกันไปมา แสงแดดที่ส่องถึงตอนนี้ก็เริ่มน้อยลงแล้ว บรรยากาศเริ่มเย็นสบาย มีลำน้ำไหลผ่าน สามารถแวะพักให้เติมน้ำได้ บางช่วงต้องเดินไต่บนโขดหินน้อยใหญ่เพื่อข้ามไปยังอีกฝั่ง

    เมื่อเริ่มเข้าสู่พื้นที่ป่า สัมผัสได้ว่าเป็นป่าดิบชื้นทันที ใบไม้ใบหญ้าต่างเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำฝนที่คาดว่าน่าจะตกในค่ำคืนที่ผ่านมา พื้นดินที่บางช่วงถูกคลุมไปด้วยใบไม้แห้งที่ร่วงลงสู่พื้นดินเองก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ทำให้เรายิ่งต้องเดินระมัดระวังกันมากขึ้นเพราะอาจลื่นได้ง่าย เรายังคงเดินลุยกันไปเรื่อยๆ ฝนเองก็ทำท่าโปรายลงมาทุกที ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนเริ่มไร้แสงแดดแล้วเพราะต้นไม้ที่สูงใหญ่มากมายต่างพากันแผ่กิ่งก้านใบปกคลุมทั่วทั้งผืนป่าให้ดูหนาแน่นไปหมด

    ระหว่างทางมีแหล่งน้ำ เป็นธารน้ำเล็กๆ เป็นน้ำธรรมชาติที่ใสสะอาดเย็น ไหลผ่านน้ำตกชั้นเล็กๆ ลงมา มีโขดหินน้อยใหญ่ที่เปรียบเสมือนเป็นโต๊ะรับแขกให้นั่งแวะพักเอนหลังพิงเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์จากที่แห่งนี้ให้เต็มปอด 

    ถ่ายตอนข้ากลับ

    photo : Tum

     

    "ทาก" เจ้าบ้านที่ดีของผืนป่า ออกมาคอยต้อนรับขับสู้ตั้งแต่ทางที่เริ่มชื้นแฉะแล้ว เหล่าบรรดาทากทั้งหลายต่างออกมาชูคอตั้งตรงคอยต้อนรับเหล่าบรรดานักเดินป่าที่เดินผ่านไป ไม่รู้ว่าคนไหนที่เหล่าทากจะเข้าไปทักทาย บางตัวที่ไม่ได้สังเกตเห็นก็พุ่งเกาะขึ้นมาบนรองเท้า แล้วพยามไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ถือว่าโชคดีทุกครั้งที่มีถุงเท้ากันทากมันยังพอช่วยได้บ้าง(รึเปล่า) มันทำให้เห็นทากชัดเจน และเข้าถึงตัวเรายากขึ้น แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจเพราะบางตัวก็เก่งเกินบรรยายค่อยๆ คืบคลานเข้าไปภายในเสื้อผ้าและเกาะกินเลือดจนตัวป่องพองอย่างง่ายดาย เรียกว่าเดิน "ฝ่าดงทาก" ก็ว่าได้ แต่ยิ่งมีทากนั้น ยิ่งแสดงให้เห็นถึงผืนป่าที่มีอุดมสมบูรณ์ของป่าใต้แห่งนี้ได้มากเลยทีเดียว 

    ระหว่างทางก็จะมีเสียง "กริ๊ด" และกลิ่นตะไคร้ลอยฟรุ้งอยู่ตามทางเดิน คงไม่ใช่ใครที่ไหน เราเองกับพี่อีกคนที่ไหงเรามาเดินด้วยกันได้ "พี่นที" ผู้ที่พก สเปรย์ตะไคร้ไว้ข้างกายเสมอเหมือนอาวุธข้างกายที่เอาไว้ต่อกรกับเหล่าทาก และเราเองก็พลอยได้อานิสงส์นั้นด้วย เราเดินด้วยกันและกริ๊ดทากด้วยกันตลอดทาง หากใครเจอทากเกาะถ้าไม่ใช้ไม้เขี่ยออกก็ต้องวิ่งไปหาคนอื่นเอาออกให้แทน555

    ต้องป้องกันแค่ไหนกันถึงจะพ้นทางเธอ "ทาก"

    photo : P'Sit

     

    เห็นภาพนี้แล้วดูเหมือนกลุ่มโจรป่ามากกว่ากลุ่มนักเดินป่าซะอีก

    photo : Tum

     

    ระหว่างทางเราพบเจอต้นไม้มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนขนาดใหญ่ที่ดูแล้วน่าจะใช้คนมากกว่า 10 คนโอบ และนั่นยิ่งแสดงให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแห่งนี้เช่นกัน

    ถ่ายตอนขากลับ

    photo : p'sak

     

    เราทุกคนต่างเดินฝ่าดงทาก ฝ่าสายฝนที่ดูเหมือนจะเริ่มโปรยลงมาอีกครั้ง และดูแล้วน่าจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งฝนตกเท่าไหร่ยิ่งทำให้เดินลำบากยิ่งขึ้น และด้วยพื้นที่ค่อนข้างลื่นเพราะตรงพื้นเป็นเศษซากใบไม้แห้งที่ร่วงลงมาคลุมดิน บวกกับสายฝนค่อยๆ ลบรอยเท้าหรือร่องรอยที่เคยมีคนเดินไป มันยิ่งทำให้มองเห็นทางเดินได้ลำบาก เพราะมองไปทางไหนก็เป็นต้นไม้แบบเดียวกันเกือบหมด เราต้องคอยทำสัญลักษณ์ไว้ตามทางเรื่อยๆ เพื่อให้คนที่เดินตามหลังมาสามารถสังเกตทางเดินและเดินตามได้ง่าย และไม่หลงทางกัน คนนำทางเองก็แบ่งคนตามระยะทางที่ทุกคนอยู่และมีเดินล่วงหน้าเพื่อไปดูเส้นทางข้างหน้า..

    ฝนที่เริ่มตกลงมาอย่างกระหน่ำ และดูทีท่าว่าจะไม่หยุดเสียด้วย บวกกับคนนำทางของเราแจ้งว่าต้องเร่งฝีเท้ากันหน่อย เพราะเราต้องข้ามลำธาร หากฝนแรงกว่านี้มีน้ำป่าไหลมาตามธารน้ำจะทำให้เราข้ามไม่ได้เลย เมื่อเร่งฝีเท้าบวกกับกระเป๋าสัมภาระที่สะพายไว้ด้านหลัง และเดินทางมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง "แมง" (ทุกคนจำแมงได้ดีจากการเป็นตะคริวในครั้งนี้)เพื่อนร่วมชะตากรรมในการเดินป่าครั้งนี้เกิดเป็นตะคริวระหว่างทาง เพื่อนคนอื่นๆ ต้องช่วยกันนวด และคอยประคองเพื่อให้ถึงธารน้ำก่อนน้ำป่าไหลบ่ามา..

    ในที่สุดเราเดินทางมาถึงธารน้ำ แต่ไม่ทันเสียแล้ว กระแสน้ำเชี่ยวกราดไหลตามลำธารอยู่เบื้องหน้า ทำให้เราต้องหยุดพัก เพื่อรอเวลาให้ไหลช้าลงแล้วจึงข้ามธารน้ำนี้ไป เราจึงพักทานมื้อกลางวันกันตรงนี้ บรรยากาศโดยรอบมีเสียงฝนพรำลงมาไม่ขาดสาย หากมองไปด้านบนก็มองไม่เห็นท้องฟ้า ไม่มีแสงแดดส่องลงมา เห็นเพียงกิ่งก้านของต้นไม้สูงใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มันยิ่งทำให้ครึ้มไปหมด

    นอกจากเสียงฝนก็มีเสียงน้ำไหลแรงๆ ที่ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะช้าลงบ้าง เรานั่งทานข้าวกลางวันและพูดคุยกันเพื่อรอเวลา และดูเหมือนว่าที่ที่เราอยู่ทากก็ชุมซะเหลือเกิน เหมือนเป็นชุมชนทากขนาดเล็กเลยก็ว่าได้ บ้างก็มีเสียงกริ๊ดของการกลัวทากเป็นช่วงๆ ซึ่งนั้นก็สร้างเสียงหัวเราะได้ดีในเวลาแบบนี้ แค่นึกถึงตอนนั้นก็สนุกมากแล้ว..

    photo : P'Sak

     

    เวลาผ่านไปราว 2 - 3 ชั่วโมง ฝนเริ่มหยุดตก แต่น้ำป่ายังคงไหลบ่าแรงอยู่ แต่ก็ถือว่าเบาลงกว่าในตอนแรก เมื่อดูเวลาแล้วเราต้องข้ามฝั่งแล้วละ ถ้าช้ากว่านี้เราถึงจุดที่พักดึกแน่นอน และการเดินป่าในเวลากลางคืนก็ค่อนข้างอันตรายอีกด้วย 

    ..โชคดีที่ผู้ชายในทริปนี้ดูเหมือนจะมีมากกว่าผู้หญิง เหล่าบรรดาชายล้วนต่างเดินไปสำรวจยังลำธารพร้อมเชือกที่คาดว่า "เราต้องข้ามฝั่งได้แล้วนะ" โดยใช้เชือกขึงให้แน่นที่ต้นไม้ฝั่งที่เราอยู่และปลายอีกทางต้องนำไปขึงมัดกับต้นไม้อีกฝั่ง เพื่อที่จะข้ามลำธารนี้ไป ทุกอย่างดูทุลักทุเลยากลำบากด้วยกระแสน้ำที่ไหลแรง แต่พวกเขาก็สามารถทำได้โดยนำเชือกไปมัดยังฝั่งตรงข้าม และถัดจากเชือกที่ขึงไว้มีก้อนหินขนาดใหญ่วางเรียงกันอยู่ แต่วางเรียงกันไปไม่ถึงอีกฝั่งเลยต้องใช้และหาท่อนไม้ขนาดใหญ่มาวางเรียงต่อกันไปให้ถึงอีกฝั่ง เพื่อเดินลำเรียงกระเป๋าไป โดยมีผู้ชายในกลุ่มและคนนำทางเดินไปมาเพื่อขนกระเป๋าของแต่ละคนไปก่อน โดยฝั่งตรงข้ามมีสองถึงสามคนคอยรับกระเป๋า ซึ่งมองดูแล้วกระแสน้ำที่กระทบกับท่อนไม้ที่วางพาดไว้ก็ยังถือว่าแรงเหมือนกัน ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยข้ามฝั่งโดยใช้เชือกอีกเส้นมัดช่วงสะโพกไว้(ทำเชือกเหมือนตอนไต่เขา) และมือทั้งสองข้างก็ต้องจับเชือกที่ขึงไว้ให้แน่น โดยมี "พี่เก่ง" ที่จะคอยพยุงไปจนถึงอีกฝั่ง พูดได้เลยว่าทริปนี้ "โหด มันส์ ฮา" ของจริงเลย พอตอนข้ามรู้สึกว่าตัวเองเป็นซุปเปอร์แมนเลย มือสองข้างจับเชือกแน่นส่วนขาทั้งสองลอยปลิวไปกับสายน้ำ เหมือนกำลังจะบิน5555 

    อีกฝั่งจะมีคนที่ข้ามไปก่อนแล้วยืนเอนเชือกเพื่อทวงน้ำหนัก เพื่อให้เชือกสวนกระแสกับน้ำไว้

    อีกฝั่งก็จะมีคนรอรับ

    ภาพนี้เป็นภาพตอนขากลับ สภาพตอนไม่มีน้ำป่าไหลมา

    photo : Ali

    • โพสต์-3
    Tammy •  สิงหาคม 27 , 2560

    เมื่อเราข้ามธารน้ำกันมาอย่างทุลักทุเล เล่นเอาทุกคนเหนื่อยและหมดแรงกันเลย แต่ก็ใช่ว่าจะใกล้ถึงนะ มันแค่ครึ่งทางเท่านั้นเอง เวลาก็ล่วงเลยมาน่าจะประมาณสี่หรือห้าโมงเย็นได้ ขวากหนามข้างหน้าก็มีให้เราต้องข้ามและฟันฝ่ากันต่อไป

    photo : P'Koh

     

    เราเดินตามทางเกาะกลุ่มกันมาเรื่อยๆ ก็เจอธารน้ำ แวะพักเติมน้ำ น้ำที่นี่ดื่มแล้วเย็นชื่นใจมากอาจเพราะเป็นน้ำจากธรรมชาติ ผ่านลำธาร ผ่านกลุ่มต้นไม้น้อยใหญ่มาเรื่อยๆ ระหว่างทางก็จะมีต้นไม้ล้มระเนระนาดทั้งต้นเล็กต้นใหญ่ อาจเพราะฝนที่ตกกระหน่ำมาเมื่อคืน หรือฝนพรำที่เพิ่งหยุดไป เราเดินข้าม เดินลอดกันไป บางช่วงก็เป็นต้นไม้ใหญ่ที่ล้มขวางทางที่ดูแล้วน่าจะล้มมาเป็นเวลานานแล้วเพราะลำต้นที่แห้ง เราปีนข้ามกันอย่างทุลักทุเล ไม่รู้ว่าท่อนไม้ที่ขวางนั้นสูงใหญ่ หรือเพราะขาคนข้ามมันสั้นกันแน่555 บางช่วงเราต้องเดินฝ่ากิ่งไม้ใบหญ้าต่างๆ ตามทางมาเรื่อยๆ เหล่าบรรดากองทัพทากก็ทยอยมาตอนรับอยู่เรื่อยๆ เช่นกัน ยิ่งใกล้ค่ำ ยิ่งเดินใกล้ถึงจุดที่พักรู้สึกว่าทากจะดุกว่าเดิม ตัวใหญ่กว่าเดิม ไม่รู้คิดไปเองไหม555 

    แสงตะวันที่ส่องลอดเข้ามาเพียงเล็กน้อยตอนนี้เริ่มค่อยๆ เบาแสงลงเรื่อยๆ บ่งบอกเวลาได้ดีว่าตอนนี้ใกล้ค่ำแล้ว คนนำทางบอกเราทุกคนว่าอีกประมาณ   2 - 3 ชั่วโมง ก็จะถึงจุดที่พักแล้ว พยายามอย่าให้เราเดินทิ้งช่วงกันเยอะมากเพราะการเดินทางกลางคืนค่อนข้างอันตราย "แมง" ตะคริวกำเริบอีกครั้ง เพื่อนคนอื่นๆ ต้องช่วยพยุงและนวดให้เป็นระยะ และคอยถือกระเป๋าให้ จนในที่สุดแสงตะวันก็ลับหายไป ทำให้ทุกคนติดอยู่ในความมืดท่ามกลางป่าดงพงไพร "ไฟฉาย" สิ่งเดียวในเวลานี้ที่สามารถที่จะพอให้แสงสว่าง เราพากันฉายไฟไปตามทางเดินเรื่อยๆ ในความมืดในเวลานี้ยิ่งทำให้ดูเหมือนร่างกายเริ่มอ่อนล้าจากการที่เดินมาทั้งวัน กับร่างกายที่เปียกโชกจากสายฝนพร้อมกับสัมภาระบนหลังที่แบกสะพายไว้ แต่เราก็ยังคงเดินมุ่งหน้ากันต่อไป..

    ลักษณะทางในความมืดในตอนนั้นทางค่อนข้างชันมาก เหมือนกำลังเดินไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ หนึ่งมือถือไฟฉาย อีกหนึ่งมือพยายามที่จะที่หายึดเกาะตามทางเพื่อพยุงตัวเองให้เดินขึ้นไปตามทางที่ชัน ซึ่งลักษณะทางดูเหมือนจะเป็นเส้นตรงอยู่แล้ว แม้มีแสงไฟในมือที่คอยส่องไปตามทางแต่ด้วยลักษณะทางเดินที่มองออกค่อนข้างยากพอสมควรว่าจะต้องเลือกเดินทางไหน เพราะมันมีรอยทางให้เห็นน้อยมาก สองมือก็คอยควานหาที่เกาะ ที่ยึดเหนี่ยวตลอดทาง ยังดีที่ยังมีกิ่งไม้รากไม้ที่โยงยาวกันออกมาให้เกาะตามทางเรื่อยๆ อีกใจก็นึกกลัวทาก555 กลัวไปเกาะกิ่งไม้แล้วมือไปจับโดนความนุ่มนิ่มเข้าคงกริ๊ดในความมืดแบบนั้นอยู่เป็นพัก แต่โชคยังดีถือว่าโชคยังเข้าข้างที่ไม่เจอเกาะที่มือเลยส่วนอื่นค่อยว่ากัน เพราะตอนนี้ต้องรีบเดิน เร่งฝีเท้าให้มากขึ้น ให้รีบถึงจุดที่พักเสียที..

    เมื่อเดินพ้นทางที่โคตรชันกับการเกาะกิ่งไม้มาเรื่อยๆ ตอนนี้เหมือนอยู่บนสันเขา ค่อยๆ เดินตามไหล่เขาจากอีกลูกไปยังอีกลูก ด้านหน้ามองเห็นแสงไฟของคนที่เดินนำไปก่อน มองย้อนไปด้านหลังก็มีแสงไฟของคนที่กำลังเดินตามมา ยังดีที่ทางบนไหล่เขานี้ยังพอมองเห็นรอยทางที่ชัดเจนทำให้เราเดินทางได้ง่ายกว่าตอนแรกที่เป็นทางชัน เราเดินตามทางตามแสงไฟไปเรื่อยๆ มีลมโชยพัดมาเป็นระยะคอยกระทบผิวหน้ากระทบผิวกายให้รู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลายในความมืดขึ้นมาบ้าง เดินไปไปเรื่อยๆ เหมือนต้องเดินตามไหล่เขาลงไป ผ่านแอ่งน้ำเล็กๆ แหวกหญ้าต้นเล็กๆ ไปตามทางเดินและในที่สุดเราก็ถึงจุดที่พักของเรา เราถึงกันประมาณสองทุ่มได้ ส่วนคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยกันมาถึง..

    บริเวณจุดพักค้างแรม ที่เราต้องนอนกันในคืนนี้มีธารน้ำสายเล็กๆ ไหลผ่าน พอให้สามารถใช้น้ำตรงนั้นได้ เมื่อถึงที่พักทุกคนช่วยกันกางเต็นท์กลางไว้สำหรับทานมื้อค่ำ และนอนแบบปลาทู หาทำเลในการผูกเปล บางคนนำเต็นท์มาก็หาทำเลในการกางเต็นท์ ซึ่งมันจะมีพื้นที่จำกัด บริเวณที่เราอยู่จึงสามารถกางเต็นท์ได้ประมาณ  2 - 3 หลัง และเต็นท์กลางอีก 1 หลัง จากนั้นก็จัดการสำรวจร่างกายตนเอง ว่ามีเหล่ากองทัพทากน้อยอาศัยอยู่บนตัวรึเปล่า หลายๆ คนก็เจอภายในเสื้อผ้าบ้าง บนหัวบ้าง ตามคอ ตามขาบ้าง ตามรองเท้าบ้าง ส่วนมากที่เจอก็ตัวใหญ่ๆ ตัวป่องๆ ทั้งนั้น พอเจอต้องหาทางกำจัดเพราะบริเวณนั้นเราต้องให้เป็นที่นอนหลับ อาจจะเข้าหูหรือปาก หรือบริเวณอื่นที่เป็นอันตรายได้

    photo : P'Koh

     

    และแล้วเราก็ได้เวลาในการทานมื้อค่ำกันช่วงห้าทุ่มกว่าเกือบเที่ยงคืน เรียกได้ว่าเป็น "ข้าวเย็นตอนเที่ยงคืน" กินข้าวกันไปคุยกันไปมันก็เพลิน เสียงหัวเราะเคล้าไปกับเสียงฝนที่โปรยลงมา สักพักเราก็แยกย้ายกันตามที่พักเพื่อพักผ่อน Zzz

     photo : P'Koh

     

    อรุณสวัสดิ์ในรุ่งเช้าของวันใหม่..
    เสียงฝนยังคงโปรยปรายลงมาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้า ถือเป็นเสียงขับกล่อมให้นอนหลับสบายเป็นอย่างดี อากาศในยามเช้าที่นี่ช่างสดชื่น ไร้เสียงดัง ไร้กลิ่นควันรถและมลพิษต่างๆ ถ้าที่บางกอกเจอแบบนี้ทุกวันคงดีไม่น้อย ทุกคนเริ่มทยอยกันตื่น ทยอยลุกจากที่นอนที่แสนสบาย(รึเปล่า..??)

    ตื่น ตื่น ตื่น มีเรื่องแล้วววววว..555

    ภาพเหล่านี้จากพี่เก๋

     

    • โพสต์-4
    Tammy •  สิงหาคม 27 , 2560

    Day 2 วันที่ 2 เมษายน 2560
    เช้าวันที่สดใสรอเราอยู่..
    เช้าวันนี้เราจะขึ้นไปบนยอดดอยกัน ไปสัมผัสความงามบนยอดเขาเจ็ดยอดให้เห็นกับตา

    กองทัพต้องเดินด้วยท้อง อาหารเช้าาาาาาา

    photo : P'Sak

     

    หลังจากทานมือเช้ากันเสร็จ ก็เก็บของเตรียมตัวกลับ แต่เราจะแวะขึ้นชมวิวดูบรรยากาศบนยอดนั้นก่อนเดินลง

    **จากจุดที่เราพัก เดินขึ้นไปบนยอดใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาทีก็ถึง**
    ช่วงที่เรากำลังเก็บของเตรียมตัวนั้นก็มีกลุ่มที่ขึ้นจากทางพัทลุงกำลังเดินลงมาจากบนยอด ซึ่งกำลังจะเดินกลับโดยจะใช้ทางลงที่ตรัง เราไม่รู้จักกันหรอก แต่เราก็ทักทายกันด้วยรอยยิ้มเพื่อนร่วมทาง หลังจากนั้นเราเดินแบกสัมภาระขึ้นมา และวางมันไว้ก่อนจะเดินไปบนยอดเขา

    เราค่อยๆ เดินขึ้นมาบนยอดเขาเรื่อยๆ ทางก็ลื่นเล็กน้อยเนื่องจากฝนตก มองไปรอบๆ เห็นภูเขาด้านหลังหลายลูกวางเรียงกัน มองเห็นทางเดินเด่นชัดในระยะไกล พร้อมกับหมอกที่ค่อยๆ กระจายตัวไปทั่วภูเขา

     

    บนยอดดอยตรงนี้มีลมพัดมาอ่อนๆ มีไอหมอกคละคลุ้งไปทั่วภูเขาทั้งหมด มีกลิ่นไอของสายฝนที่โปรยปรายมาในช่วงเช้าและค่ำคืนที่ผ่านมา หมอกบางกลุ่มก็เตรียมที่พุ่งทะยานขึ้นมาให้เห็นและพร้อมที่จะปกคลุมภูเขาที่อยู่เบื้องหน้าได้ทั้งหมด บางกลุ่มก็ลอยไปมาตามสายลมที่พัดไปมาในอากาศ บางทีเผยให้เห็นภูเขาหลายลูกที่มีสีเขียวขจีปกคลุมอย่างสวยงามในแบบของมัน อากาศบนนี้ บรรยากาศตรงหน้านี้ดีเหลือเกิน "เขาเจ็ดยอด" ใช่เราสามารถมองเห็นยอดเขาทั้งเจ็ดลูก นี้มันมากกว่าวิว 360 องศา ด้วยซ้ำ การมาเห็นที่แบบนี้ที่เห็นมากกว่ารูปถ่าย มันช่างงดงามและคุ้มค่าเสมอที่เราเดินทางมา

     

    เราใช้เวลานั่งถ่ายภาพ นั่งวิวตรงหน้า คนอื่นๆ ต่างหามุมถ่ายรูปกันมากมาย และมุมนี้น่าจะเป็นมุมมหาชนก็ว่าได้

    คนนี้พี่คนนำทาง..

    หมดเวลาเสพติดวิวตรงนี้แล้วต้องเดินทางกลับ โดยลงตรงทางตรังที่เดิม เมื่อเราเดินทางมาถึงน้ำตกหนานสะตอ อย่างเหนื่อยหอบและล้ากันไปตามๆ กัน สิ่งแรกที่มาถึงวิ่งไปสั่งน้ำอัดลมเย็นๆ ส่วนในเรื่องที่อาบน้ำ เราอาบน้ำตรงน้ำตก น้ำเย็นสบายคลายเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี เสร็จสิ้นภารกิจเราก็เดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ กัน..


    ขอบคุณมิตรภาพดีๆ อีกครั้ง

    ทุกครั้งที่เราออกเดินทางเรามักจะเจอผู้คนแปลกหน้าเพิ่ม และนั่นเรากลับได้เพื่อนใหม่ ได้มิตรภาพกลับมาด้วยเสมอ มันถือเป็นเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เราออกเดินทาง..^^