เขาสันหนอกวัว ถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี มีความสูงอยู่ที่ 1,767 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นแนวเทือกเขาที่ตั้งอยู่ในผืนป่าฝั่งตะวันตกของ อุทยานแห่งชาติเขาแหลม และยังมีเขตพื้นที่ติดกับทุ่งใหญ่นเรศวร นั่นจึงทำให้ผืนป่าแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์พร้อมทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ามากมาย ทางอุทยานฯ ได้กำหนดให้เปิดเส้นทางเดินป่าชมธรรมชาติ และตั้งแคมป์พักแรมบนเขาสันหนอกวัวได้เพียงปีละ 3-4 เดือนเท่านั้น คือในช่วงเดือนตุลาคม จนถึง เดือนกุมภาพันธ์ (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของแต่ละปี) โดยช่วงเวลานอกจากนั้นก็จะปิดเส้นทาง ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผืนป่า และระบบนิเวศน์ได้ฟื้นตัวตามธรรมชาติ โดยที่นี่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นเขาเองตามลำพัง ต้องมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ พาขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งหากใครต้องการจะมาพิชิตสันหนอกวัว ก็ต้องรอช่วงที่ทางอุทยานฯ ประกาศฤดูท่องเที่ยว และทำการโทรจองให้ทัน ซึ่งแต่ละรอบจะรองรับผู้เดินทางได้ประมาณ 100 คน / วัน
จุดชมวิวป้อมปี่ จะเป็นจุดรวมตัว และเป็นจุดลงทะเบียนสำหรับนักท่องเที่ยวที่ทำการจองกับทางอุทยานมาเรียบร้อยแล้ว สำหรับใครที่เดินทางมาไกลเราแนะนำให้เดินทางมาล่วงหน้าซักหนึ่งคืนจะได้ไม่เหนื่อย และไม่ต้องเร่งรีบมากเกินไป เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะเปิดให้ลงทะเบียนในเวลา 08:00 - 09:00 น. เท่านั้น โดยสามารถติดต่อจองบ้านพักกับทางอุทยานฯ หรือจะเช่าจุดกางเต้นท์ที่ป้อมปี่ก็ได้เช่นเดียวกัน เพราะนอกจากจะสะดวกในวันเดินทางขึ้นเขาแล้ว ที่ป้อมปี่ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามขึ้นชื่อ อีกทั้งความสะดวกสบายก็มีพร้อม ทั้งห้องอาบน้ำ ห้องน้ำ ร้านอาหาร และมีลานจอดรถให้บริการ
เมื่อได้เวลาเจ้าหน้าจะทำการแบ่งกลุ่ม โดยเราจะต้องทำการชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดก่อนเดินทาง ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินป่าเขาสันหนอกวัว มีดังนี้
- ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท / คน
- ค่าบริการสำหรับยานพาหนะ (รถยนต์) 30 บาท / คัน
- เจ้าหน้าที่นำทาง 1,200 บาท / กลุ่ม
- ค่ารถรับ - ส่ง 1,200 บาท / กลุ่ม
- ลูกหาบ 1,400 บาท แบกได้ไม่เกิน 30 กิโลกรัม (หากต้องการ)
- ค่าเช่าเต้นท์ และเครื่องนอน (หากต้องการ)
- สำหรับคนที่ไม่จ้างลูกหาบ เต้นท์ และเครื่องนอนควรมีน้ำหนักเบา เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว และอาหารสำเร็จรูปเอาขึ้นไปเท่าที่จำเป็นสำหรับนอนพัก 1 คืน เตรียมน้ำแค่เพียงพอต่อการดื่ม และประกอบอาหาร เพราะด้านบนมีแหล่งน้ำค่อนข้างสะอาดไว้ให้ใช้
- สำหรับคนที่จ้างลูกหาบ จริงอยู่ที่ 30 กิโลกรัมถือว่าเยอะ และเหลือเฟือสำหรับการนำสิ่งอำนวยความสะดวกขึ้นไปด้วย แต่ต้องระวังเรื่องการแบ่งสิ่งของ เพราะเวลาเดินขึ้นเขา ลูกหาบกับเราจะไม่เดินไปพร้อมกัน ลูกหาบอาจล่วงหน้าไปก่อน หรือเราเองอาจถึงจุดกางเต้นท์ก่อนก็ได้ โดยของที่แนะนำให้อยู่ในสัมภาระที่จะติดตัวเราขึ้นไป ได้แก่ น้ำดื่มขวดใหญ่ ประมาณ 1 ขวด, อาหารเที่ยงสำหรับพักทานระหว่างทาง (สั่งจากร้านอาหารที่จุดชมวิวป้อมปี่), ขนม และลูกอม, ทิชชู่เปียก, พลาสเตอร์ปิดแผล, สเปรย์กันแมลง และทาก และเสื้อกันฝน เป็นต้น
เมื่อสมาชิกในกลุ่มพร้อมแล้ว ก็กระโดดขึ้นรถกระบะ โดยใช้เวลาราว 10 - 15 นาที รถก็จะพาเรามาส่งที่จุดเริ่มต้นเส้นทางเดินป่า จุดนี้จะมีป้าย สันหนอกวัว ตั้งตระหง่านรอต้อนรับเหล่าผู้พิชิตทั้งหลายอยู่ เมื่อใจพร้อม สองเท้าพร้อม ก่อนเริ่มเดินเราขอแนะนำให้เลือกไม้ค้ำที่เหมาะมือซักอัน รับรองว่าจะเป็นตัวช่วยที่พึ่งพาได้แน่นอน
"สันหนอกวัว อีก 9 กิโลเมตร" ... ข้อความนี้มันช่างปลุกพลังฮึกเหิมของเราได้เป็นอย่างดี อาจจะเพราะว่าตอนนี้เรายังมีแรงเต็มเปี่ยมอยู่นั่นเอง เดี๋ยวค่อยมาดูอีกทีว่าหลังจากนี้ความมุ่งมั่นสุดพลังนี้จะเริ่มหดหายไปตรงกิโลเมตรที่เท่าไหร่
ช่วงแรกจะยังเดินแบบสบาย ๆ จะเป็นบรรยากาศเชิงเขาป่าไผ่ สลับกับต้นไม้น้อยใหญ่ บรรยากาศค่อนข้างชุ่มชื้น และเย็นสบาย มีทางขึ้นเนิน และทางลาดสลับกันเป็นช่วง ๆ ให้พอเรียกเหงื่อได้เบา ๆ ระหว่างทางเดินจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะ ๆ ไม่ต้องกลัวหลง แต่ถ้าจะให้ชัวร์ และเพื่อความปลอดภัย ก็แนะนำว่าให้เดินเกาะกลุ่มกันไปพร้อม ๆ กับเจ้าหน้าที่นำทางจะดีกว่า จากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดพักที่ 1 และจุดพักที่ 2 สำหรับเรารู้สึกว่ายังสามารถไปได้เรื่อย ๆ ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ แต่พอเริ่มเข้าจุดพักที่ 3 และจุดพักที่ 4 ทางเดินจะเริ่มชัน และเป็นทางชันที่มีระยะยาวขึ้นด้วย ประกอบกับทางเดินก็จะเริ่มแคบ เต็มไปด้วยหิน กับดินชื้น ๆ ซึ่งนั่นทำให้ค่อนข้างลื่น และเดินลำบากขึ้นมาก บอกเลยว่าช่วงนี้เราแทบจะไม่ได้ยินอย่างอื่นเลย นอกจากเสียงลมหายใจที่หอบแรง กับเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นดังกว่าเสียงเดินเสียอีก เพราะฉะนั้น...ใครที่คิดจะมาพิชิตสันหนอกวัว ขอให้ฟิตร่างกายมาให้พร้อม หากมีปัญหาเกี่ยวกับเข่า ขา หรือข้อต่อต่าง ๆ รวมทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจ ความดัน หรือหอบหืด เราไม่แนะนำอย่างแรง และต้องไม่ลืมพกน้ำดื่มให้เพียงพอสำหรับจิบระหว่างทางด้วย
จุดพักบางจุดก็ใกล้กัน บางจุดก็อยู่ไกลกันมาก เราจะใช้วิธีพักจิบน้ำไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ จุดพัก ซึ่งนั่นก็ช่วยให้พอหายเหนื่อยกันได้บ้าง ด้วยระยะทาง และสภาพของเส้นทางเดินป่าแบบนี้หากตั้งใจเดินให้ถึงจุดหมายเร็ว ๆ มากไปจะยิ่งทำให้เราเครียด ซึ่งการได้สนทนากับสมาชิกในกลุ่ม หรือพูดคุยกับเจ้าหน้าที่นำทาง ก็จะทำให้เราเพลินจนลืมเหนื่อยไปได้ ต้องขอบคุณน้องสันติ กับน้องโปเย เจ้าหน้าที่นำทางสายฮาที่มากประสบการณ์ ให้ทั้งคำแนะนำ และข้อมูลความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศน์ในผืนป่าแห่งนี้ รวมถึงมีเรื่องเล่าสนุก ๆ มากมายให้เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันตลอดทาง
เจ้าหน้าที่สันติบอกเราว่า "ต่อไปจะเป็นของจริงแล้วนะ!!" ระหว่างจุดพักที่ 4 ไปยังจุดพักที่ 5 จะมีอยู่หนึ่งเนินที่เป็นที่กล่าวขวัญของเหล่านักเดินทางว่าแสนสาหัสเหลือเกิน นั่นก็คือ เนินหมาถอย คิดดูก็แล้วกัน...ขนาดน้องหมายังต้องยอมถอย แล้วเราจะเป็นยังไง ว่าแล้วก็ขอจิบน้ำเพิ่มอีกนิด สูดลมหายใจเข้า-ออกให้ลึกสุด ๆ เราต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้ เพราะเป้าหมายของเราคือ มื้อเที่ยงแสนอร่อยที่เราอดทนหอบหิ้วขึ้นมา จะได้ถึงเวลาแกะห่อกันที่จุดพักที่ 5 ว่าแล้วก็...ลุย!!!
มาถึงจุดนี้...เรายอมรับเลยว่าอารมณ์ฮึกเหิมในช่วงเริ่มต้นนั้น ตอนนี้เราแทบจะลืมมันไปหมดแล้ว เนินหมาถอย น่ากลัวสมชื่อ ทั้งสูง ทั้งชัน เจ้าหน้าที่ต้องโยงเชือกช่วยไต่ไว้ตามทางเดิน ลื่นบ้าง สไลด์บ้าง ล้มลุกคลุกคลานกันไปพอสมควร จนในที่สุดเราก็พาตัวเองขึ้นมาถึงจนได้ วินาทีที่มองเห็นป้าย จุดพักที่ 5 น้ำตาแห่งความสุขก็ไหลเบา ๆ อยู่ข้างใน เราไม่รอช้า วางกระเป๋า และสัมภาระทุกอย่าง หามุมเหมาะ ๆ พร้อมควานหาห่อข้าว และเสบียงออกมาเติมพลังกันแบบจัดเต็ม "กองทัพต้องเดินด้วยขา กำลังใจจะมาต้องเดินด้วยท้อง" แล้วคุณจะรู้ว่าข้าวห่อแสนธรรมดาจะกลายเป็นมื้อพิเศษระดับมิชลินสตาร์เลยทีเดียวเราใช้เวลาพักที่จุดนี้พอสมควร เติมพลังงานเรียบร้อย ความเหนื่อย และความเมื่อยก็คลายลงไปพอสมควร จากนี้จะเป็นทางขึ้นไปยังสันหนอกวัวแล้ว เราเดินชิล ๆ ได้แค่ครู่เดียว ก็มองไปเห็นป้าย เนินปราบเซียน นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม...จะท้าทายขีดความสามารถกันเกินไปแล้ว แต่โชคดีที่พอจะได้พลังงานคืนมาบ้าง ประกอบกับคำปลอบใจจากเจ้าหน้าที่ว่า หากผ่านจุดนี้ไปได้ต่อไปก็เดินแบบสบาย ๆ แล้ว ได้ยินแบบนั้นเราก็ทุ่มพลังงานทั้งหมดที่มีพาตัวเองผ่านเนินปราบเซียนนี้มาจนได้ และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้หลอกเราแต่อย่างใด พอมาถึงจุดนี้จะเริ่มเดินง่ายขึ้น ความเหนื่อยยังมีบ้าง แต่ก็น้อยลงมาก ทิวทัศน์ระหว่างทางจะเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เนื่องจากจะเป็นช่วงด้านบนสันเขา เราจะมองเห็นทิวทัศน์สองข้างทางเป็นภูเขาลูกน้อยใหญ่สลับเรียงรายกันไปมาไกลสุดลูกหูลูกตา ระยะทางอีกไม่ไกลแล้ว ทางเดินก็เริ่มเดินง่ายขึ้น ทางชัน ทางลาดยังคงมีอยู่ แต่เมื่อคุณผ่านเนินหมาถอย และเนินปราบเซียน มาได้แล้ว รับรองว่าคุณผ่านจุดนี้ไปได้แน่ ๆ ช่วงนี้จะเป็นทางเดินบนสันเขา บางจุดจะแคบมาก และอยู่ริมหน้าผาซึ่งเต็มไปด้วยดินแห้งเป็นฝุ่น และก้อนหินเล็ก ๆ ซึ่งทำให้ลื่นได้ง่าย ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินเป็นอย่างมาก
เราเดินมาซักพักจนเริ่มรู้สึกถึงแรงลมที่พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าเราใกล้มาถึงทางราบบนสันเขาแล้ว ซึ่งก็คือจุดกางเต้นท์นั่นเอง สุดยอด!! ในที่สุดเราก็มาถึงซะที เราใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชั่วโมง เริ่มเดินตอน 9 โมงครึ่ง มาถึงจุดกางเต้นท์บนสันหนอกวัวประมาณเกือบบ่าย 2 ซึ่งบอกเลยว่าวิวทิวทัศน์ตรงหน้าทำเอาเราแทบจะลืมความเหนื่อยทั้งหมดไปเลย เรามองเห็น สันหนอกวัว ที่ตั้งตระหง่านยืนตัวออกไปจากริมหน้าผา เชิดสูงขึ้นจนกลายเป็นเนินลาดชันที่สวยงามแปลกตา ฉากหลังเป็นท้องฟ้าหน้าหนาวที่ทั้งสวย และใส เป็นภาพที่งดงามจับใจ และช่างคุ้มค่ากับความเหนื่อยเสียจริง ๆ เมื่อลูกหาบพาสัมภาระที่เหลือของเรามาถึงแล้ว เราก็จัดการเลือกทำเลเพื่อกางเต้นท์ คำเตือน! บนนี้ลมแรงมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืนลมจะแรงขึ้นอีกหลายเท่า ดังนั้นเต้นท์ที่จะนำมาควรเป็นเต้นท์ที่แข็งแรง กันน้ำ กันลม และต้องลงสมอบกให้แน่นหนาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่หากไม่มั่นใจ แนะนำให้หาทำเลกางเต้นท์ที่ห่าง และอยู่ต่ำจากหน้าผาลงมาหน่อยจะช่วยลดความแรงของลมได้พอสมควร
หลังจากที่เราจัดการในส่วนของที่พักเรียบร้อยแล้ว เราก็เตรียมตัวรวมกลุ่มเพื่อเดินขึ้นสันหนอกวัวรอชมพระอาทิตย์ตก เมื่อเราเดินขึ้นมาถึงด้านบนเราจะพบกับวิวที่สวยสะกด ทุกอย่างดูยิ่งใหญ่อลังการ หุบเขาสีเขียวที่ตัดกับท้องฟ้าที่ไล่เฉดสีจากอ่อนไปเข้ม ด้านล่างเผยให้เห็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ และยังคงมีความหนาแน่นของต้นไม้ใหญ่ ถัดไปทางลาดลงข้าง ๆ จะมีป้าย ผู้พิชิตสันหนอกวัว ซึ่งหากใครมาถึงแล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะมาถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึก ซึ่งจริง ๆ แล้วสันหนอกวัวจะมีทั้งหมด 3 หนอกด้วยกัน หนอกที่เรามองเห็นจากจุดกางเต้นท์ คือ หนอกแม่ และข้าง ๆ หนอกแม่ (จุดตั้งป้ายผู้พิชิต) จะเป็น หนอกลูก ส่วน หนอกพ่อ จะอยู่ถัดไปอีกฝั่ง ซึ่งต้องเดินข้ามเขาไปอีกฟากนึงนั่นเอง ด้านบนนี้ลมพัดแรงมาก และเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มอ่อนแรงลง อากาศหนาวก็เริ่มเข้ามาแทนที่ ทางฝั่งทิศตะวันตกจะเป็นยอดเขาเรดาห์ ซึ่งเบื้องหลังเขาลูกนี้เราจะมองเห็นวิวเขื่อนวชิราลงกรณ์ ที่ปกคลุมไปด้วยแผ่นน้ำขนาดใหญ่ครอบคลุมไปไกลสุดสายตา เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ตกแสงสีส้มก็จะฉาบไปทั่วทั้งภูเขา น้ำในเขื่อนเองก็ส่องประกายระยิบระยับ นั่งมองเพลินจนรู้ตัวเองทีเจ้าดวงอาทิตย์ก็ลับหายไปเสียแล้ว ก่อนที่จะมืดไปกว่านี้เรารีบเดินกลับไปที่เต้นท์ เพื่อเตรียมมื้อเย็น ซึ่งตอนนี้ลูกหาบได้เตรียมน้ำจากแหล่งน้ำ และก่อกองไฟให้เราเรียบร้อยแล้ว
มื้อเย็นเราเน้นอาหารแห้ง และอาหารสำเร็จรูป เนื่องจากพกขึ้นมาง่าย มีน้ำหนักเบา สะดวกต่อการทาน และที่สำคัญคือเราไม่มั่นใจในฝีมือการประกอบอาหารของเราซักเท่าไหร่ เพราะถ้าปวดท้องหนักขึ้นมาจะลำบากทั้งตัวเอง และเพื่อนร่วมทริป เนื่องจากด้านบนนี้ไม่มีห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ มีเพียงฉากกั้นล้อมที่มาพร้อมระบบขุดหลุมเท่านั้น งานนี้เรียกว่าใครมาก่อนมีสิทธิ์ก่อน
อิ่มท้องแล้ว ก็ได้เวลาทำความสะอาดเนื้อตัวกันให้สดชื่นเสียหน่อย เราเลือกพกเป็นทิชชู่เปียกขึ้นมาสำหรับเช็ดเนื้อเช็ดตัว เช็ดหน้า แต่ถ้าใครทนไม่ได้จริง ๆ กับการไม่อาบน้ำ ก็มีน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่ลูกหาบตักมาให้ ก็สามารถแบ่งมาเล็กน้อยเพื่อชำระร่างกายได้ แต่เชื่อเถอะ! ท่ามกลางอุณหภูมิราว 12-14 องศา บวกกับมีลมพัดแรงขนาดนี้ การเช็ดตัวด้วยทิชชู่เปียกยังทำใจลำบากเลย
ท้องฟ้ายามค่ำคืนสวยงามมาก ดวงดาวเปล่งแสงอยู่เต็มท้องฟ้า ดวงจันทร์เองก็เบ่งแสงสู้ไม่ยอมแพ้กันเลย บทสนทนารอบกองไฟผ่านไปเรื่องแล้วเรื่องเล่า ความเพลียพาให้สมาชิกขอตัวไปพักผ่อนกันทีละคนสองคน พรุ่งนี้เรามีนัดกันตั้งแต่เช้ามืด เพราะเราจะเดินข้ามเขาเล็ก ๆ ไปชมความงดงามของพระอาทิตย์ในเช้าวันใหม่ยังสันหนอกวัวตัวพ่อ
ตี 5 ตรงเวลาเป๊ะ เจ้าหน้าที่สันติมาปลุกเราถึงหน้าเต้นท์ "ไปกันพี่...ตี 5 แล้ว" บอกเลยว่านาทีนี้เป็นช่วงเวลาวัดใจ ว่าเราจะไปต่อ หรือนอนรอตรงนี้ แต่ไหน ๆ เราก็ดั้นด้นมาถึงนี่แล้วเราก็ต้องไปให้สุด! ว่าแล้วก็ดีดตัวออกจากถุงนอน คว้าเสื้อกันหนาวที่หนาที่สุดเท่าที่มี แล้วก็พาตัวเองออกจากเต้นท์พร้อมไฟฉาย เดินตามเจ้าหน้าที่ไปยังสันหนอกวัวตัวพ่อ
เมื่อมาถึงก็รู้เลยว่าคุ้มค่าตื่นอย่างแรง ทั่วทั้งหุบเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกขาวที่ลอยผ่านตัวเราไปมา มีต้นกุหลาบพันปีที่อีกไม่กี่เดือนก็พร้อมจะออกดอกสวยงาม เจ้าหน้าที่พาเราเดินไปยังจุดต่าง ๆ เพื่อหามุมสวย ๆ สำหรับถ่ายภาพ ซึ่งบางจุดนั้นค่อนข้างหวาดเสียว แต่ก็เป็นมุมที่สวยงามแปลกตาเป็นอย่างมาก และเพื่อความปลอดภัยเราต้องไม่ลืมข้อสำคัญข้อหนึ่ง คือ หากเจ้าหน้าที่ไม่พาไป ห้ามเดินไปตามจุดต่าง ๆ เองโดยลำพังเด็ดขาด
เราซึมซับบรรยากาศด้านบนนี้อย่างเต็มอิ่มไปพร้อมกับแสงของเช้าวันใหม่มาพร้อมความอบอุ่นที่เพิ่มขึ้นทีละนิด หลังจากนี้ก็ได้เวลาอาหารเช้า และเตรียมตัวเก็บข้าวของเพื่อกลับกันแล้ว และเพื่อเป็นการรักษาความสะอาด และเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ขยะทุกชิ้นที่เรานำขึ้นมาขอความร่วมมือให้ใส่ถุง และนำกลับลงไปทิ้งข้างล่างกันด้วยนะครับ เพื่อที่นักท่องเที่ยวท่านอื่น ๆ ที่มาทีหลังจะได้ยังคงเห็นความสวยงามของธรรมชาติแบบที่เราได้เห็นนี้ไปอีกนาน ๆ และยังไม่เป็นการสร้างปัญหาให้กับระบบนิเวศน์ และสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในผืนป่าแห่งนี้อีกด้วย