ขับ Vespa คู่ใจไปพิชิตบันได 3,790 ขั้นที่ยอดเขาวงพระจันทร์
สวัสดีครับเพื่อนๆ
หลังจากที่ผมเที่ยวบุกป่า ลุยเขา ปั่นจักรยานกันมาแล้ว
ก็เกิดความคิดว่า เฮ้ย .. เรามี Vespa 125 cc คันที่ขับไปทำงานอยู่ทุกวัน
เลยอยากจะลองขับไปออกทริปจากกรุงเทพไปต่างจังหวัดดูสักครั้ง
เพราะเจ้าคันนี้ซื้อมาก็จะครบ 1 ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยเอาไปออกทริปเลย
ก็เลยมองจังหวัดที่ใกล้ๆกรุงเทพเพราะไม่อยากไปไกลมากกว่านี้นัก
เนื่องจากขับไปเองแค่ 2 คนกับแฟนผม เลยเกิดความคิดว่าจะเลือกไปที่นี่แหละ
เพราะกะว่าจะแวะไปหาแม่ผมอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย นั่นก็คือ " ลพบุรี " นั่นเองงงง
แต่เนื่องจากผมไปลพบุรีมาก็หลายครั้ง สถานที่ท่องเที่ยวก็มีน้อยซะเหลือเกิน
ไปมาหมดทุกที่แล้ว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกที่นึงที่ยังไม่เคยไปและน่าสนใจมากๆ
นั่นก็คือ
" เขาวงพระจันทร์ "
"เขาวงพระจันทร์"
.
ตั้งอยู่ในบริเวณวัดเขาวงพระจันทร์ ตำบลห้วยโป่ง อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี
ห่างจากตัวเมืองลพบุรีประมาณ 28 กิโลเมตร เป็นยอดเขาสูงที่สุดในจังหวัดลพบุรี
มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 650 เมตร
โดยการเดินทางขึ้นไปยังยอดเขาวงพระจันทร์จะต้องเดินตามบันไดขึ้นไปสู่ยอดเขา
ซึ่งมีทั้งหมด 3,790 ขั้น (ความยาว 1,680 เมตร) และยังมีบันไดขึ้นต่อไปได้อีก 180 ขั้น
รวมแล้วมีบันไดขึ้นเขาทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 4,000 ขั้น
ซึ่งแพลนในการเดินทางของผมในทริปนี้ก็คือ
ออกเดินทางเช้าวันเสาร์และกลับในเย็นวันอาทิตย์
ซึ่งไปนอนค้างในตัวเมืองลพบุรี 1 คืนก่อน จะได้ไม่เหนื่อยมาก
และอีกเหตุผลนึงก็คืออยากไปเที่ยวทุ่งทานตะวันที่เขาจีนแลด้วย
ผมออกเดินทางจาก กรุงเทพฯ ประมาณ 8.30 น.
โดยปักหมุด Google Map ไปที่ศาลพระกาฬเพราะง่ายดี 555+
โดยผมจะขับไปทางเส้นถนนสายเอเชีย แล้วไปตัดเข้าตรงท่าวุ้ง
เพราะเคยขับรถยนต์ไปเส้นนี้แล้วไปเร็วและง่ายดี
เลขไมล์ก่อนออกเดินทาง พร้อมลุยแล้ววววว !!
เนื่องจากตอนขับรถไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปใดๆทั้งสิ้น เพราะสัมภาระค่อนข้างรุงรัง
ผมเลยขับเรื่อยๆ ใช้ความเร็ว ประมาณ 80-90 km/ชม. จนเริ่มรู้สึกเมื่อยก้นพอสมควร
เลยแวะพักตรง " พุทธอุทยานมหาราช " อ.มหาราช จ.อยุธยากันก่อน
เพราะตอนนี้ท้องเริ่มร้องแล้ว กะว่าแวะหาข้าวกิน เดินถ่ายรูปเล่นซักแปบ
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง !
พออิ่มท้อง หนังตาก็เริ่มหย่อน เอ้ย ! เริ่มมีพลัง ก็มุ่งหน้าต่อ สู่ อ.เมือง จ.ลพบุรีทันที
เพราะเวลาตอนนี้ก็ประมาณ 11.00 น. โมงเเล้ว เดินถ่ายรูปเพลินไปหน่อยฮ่าๆ
ผมขับต่อจาก อ.มหาราช ยาวมาจนถึงทางแยก อ. ท่าวุ้ง แล้วขับต่อไปจนถึงบ้านแม่
เวลาตอนนี้ก็ประมาณ 12.30 น. ซึ่งวันนี้ถือว่าโชคดีมากๆ ที่ไม่ค่อยมีแดดทำให้ไม่ค่อยร้อน
ผมจัดแจงนำของที่ซื้อมาฝากพ่อและแม่ให้ท่าน และนั่งเล่นนั่งคุยกันที่บ้านอยู่สักพักใหญ่ๆ
ทริปนี้ผมไม่ได้นอนค้างที่บ้านแม่ซึ่งอยู่เกือบๆถึง อ. ท่าวุ้ง เนื่องจากค่อนข้างไกลจากจุดที่เราจะไปเที่ยวกัน
และขากลับผมแพลนไว้ว่าจะขับกลับเส้นสระบุรีแทน เลยไปพักแถวๆ Big C ลพบุรี
ออกจากบ้านแม่ ผมขับต่อไปยังที่พัก เช็คอินเข้าที่พัก (ผมพักที่ เค.พี. เพลส ราคาคืนละ 500 บาท)
จัดแจงสัมภาระเสร็จ ทีแรกกะว่าจะมุ่งหน้าไปเขาวงพระจันทร์เลย แต่ดูเวลาแล้วไม่น่าจะทัน
เลยตัดสินใจหาข้อมูลเพื่อไปทุ่งทานตะวันแทน ซึ่งจริงๆช่วงนี้ดอกทานตะวันที่ลพบุรียังไม่บาน
(ผมไปมาเมื่อ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา)
หาข้อมูลเสร็จก็รู้ว่ามีอยู่ไร่นึงที่มีดอกทานตะวันบานแล้ว แต่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ยังดีไม่เสียเที่ยว
ผมจึงขับออกจากที่พักมุ่งหน้าไปยังทุ่งทานตะวัน แถวๆ วัดเขาจีนแล ทันที เพราะเวลาตอนนี้ก็เกือบ 4 โมงเย็นเเล้ว
ผมใช้เวลาขับมาถึงที่ทุ่งทานตะวันประมาณ 20 นาที ซึ่งแสงตอนนี้กำลังสวยงามเลยทีเดียว
แต่ดอกทานตะวันก็จะไม่บานมากนัก ไม่เหมือนกับมาตอนเช้า ๆ ที่จะหันหน้ารับแดดตามชื่อของมัน
ทุ่งทานตะวันที่นี่ค่าเข้าชม 10 บาท เท่านั้น
แชะรูปคู่หูคันเก่งซักหน่อบ
เสร็จแล้วก็เดินลงไปลุยหามุมถ่ายรูปกับดอกทานตะวันทันที
รูปนี้ดูดีเป็นพิเศษ ฮ่าๆ
เราอิ่มเอมกับทุ่งทานตะวันจนฟ้ามืด เลยชวนกันกลับไปยังที่พักเพื่อพักผ่อน
และแพลนในวันพรุ่งนี้ของเราคือ ตื่นไปเขาวงพระจันทร์แต่เช้า แดดจะได้ไม่ร้อน
l
l
เช้าวันอาทิตย์ หลังจากการนอนหลับพักผ่อนเอาแรง
วันนี้จะเป็นอีกวันที่เหนื่อยแน่นอน เพราะแค่คิดถึงบันได 3,790 ขั้น
ลมก็แทบจับแล้ว แต่เราหาได้ท้อถอยไม่ เดินป่าสูงกว่านี้ก็เดินมาแล้ว ลุยยยยย
ไอ้แผนที่บ้านี่จะให้ไปอ้อมทำไมตั้งไกล 555
จากที่พักผมขับมาทางเส้นที่ไป อ.โคกสำโรง ตรงไปยาวๆ ตามแผนที่ไป
จนมาถึงทางเข้า ซึ่งไม่ต้องไปอ้อมตามไอ้แผนที่บ้านี่ เลี้ยวขวาเข้าไปได้เลย
เลี้ยวเข้ามาก็จะเห็น พระพุทธรูปองค์ใหญ่ของวัด อยู่บนเขาไกลๆนั่นแหละ
ทีแรกผมเองก็งง เพราะที่เคยเห็นรูปมา องค์พระพุทธรูปจะเป็นสีขาว
เลยจอดหาข้อมูลอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะกลัวมาผิด 55555+
แต่ดูข้อมูลแล้วก็ที่นี่แหละใช่แน่ๆ แต่เอ๊ะ ! ทำไมองค์พระกลายเป็นสีเหลือง
ตอนหลังผมจึงมาถามจากป้าที่ขายพวงมาลัยแกบอกว่า เมื่อก่อนเป็นสีขาว
เพราะยังไม่มีเงินทุนสำหรับทาสีที่องค์พระ พอมีงานประจำปีทีนึงถึงจะมีทุนมาทาสี
เห็นป้าแกว่าใช้เงินเยอะอยู่และอีกหลายปีกว่าจะเสร็จ เพราะทาสีเหลืองแล้ว
ก็จะทาสีทองทับไปอีกทีนึง ผมก็เลยมาถึงบางอ้อเเละใจชื้นขึ้นว่าไม่ได้มาผิด
ก็แน่ล่ะ ขับมาตั้งไกล ถ้ามาผิด คงโดนแฟนฆ่าตายแน่ๆ >"<
ผมขับตามทางมาเรื่อยๆ ก็เจอเจ้าถิ่นขวางถนนอยู่ เลยจอดรถหลบให้พี่เค้าไปก่อน
แหม่ มีมองหน้า แค่รถสีแดงแค่นั้นเอ๊งงง
หลังจากขับต่อมาอีกสัก 5 นาทีก็มาถึงหน้าประตูวัด จัดแจงหาที่จอดรถ
ซื้อน้ำเตรียมเดินขึ้นไปด้านบนยอด กับบันได 3,790 ขั้นที่จะมาพิชิตในวันนี้
หน้าประตูทางเข้าวัด
แวะไหว้พระก่อนขึ้นเพื่อเป็นศิริมงคล
ไหว้พระเสร็จเดินต่อมาอีกนิด จะเจอกับป้ายนี้ แต่จริงๆยังไม่ใช่จุดเริ่มเดินหรอกนะ
ทางเดินที่นี่มีราวให้เกาะตั้งแต่ยังไม่ถึงทางขึ้น เพราะมีเด็กและคนแก่มาเดินขึ้นเหมือนกัน
เดินจากจุดเมื่อกี๊มา 5 นาที ก็จะเจอกับจุดนี้ซึ่งเป็นจุดเริ่มเดินของจริง
ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึกก่อนเดินซักหน่อย
อะ อ้าวววว หันมาอีกที เจ้าแฟนตัวแสบเดินไปนู่นแล้ว
เดินมาสักพักจะเจอกับป้ายบอกจำนวนขั้นบันได ทุกๆ 500 เมตรเลยล่ะ
ซึ่งระหว่างทางที่เดินขึ้นนั้นจะมีศาลา เป็นที่นั่งพักเป็นระยะๆ
และที่สำคัญมีน้ำ ขนม นม เนยขายซะด้วย (แล้วจะแบกมาจากข้างล่างทำไมฟระเนี่ย)
500 ขั้น เอ๊งงงง
หันไปมองวิวด้านหลัง
1,000 ขั้นแล้ว
1,500 ขั้นแล้ว
สูงขึ้นมาหน่อยวิวเริ่มสวยละ
2,000 ขั้นแล้วววว
2,500 ขั้นแล้วววว
ขอพักหน่อยละกัน ขาเริ่มตึงละ 555+
เดินต่อไป.... 3,000 ขั้นเเล้ววววว อีกนิดเดียววว
พอพ้น 3,000 ขั้นมา ก็เหลืออีกแค่นิดเดียวก็จะถึงแล้ว แต่ขานี่ก้าวจะไม่ออกอยู่แล้ว
เลยต้องค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ ทีละขั้น ๆ เพราะชันเอาเรื่องเหมือนกัน (หรือตรูแก่แล้วฟระ 555+)
และแล้ววววววววว ก็มาถึงจนได้ .... เหงื่อแตกไปตามๆกันนนนน
ด้านบนของยอดเขาวงพระจันทร์จะเป็นรอยพระพุทธบาทให้ผู้คนมากราบไหว้สักการะ
ซึ่งในแต่ละปีจะมีการจัดงาน นมัสการทุกปี ช่วงวันตรุษจีน ช่วงนั้นคนจะเยอะมากกกก
นอกจากนั้นด้านบนนี่มองวิวลงมาจะเห็นเมืองและทุ่งนาด้านล่างรอบๆ
แบบกว้างสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว เป็นวิวที่สวยงามสมกับการเดินขึ้นมาจริงๆ
นอกจากนั้นด้านบนยังมีทางเดินไป ผานางฟ้า เพื่อยกช้างเสี่ยงทายขอโชคด้วย
แต่ผมไม่ได้เข้าไปนะ เพราะ ไม่ได้กะมาเสี่ยงโชคอะไรแค่มากราบไว้รอยพระพุทธบาท
ประกอบกับวันนั้นฟ้าสวยมากๆ ตรงลานจอด ฮ. เลยยืนถ่ายรูปเล่นตรงนั้นสักพัก
ผมกับแฟนใช้เวลาอยู่บนยอดเขาประมาณ เกือบ 2 ชั่วโมง
และก็ได้เวลาเดินลงกลับแล้วเพราะวันนี้ต้องขับรถกลับกรุงเทพฯอีก
ระหว่างเดินลงก็มาเจอกับฝรั่งคนนี้ ซึ่งผมนับถือน้ำใจมากๆ
เพราะแกมีขาเดียว ขาอีกข้างแกใส่ขาเทียม และที่สำคัญ !!.
เเกเดินขึ้นลงแบบนี้ประมาณ 3 รอบเเล้ววววววววว !!!
ผมนี่อึ้งไปเลยครับ คิดว่าแกน่าจะมาฟิตร่างกายแข่งอะไรสักอย่าง
แกฟิตมากๆ ขนาดผมยังหนุ่มยังเเน่น ร่างกายก็ครบ 32 ยังหอบแฮ่กๆ
ขาลงผมเลยแอบขี้เกียจนิดนึง เลยไปซื้อ "ถุงซิ่ง" มาลองดู
แต่ปรากฎว่าจากถุงซิ่ง ผมใช้จนมันเป็น "ถุงช้า"
เพราะคนอื่นที่ลงมาพร้อมกันเค้าเดินนำหน้ากันไปไกลแล้ว
แต่พอใช้คล่องๆ ก็สนุกดีนะเจ้า "ถุงซิ่ง" นี้
(แต่ค่อนข้างอันตรายนะ แนะนำให้เล่นแถวๆที่มันไม่ค่อยชัน)
พอลงมาถึงด้านล่าง ผมก็จัดแจงจัดสัมภาระเพื่อมุ่งหน้ากลับ กรุงเทพฯ
ซึ่งเวลา ณ ตอนนั้นประมาณ บ่าย 2 เห็นจะได้ แดดกำลังร้อนเลยทีเดียว
และผมก็ลืมจับเวลาเดินขึ้นลง ว่าใช้เวลาเท่าไหร่ ขออภัยจริงๆ
พอลงมาด้านล่าง จัดแจงเช็ดหน้าเช็ดตาเก็บสัมภาระเตรียมกลับ
แต่เรายังไม่กลับกรุงเทพฯหรอกนะ เพราะผมรู้มาว่าทางกลับสระบุรี
มีไร่ทานตะวันและไร่ปอเทืองกำลังบานเปล่งปลั่งอยู่ และนั่นคือเป้าหมายของเรา
.
" ไร่คุณปู่ "
.
ว่าแล้วผมไม่รอช้า ปักหมุด Google Map ไปทันที เดี๋ยวจะไม่ทันแสงเย็นนนน
ขับมาประมาณ 1 ชั่วโมงเห็นจะได้ เราก็ถึงที่หมาย " ไร่คุณปู่ "
ที่ไร่นี้ค่อนข้างใหญ่กว่าที่เราไปมาเมื่อวานมาก แถมค่าเข้าเท่ากัน 10 บาท
แต่ที่นี่ได้ทั้งทานตะวันและปอเทืองเลยทีเดียว คุ้มมากกกกกก
อิ่มเอมกับทุ่งทานตะวันและทุ่งปอเทืองไปจนฟ้ามืดกันเลยทีเดียว
ได้เวลาจบทริปของเราแล้วแต่จากไร่คุณปู่ไปกรุงเทพฯ ก็ไกลอยู่พอสมควร
ผมขับรถออกจากไร่คุณปู่ประมาณ 6 โมงเย็น และ ขับกลับมาถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 3 ทุ่ม
และนี่คือตัวเลขการเดินทางทั้งทริปนี้ของเรา
รวมระยะทางทั้งไปและกลับทั้งสิ้น 462 กิโลเมตร
ผมเติมน้ำมันไป 3 รอบ รอบแรก 80 รอบสอง 100 รอบสาม 80
กลับมาถึง กรุงเทพฯ เหลือน้ำมันอีกครึ่งถัง
เบ็ดเสร็จค่าน้ำมันหมดไป 260 บาท
เป็นอันจบทริปที่ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ของผมกับเจ้าคู่หู Vespa
ไว้เจอกันทริปหน้า มีแน่ !!
รักกันชอบกัน ตามมาเที่ยวด้วยกันนะครับ