ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
จากอ่าวมะนาว ถึง เขาล้อมหมวก งบ 500 บาท ขาดตัว!!! (นั่นคือแผนที่วางไว้) เขาล้อมหมวก (Khao Lom Muak) จ.ประจวบคีรีขันธ์
    • โพสต์-1
    Witches •  กรกฎาคม 30 , 2558

     

    ออกตัวก่อนว่า ทริปนี้ ผิดแผนหนักมาก!!! 

    อยากรู้งบทั้งหมดในทริปนี้ แต่ไม่อยากอ่านที่เราเวิ้นเว้อก็ เลื่อนลงไปล่างสุดเลยจ๊ะ 

    แต่ถ้าอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด ก็เริ่มจากตรงนี้เลย...

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    หลังจากได้ทบทวนทุกสิ่งอย่าง ครบถ้วนแล้ว(มั๊ง) ก็ได้ขอสรุปที่ว่า เราจะวาปร่างกายอันเหนื่อยล้านี้ ไปผุดที่ไหนกันดีวะ 

    ในที่สุดหวยก็ไปออกที่ "เขาล้อมหมวก" จ.ประจวบคีรีขันธ์ อย่างเป็นทางการ โดยสมาชิกที่รวบรวมได้ มีด้วยกัน 4 คน คือ เรา(นับก่อน เดี๋ยวจะลืมนับตัวเอง), จุ๋ม เพื่อนสมัยเรียนมหาลัย ที่กะระเตงซ้าย กระเตงขวากันมานาน จนมีช่วงนึงที่คนคิดกันไปว่าอิสองคนนี้มันต้องเป็นผัวเมียกันชัวร์เลย, ไอ้ฟุก รุ่นน้องในสาขา ที่ปัจจุบันผันตัวเองมาเป็นผัวตัวจริงของ จุ๋ม, และ ไอ้วัช รุ่นน้องในสาขาอีกคน และเพื่อนสนิทไอ้ฟุก ที่คนเข้าใจผิดว่ามันคืออดีตศรีภรรยา(หรือสามีก็ไม่แน่ใจ) ของไอ้ฟุก ที่ตอนหลังได้ลดความสัมพันธุ์เป็นเพียงเพื่อนสนิทของกันและกันแทน

    เราเลือกที่จะเดินทางกันด้วยรถไฟฟรี เพราะเราเป็นแฟนคลับอย่างเหนียวแน่นของรถไฟฟรี นอกจากนี้เราได้ลองปรึกษากับสมุดบัญชีดูแล้ว สมุดบัญชีบอกว่า 'มึงไปรถไฟฟรีเถอะ' เราเลยเชื่อตามนั้น โดยขบวนที่เราจะไปกันคือ ขบวน 255 ธนบุรี - หลังสวน

    ก่อนวันเดินทาง เราได้มีการเดินทางไปสำรวจลาดเลาที่สถานีบางกอกน้อยกันก่อน เพื่อดูทางหนีทีไล่ และเวลาที่รถไฟจะออก อย่างที่บอกว่างบจำกัดมาก เลยไม่อยากพลาดอะไร ให้เสียตังค์เล่นๆ ไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่อีกไม่นานก็จะพบว่า ที่มึงทำมาทั้งหมด มันโคตรเปล่าประโยชน์เลยว่ะ

    หลังจากกลับจากไปดูทางหนีที่ไล่ และคำนวนตังค์คร่าวๆ ที่สถานีรถไฟแล้ว เราก็ได้มาปรึกษาหารือ จัดประชุม เขาล้อมหมวกซัมมิท กัน (เว่อกว่านี้ยังมีอีก อย่าเพิ่งตื่นเต้น) เพื่อหาข้อสรุปเรื่องเวลาเดินทาง เวลากลับ เอาเสื้อผ้าไปกี่ชุดดีวะ นอนที่ไหนวะ ราคาเท่าไหร่วะ บุ๊คห้องมั๊ย ถ้าห้องเต็มทำไง ฯลฯ

    จนได้ข้อสรุปมา ว่าเราจะออกเดินทางกันเช้าวันเสาร์ ที่ 11 และกลับวันอาทิตย์ที่ 12 นอนที่โรงแรมยุติชัย เอาเสื้อผ้าไป 3 ชุด ราคาห้องไม่แน่ใจ และไม่บุ๊คด้วย เก๋ามาก ถ้าห้องเต็ม นอนวัดละกัน!!! โดยรวมแล้ว ทริปนี้แผนโคตรแน่น ใครชอบเที่ยวแบบอิมโพไวท์ นี่ไปไกลๆ เลย

    จากนั้นที่เหลือก็คือ นับวันรอ วันเสาร์ที่กำลังจะมาถึง และเมื่อวันเดินทางมาถึง ความผิดพลาดก็ตามมาติดๆ มันพุ่งชนอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใครทั้งสิ้น 

    เช้าวันเสาร์ เรา 4 คนนัดเจอกันที่ เดอะมอล์ บางแค แหกขี้ตามากันตั้งแต่ห่างยังไม่เปิด มาถึง ไอ้วัช นั่งรออยู่แล้วที่ป้ายรถเมล์ มีการทักทาย และกล่าวสวัสดีกันเล็กน้อย พอเป็นพิธี แล้วต่างคนต่างก็กลับเข้าสู่โลกของตัวเอง กันเงียบๆ โดยมีการออกจากโลกของตัวเองมาถาม กันเป็นระยะๆ 

    "เฮ๊ยยย 2 คนนั้น มันตื่นยังวะ"

    "เฮ๊ยยย มันถึงไหนกันแล้ววะ มึงโทรตามดิ"

    แล้วประโยคสุดคลาสสิคของทริปคนเยอะก็วนกลับมาหากูอีกจนได้

    "เฮ๊ยพี่ ผมปวดขี้ว่ะ"

    แล้วมึงจะไปขี้ที่ไหนคะน้องงง ยังไม่ได้ไปไหนเล๊ย ห้างก็ยังไม่เปิด จะให้มันไปปล่อยตรงไหนดีวะเนี่ย _ _!

    "ข้ามไปขี้ฝั่งนู้นมั๊ย มีห้องน้ำอยู่"

    "เออว่ะ งั้นเดี๋ยวมานะพี่" 

    แล้วมันก็รีบไสตูดไปขี้

    ซักพัก จุ๋มกับไอ้ฟุก ก็มาถึง จุ๋ม นี่หน้าอย่างกะตูด เดาได้ไม่ยากว่า พวกมันคงทำสงครามเล็กๆ กันมาแน่นอน 

    ก่อนที่ระเบิดจะลงอีกรอบ 

    "เฮ๊ยยย ขึ้นรถไฟฟรีนี่มัน ต้องใช้บัตรประชาชนป่าววะ"

    "เออ ไม่รู้ว่ะ แต่เวลาไปไหน กูก็เอาไปด้วยตลอดนะ ไม่เคยไปแบบไม่มีบัตรอ่ะ หน้ากูเหมือนพม่า ไม่พกเดี่ยวตำรวจเข้าใจผิด_ _!" (มันเคยเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นพี่สาวชาวพม่า วันหลังจะเล่าให้ฟัง)


    "ไอ้ฟุกไม่ได้เอาบัตรประชาชนมาว่ะ" จุ๋มบอก เสียงนี่หงุดหงิดชัดเจนมาก

    "อ่าว Ship หาย"

    นี่ก็ 7 โมงกว่าแล้ว รถไฟออกจากสถานีบางกอกน้อย 8 โมง 50 ตอนนั้นเริ่มคิดละ มันจะไปทันมั๊ยว๊าาาาา และในที่สุด จุ๋มกะไอ้ฟุกก็ นั่งแท็กซี่กลับไปเอา บัตรประชาชน วัชเดินกลับมา 

    "พี่ 2 คนนั้นมันยังไม่มาอีกเหรอวะ"

    "มาแล้ว กลับไปแล้ว"

    "อ่าว!!!"

    "ไอ้ฟุกลืมบัตรประชาชน"

    "ชิบหายยยยย!!!"
    #Shipหายหนักมาก

    ซักพัก...

    ...

    ...

    ...

    ...

    จุ๋มกับไอ้ฟุกก็พากันกลับมา จุ๋มหน้าบูดกว่าเดิมเป็น 3 เท่า เอาละพวกมึงอย่ามัวมาดราม่า นี่น่าจะไม่ทันรถไฟที่สถานีบางกอกน้อยแล้ว เปลี่ยนไปศาลายาเลยละกัน

    จัดการข้ามฝั่งไปโบกแท็กซี่ฉับไว มุ่งหน้าไปศาลายาโดยพลัน

    พอถึงสถานีศาลายาก็พุ่งไปถามหาตั๋วทันที(จริงๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ ก็ไม่รู้จะรีบทำไมกันก็ไม่รู้ เพราะวันนี้รถไฟเลทไป 20 นาที) จัดการเอาบัตรประชาชนไปแลกตั๋วรถไฟ 4 ใบ(ใช้บัตรไอ้วัชใบเดียวด้วย มันน่าโมโหจริงๆ อุตส่าห์นั่งแท็กซี่กลับไปเอา) แยกย้ายกันไปกินน้ำปัสสาวะ ให้เรียบร้อยแล้วกลับมานั่งรอรถไฟ

    อีกเกือบชั่วโมง!!!

    ความหิวเริ่มทำร้ายไอ้ฟุก และคนอื่นๆ ยกเว้นจุ๋ม เลยงัดเบอร์เกอร์ที่อุตส่าห์หอบมาจากบ้าน แจกจ่ายให้ชาวคณะคนละ 1 หน่วย ก่อนจะหิวจนกินกันเองซะก่อน _ _!

    พอขึ้นรถไฟเราก็เริ่มหาทำเลเหมาะ ที่มีที่ว่าง 4 ที่พอดี และต้องไม่อยู่ติดห้องน้ำ เพราะกลิ่นที่โชยมานั้นสยดสยองหนองคายมาก และนี่เป็นครั้งแรกที่ ได้เดินสำรวจรถไฟไปทั่วขบวน ตั้งแต่ หัวขบวนยันเกือบจะท้ายขบวน  

    รถไฟฟรีที่เรานั่งมากัน เป็นขบวนสั้นๆ ไม่ยาวเฟื้อยเลื้อยเป็นงูเหมือนขบวนที่นั่งไปเชียงใหม่ เมื่อ 3-4 ปีก่อน แต่ก็ยาวพอที่เราจะสามารถเดินเลือกที่นั่งได้อย่างสนุกสนานสำราญใจ(คือเป็นโรคอะไรไม่รู้เวลาขึ้นรถไฟแล้วชอบเดินเล่นในรถไฟ รู้สึกว่ามันสนุกเป็นอะไรที่สนุก เออใช่ แค่เดินเล่นบนรถไฟนี่แหละ) ยิ่งถ้าเกิดเดินไปป๊ะเข้ากับตู้เสบียงนะโหยย รากงอกตู้นั้นไปเลย  

    ในที่สุดเราก็ได้ที่นั่งที่เหมาะ และพอดี เม้ามอยท์กันได้ 2-3 ช่วงโมง แดดเริ่มแรง ถ่านเริ่มหมด เริ่มหิว อะไรเดินผ่านเริ่มน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวเหนียวไก่ย่าง ข้าวกล่อง ผลไม้ ใส้กรอก ฯลฯ  จัดข้าวมาซักกล่องดิ กระเพาไก่ไข่ดาว เอออร่อยว่ะ (แต่ก็ยังไม่สู้ขบวนกรุงเทพฯ – หนองคาย อันนั้นเด็ดดวงมาก เผ็ดน้ำตาไหลพรากๆ เลย แต่โคตรอร่อย)

    พอหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน พวกเราบางคนเข้าสู่โหมดเครื่องบินไปแล้ว แต่ก็ยังไม่แคล้วมีมารคอยสะกิด ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  

    บ่าย 3 ครึ่ง เราก็มาถึงสถานีประจวบฯ ลงมาจากรถกันงงๆ อ่าวถึงแล้วนี่หว่า(เออก็ถึงแล้วน่ะสิ) หาห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันกันเล็กน้อย โรงแรมยุติชัยคือเป้าหมายถัดไป และถ้าพลาดเป้านี้ ก็แปลว่า เป้าต่อไปคือ วัดใดวัดหนึงแถวๆ นี้แหละ    

    แต่ครั้งนี้พวกเราค่อนข้างจะโชคดี เพราะยังเหลืออีก 1 ห้องถ้วน แต่จำกัดให้เข้าพักได้แค่ 2 คนเท่านั้น ต้องเพิ่มเตียง จ่ายเพิ่มอีก 100บาท ก็เรียบร้อยบรรยากาศภายในโรงแรม ค่อนข้างคลาสสิก มีความเก่า และเก๋า อยู่ในตัว ไม่โบราณจนหลอน ต่อให้มาคนเดียวก็ยังไม่หลอน แต่ให้ความรู้สึกเหมือนมาบ้านยายที่ต่างจังหวัด ตรงล็อบบี้มีโต๊ะตัวใหญ่ ให้นั่งพัก หรือจะนั่งคุยกัน ก็ตามสะดวก มีทีวีให้ดูด้วย ตรงนี้ มีคอม 1เครื่อง ถัดไปเป็นร้านกาแฟ น่ารัก ราคาน่าจะย่อมเยา ด้วยความที่โรงแรมนั่นเป็นโรงแรมเก่า แขกที่มากพักส่วนใหญ่เลยจะเก่าด้วย อาทิ คุณตาชาวต่างชาติตรงห้องฝั่งตรงข้าม หรือจะเป็น คุณลุงชาวญี่ปุ่นในห้องถัดไป ไม่รู้ว่าอีกฟากของโรงแรม เป็นยังไง แต่ฟากนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้เฒ่า มันก็เลยดูอบอุ่นเหมือนมาพักกับญาติผู้ใหญ่ จะทำอะไรก็เกรงใจ คุณลุงคุณตาก็นิดนึง ระหว่างที่เดินทาง เราคุยกันว่า ถ้ามาถึงแล้วเวลาเหลือ เราจะขึ้นเขาช่องกระจกไปดูวิวกัน แต่กว่าพวกเราจะเช็คอิน เก็บของ บิดขี้เกียจกันอีกประมาณ 20 นาที จากนั้นก็ค่อยๆ สลับกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ล่อไปเกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ใช้เวลากันคุ้มค่ามากจริงๆ ท้องใส้ก็เริ่มจะปั่นป่วน หาอะไรกินกันก่อนมั๊ย??   พวกเราเดิน ข้ามสี่แยกใกล้ๆ โรงแรม ไปซ้ายมือ ดูเหมือนจะมีตลาดนัด แต่...เค้าเพิ่งจะตั้งร้าน!!   งั้นไปขึ้นเขากันก่อน พวกเราเดินหิ้วท้อง เลี้ยวซ้าย ตรงไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปที่เขาช่องกระจก ไม่นาน ก็ถึงเขาช่องกระจก จุดนี้เราจะเริ่มรู้สึกได้ถึงการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพี่น้องลิง ที่มารอคอยดักปล้นอาหารและน้ำดื่ม หรืออาจจะมีบางท่านซวยโดนปล้นโทรศัพ์มือถือกันมาแล้ว เพราะ 1 ในพวกเราเอง ก็เกือบได้ถอยโทรศัพท์เครื่องใหม่เหมือนกัน   ด้านหน้ามีรูปปั่นลิงขนาดใหญ่(เรียกอนุสาวรีย์ลิง ได้มั๊ย) ตรงนี้มีลิงที่เวลสูงกว่าตรงที่เราเจอที่ทางเข้า เพราะพี่แกสามารถวิ่งมาขู่กรรโชกทรัพย์ด้วยตัวเองเลย เรียกว่ากล้ามาก ตรงนี้ ไอ้วัช เกือบเสียโทรศัพท์ไป แต่ความโหดที่เหนือกว่าลิงก็ทำให้สามารถรักษาโทรศัพท์ไว้ได้ หลังจากเดินหลง จนเกือบตกทะเล พวกเราก็เพิ่งรู้ว่า เฮ๊ย ทางขึ้นมามันต้องไปอีกทางนึงว่ะ เราต้องเดินวกกลับมาทางเดิม เพื่อขึ้นเขาช่องกระจก ทางขึ้นนั้นไม่มีอะไรยาก เพราะมีบรรไดให้ปีนขึ้นไปเรื่อยๆ ข้างบนเป็นจุดชมวิว ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้า...ตลอดเส้นทางไม่มีกองโจรลิง รอดักปล้นอยู่เป็นระยะๆ          เส้นทางขึ้นเขาช่องกระจก ที่ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ธรรมดา แต่พอลองเดินเข้าจริงๆ โอ้ แม้เจ้า หายใจไม่ทันเลยทีเดียว ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วง ที่ประจวบฯ จัดงานกีฬา อะไรซักอย่าง ทำให้มีนักกีฬาที่ว่างเว้นจากการแข่งขัน มาวิ่งออกกำลังขึ้นเขากัน ห๊ะ วิ่งขึ้นเขาเนี่ยนะ !!??? เออ วิ่งขึ้นเขานี่แหละ !!!   โอ๊ยย แค่เดิน ยังอยากจะหายใจเอาตับไตใส้พุงออกมาอยู่แล้ว นี่พวกน้องๆ แกวิ่งขึ้นมา อะไรแกจะฟิตปั๋งขนาดนั้น   พวกเราแก่ๆ ก็ได้แต่คลาน 4 ขา ตามน้องๆ แกแหวกฝูงลิงไปเรื่อยๆ มีคนแซงไป 1 คน 2 คน  3 คน และอีกหลายๆ คน   เอาล่ะ พักก่อนพวกเมิง กูจะอ้วกละ _ _! ตรงที่เราแวะ เป็นจุดชมวิว ที่มองเห็นอ่าวน้อย และอ่าวประจวบอยู่ด้านล่าง ข้างทางเต็มไปด้วย ฝูงลิงที่ออกมาทักทาย ตามประสาเจ้าถิ่นอยู่เนืองๆ สร้างความตื่นเต้นหวาดเสียว เป็นระยะๆ ผ่านไปพักใหญ่ๆมาก พวกเราก็หอบสังขารอันดูเหมือนแก่ชราขึ้นมายังจุดสูงสุดของเขาช่องกระจกได้ แทบอยากจะเอาธงชาติไทยมาปักเลยทีเดียว   Congratulation!!!!    ดีใจอย่างกะพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส       จากด้านบน มองเก็นทะเลประจวบ กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา แต่ก็ยังมิวายมีลิงเด็ก ที่ทำเป็นเดินเหนี๋ยมๆ มาจะแย่งรองเท้าจุ๋มอีก ไอ้ตัวนี้น่ารักมาก เหมือนเด็กอยากได้ของเล่น แต่กล้าๆ กลัวๆ ใจก็คงอยากได้ แต่อีกใจก็กลัวโดนตี มันค่อยๆ กระดึ๊บๆ เข้ามาใกล้ๆ ค่อยๆ เอื้อมมือมาหยิบ ดึงเบาๆ จุ๋มไม่ยอมให้มันก็ปล่อย แล้วหันมามองหน้าเราคนนู้นที คนนี้ที พอแม่มัน(หรือป่าวไม่แน่ใจ) เดินมาขู่เท่านั้นแหละ วงแตก!!! อีกด้านหนึ่งของเขาช่องกระจกสามารถมองเห็นเมืองประจวบได้ทั้งหมดหรือป่าวไม่รู้ แต่ที่เห็นก็เท่าที่อยู่ในรูปนี่แหละ เสียดายที่วันที่เราไป ท้องฟ้าครึ้ม เมฆหนามาเต็ม กะว่าจะได้เก็บช่วงแสงทไวไลท์ ก็เลยอดไป(แต่แสงทไวไลท์มันมาตอนเราเดินลงมาถึงข้างล่างแล้วนะ เคืองมากอุตส่าห์เดินผ่ากองทัพลิงขึ้นไป _ _!)     พวกเราใช้เวลาอยู่ข้างบนไม่นานนัก ก็เดินลงมา ช่วงขาลงนี่มี หวาดเสียวเล็กน้อย เพราะความชันของขั่นบรรได แต่มันมีพีคกว่านั้นคือ ช่วงนึง เรากับไอ้วัช เดินไม่ทัน จุ๋มกับไอ้ฟุก มันเดินกันไงไม่รู้ ไวมาก 

    พอจุ๋มเดินลงไปกันซักพัก กองทัพลิงที่แผงอยู่ในป่าข้างทางเดินก็เริ่มเคลื่อนไหว มันมาจากไหนบ้างไม่รู้ แต่แป๊บเดียว พี่แกตั้งบังเกอร์กันเต็มทางเดินเลย เฮ๊ย เอาไงวะมึง มันมาจัดซัมมิทอะไรกันตอนนี้วะเนี่ย!! เรากับไอ้วัช ที่รู้สึกว่าลิงจะไม่ค่อยชอบขี้หน้ามันเท่าไหร่ ต้องหยุด ดูว่ามันจะทำอะไรกัน คือถ้าพวกพี่แกวิ่งเข้าใส่เรา 2 คน ก็น่าจะเป็นศพเละเทะ หน้าแหกกันอยู่แถวนั้นแหละ เพราะมันหนีไปไหนไม่ได้ ข้างหน้าว่าเยอะแล้วข้างหลังเหมือนจะเยอะกว่าข้างหน้าอีก แถมบางตัวนี่ ใหญ่พอๆ กับเราเลย อายุน่าจะเรียกป้าๆ ลุงๆ ได้แล้ว ดูเชื่องช้า แต่มั่นใจมากว่าถ้าลุงๆ ป้าๆ แกพุ่งมา เราก็น่าจะสู้ไม่ไหวแน่ ซักพักกองทัพก็เดินลงเขาไปตามทางเดิน คือลงไปกันหมดเลย เฮ๊ยเดี๋ยวนะ!! 2 คนนั้นมันถึงไหนแล้ว อ่าวมันอยู่ตรงนู้น อ่าวทำไมพวกมึง 2 คนไม่ลงไปก๊านนนน ไปสิป๊ายยย ไม่ต้องรอกูแล้ว ลิงมันกำลังไปทางพวกมึงแล้ว ลงป๊ายยยย!!! เห็นท่าไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ดี ไม่แน่ใจ แต่ลิงทั้งฝูงเป็นร้อยๆ ตัวกำลังมุ่งไปทางนั้น เราก็เลยเดินลงไปกัน รีบเดินลง เผื่อว่าถ้าลิงมันจะจู่โจม เพื่อนเรา 2 คนนั้น มันก็จะได้แบ่งมา จู่โจมทางนี้บ้าง แบ่งๆ กันโดนคนละ 50 50 (แหม เหมือนจะดีเน๊อะ) แต่พวกเราทั้ง 4 ก็ผ่านฝูงลิงมาได้ โดยที่จนป่านนี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่า พี่แกจะกรูกันลงมาแบบนั้นทำไมวะ จนตอนนี้ที่นั่งเรียบเรียงบทความอยู่ ก็ยังไม่รู้เลยนะเนี่ย

     

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    สรุปค่าใช้จ่าย และ ที่มาของงบแหก กระเป๋าฉีก 

    • ค่ารถจากเดอะมอล์ บางแค ไปสถานีรถไฟศาลายา 150 บาท  (หาร 4 เหลือคนละ 37.5)
    • ค่าห้อง 350 บาท (หาร 4 เหลือคนละ 87.5 บาท)
    • ค่าจักรยาน 2 คัน 200 (หาร 4 เหลือคนละ 50 บาท) <-- ตรงนี้ทำงบแหก เพราะไม่รู้มาก่อนว่า เขาล้อมหมวกนี่เขาห้ามเดินเข้าไปนะ จะต้องปั่นจักรยาน หรือขับรถเข้าไป เท่านั้น!!!
    • ค่ารถซาเล้ง จากกองบิน 5 กลับมาที่พัก 100 บาท (หาร 4 เหลือคนละ 25 บาท ) <-- ตรงนี้ทำงบแหก เพราะตอนแรกกะว่าจะเดินไปเดินกลับเอา ไม่รู้ว่า จากที่พัก ไปกองบิน 5 มันไกลมากกกกกก
    • ค่ารถตู้กลับกรุงเทพฯ คนละ 200 บาท <-- ตรงนี้ทำงบแหก เพราะตอนแรกแพลนว่าจะกลับ รถไฟฟรีกัน 
    • ค่าอาหาร คนละ ประมาณ 250 บาท 

    รวมทั้งหมด 1,250 บาท (คนละ 650 บาท เกินจากงบที่ตั้งไว้ 150 บาท) 

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    • โพสต์-2
    Witches •  กันยายน 06 , 2558

     

                      เช้าวันที่ 2 ของทริป เริ่มตันขึ้น วันนี้ จะเป็นวันที่เรา จะไปขึ้นเขาล้อมหมวกกัน แผนวันนี้คือ ไปหาของกินกันก่อน จากนั้นค่อยว่ากัน

     

    (ไม่ต้องเรียกว่าแผนก็ได้มั๊ง _ _! )

    เราเลือกร้านที่อยู่ใกล้ที่สุด ตรงข้ามโรงแรมนี่แหละ เดินข้ามถนนไปเลย ถึงเลย เป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ตัวร้านเป็นตึกแถว 2 ชั้นชื่อร้านอะไรไม่ได้จำ (จริงๆ คงไม่ได้มองด้วยแหละ มองแต่ของกิน) ก็งี้แหละ นักท่องเที่ยวชั้นเลว ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ

    เราไปถึง เขายังจัดร้านไม่เสร็จ พวกเรายืนเก้ๆ กังๆ กันอยู่แป๊บนึง เราเลยเดินไปถามว่าเปิดหรือยัง ขืนรอพวกมัน ยืนตรัสรู้ด้วย ญานของตัวเองอยู่ วันนี้คงจะไม่ได้กิน พี่ที่จัดของอยู่ลังเลนิดหน่อย แล้วตอบว่า เปิดแล้วค่ะ

    โอเค ไปนั่งเลยค่ะพวกเมิง

    เราสั่งกันคนละชาม คนอื่นสั่งเย็นตาโฟรกัน 3 คน เราไม่ชอบเย็นตาโฟ เลยสั่งต้มยำแทน พอก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟ เรารู้สึกเสียใจมาก ที่ไม่ได้สั่งเย็นตาโฟ เพราะเครื่องเยอะมากกกกกกกกก น่ากินกว่าต้มยำของเราเป็นล้านเท่า

     

     

     

     

                       เราปรึกษากันว่า จะไปเขาล้อมหมวกยังไงดี ถ้านั่งรถสามล้อไปก็เที่ยวละ 200 บาท ถ้าเช่ามอไซต์ ก็ 200 ต่อคัน ต่อวัน ไม่รู้ไปเช่าตรงไหนด้วย งั้นสรุปเลย เดินไป!!

     

    หลังจากจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวเรียบร้อย คณะเดินทางของเรา( 4 คน พูดเหมือนมีซัก 10 คน ) ก็เดินลัดเลาะริมหาดเรื่อยไปจน ถึงรั้วด้านหนึ่งของกองบินที่ 5 มีสามล้อพ่วง 2-3 คันที่เข้ามายื่นข้อเสนอให้ จาก 200 (ป้าที่โรงแรมบอกมา) เหลือ 40 บาท เราไม่สนใจ ลดให้เหลือคนละ 30 บาท เราก็ยังยืนยันคำเดิม พวกเราเดินกันต่อไปโดยไม่มีใครรู้ว่า ทางเข้ากองบิน 5 นี่มันอยู่ตรงไหนวะ!?? แต่เราก็ยังเดินกันต่อไป อารมณ์เหมือนเดินทางไกลสมัยเป็นลูกเสือเนตรนารี จนในที่สุด ทางเข้ากองบินก็อยู่ตรงหน้า

     

     

     

    แต่!!!

    ไม่เห็นมีใครเดินเข้าไปเลยว่ะ!!! เอาไงดี?? โอเค เดินลุยเข้าไปเลย ถ้าเข้าไม่ได้เดี๋ยว ทหารยามตรงหน้าประตูก็ไล่ออกมาเองแหละ

     

    ปรากฏว่า พี่แกก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ไล่ ไม่ได้ถามอะไรเราเลยด้วยซ้ำ แต่ว่า หนทางของพวกเรามันไม่ได้จบแค่ทางเข้าเนี่ยสิ และเราก็เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่า จากทางเข้า ไปถึงเขาล้อมหมวกเนี่ย แมร่งไกลลล ลิบๆๆๆๆๆๆ เลย

     

     

    เอาไงดีวะ เดินไปวันนี้จะถึงมั๊ย นี่ก็เกือบจะ 10 โมงแล้ว ไม่ต้องนึกถึงที่แปลนไว้ว่าจะกลับกรุงเทพฯด้วยรถไฟ อะไรนั่นเลย ลืมรถไฟขากลับไปได้เลย เราไม่มีทางกลับไปที่สถานีทันอยู่แล้ว เพราะกว่าจะขึ้นไปถึง ใช้เวลาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ กว่าจะลง กว่าจะเดินทางจากกองบิน 5 ไปโรงแรม กว่าจะอาบน้ำ เฮ๊ยย มาทะเลมันต้องเล่นน้ำทะเลสิวะ (ถึงแม้น้ำจะเน่าก็เถอะ) คิดอะไรต่อมิอะไรจนครบถ้วนทุกสิ่งแล้ว สรุปว่า ไม่ได้กลับด้วยรถไฟตอนบ่าย 2 อย่างที่วางแผนไว้แน่นอน แต่จะกลับด้วยอะไร กลับวันนี้ หรือไม่ ค่อยว่ากันอีกที

     

     

     

    อยู่ๆ ก็นึกถึงหนังสือ The Real Alaska ของ เบนซ์ ธนชาติ ขึ้นมา ที่เขาบอกว่า การโบกรถที่อลาสก้าเป็นอะไรที่ง่ายมาก กระจอกงอกง่อยที่สุด ประมาณว่าถ้าคุณโบกรถที่อลาสก้าแล้วไม่มีใครจอดรับคุณเลย นั่นคือคุณแมร่งต้องมีปมอะไรซักอย่างในชีวิตแล้วล่ะ เพราะคนอลาสก้าเค้า nice มาก เออ..แล้วคนประจวบนี่เค้าจะ nice เท่าคนที่อลาสก้าป่าววะ แล้วก็เกิดไอเดียระเบิดตูมตามขึ้นมาในหัว

    “เฮ๊ยยย กูโบกรถนะ กูว่าเดินไป วันนี้คงไม่ถึงว่ะ”

    “พี่โบกนะ ผมไม่กล้าโบก”

    แหม ไอ้ห่าวัช ทีงี้ละโบ้ยให้กรูเลยนะ แต่ไม่เป็นไร โบกเองก็ได้วะ หันซ้ายหันขวา มีกระบะโผล่มาจากทางโค้งคันนึง โหลดเตี้ยมาเลย โบกเดี๋ยวนี้ อิจ๋า โบก!!!! (บอกตัวเอง)

    เอี๊ยดดด!!!

    รถจอดเทียบข้างทาง ถึงเวลางัดสกิลนักการฑูตออกมาใช้(มีด้วยเหรอ O.O)

    “พี่คะ ขอติดรถไปเขาล้อมหมวกได้มั๊ยพี่”  ( คือมึงไม่คิดจะถามเขาเลยว่าเขาจะไปทางที่มึงจะไปหรือป่าว)

    “อ๋อ ผมไปไม่ถึงเขาล้อมหมวกอ่ะครับ” (นั่นไง หน้าแหกตามระเบียบ _ _!)

    “งั้น...พี่ไปตรงอ่าวมะนาวมั๊ยคะ นู๋ไปอ่าวมะนาวก็ได้ค่ะ” (มึงยังจะกล้าต่อรองพี่เค้าอีกเหรออ ทำไมไม่โบกคันอื่น)

    “ถ้าอ่าวมะนาว ไปได้ครับ” (หล่อเลยค่ะพี่ ^____^)

    “ขอบคุณค่ะพี่”

    เฮ๊ยย พรรคพวก ขึ้นรถเว๊ยย !!!

    พวกเรากรูกันขึ้นกระบะหลัง พี่แกก็ขับรถออกไป ตอนนี้แหละที่เริ่มรู้ว่า ค่าสามล้อพ่วง ราคา 40 บาท มันถูกเป็นขี้เลย เพราะจากทางที่เราเจอสามล้อ มาจนถึงจุดที่เป็นทางเข้ากองบิน จนมาถึงจุดที่เราโบกรถพี่เค้าตรงนี้ โอ้โหววว มันโคตรไกลเลย แล้วจากจุดนี้ ไปจนถึงอ่าวมะนาว โหววว ไกลมากอ่ะ 

     

    คุณพระคุณเจ้า!!!

     

     

    ทำไมเราถึงไม่ฟังคนแถวนี้ ที่เค้าพยายามบอกเราว่ามันไกลมากนะนู๋ เราระวังตัวกันเกินไป เกินไปเยอะมาก ความจริง ถ้ามาเที่ยวแล้วโดนหลอกค่ารถ ค่าอาหารบ้าง มันก็อาจจะเป็นสีสัน ให้การไปเที่ยวมันไม่จืดชืดมากเกินไป เวลาไปประเทศอื่น ก็เคยโดน มันก็ไม่ได้เสียดายอะไรมากมาย แถมโดนฟันไปเยอะกว่า 40 บาทด้วย ทำไมเสียดายแค่ 10 นาทีเอง แต่นี่ 40 บาท แถมเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่ปกติ ก็ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาอยู่แล้ว (ตอนที่ไป เราเจอนักท่องเที่ยว น้อยมาก ถึงมีก็เอารถมาเอง หรือไม่อาจจะมีบ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะเท่าที่อื่นๆ คนก็ไม่พลุกพล่าน จนรู้สึกว่า ทำไมคนมันน้อยจังวะ ทั้งๆ ที่ก็เป็นวันเสาร์ อาทิตย์ แท้ๆ)

     

     

    แต่จะดราม่าไปก็เท่านั้น พอมาถึงอ่าวมะนาว ก็ขอบคุณพี่รูปหล่อคนนั้นที่ให้เรานั่งรถมาด้วย แล้วก็แยกย้าย พวกเราแวะซื้อน้ำกันที่ร้านกาแฟเล็กๆ น่ารัก ลุงเจ้าของร้าน บอกว่า ข้างบนเขาล้อมหมวก วิวสวยมาก ขึ้นไปแล้วจะไม่อยากลงมา มีฝรั่งคนนึง ตอนมาใหม่ๆ ตัวอ้วนๆ พี่แกเดินขึ้นเดินลงเขา วันละ 2 รอบ อาทิตย์เดียว ผอมเลย (น่ามาอยู่ลดน้ำหนักมาก)

     

     


     

    เราเดินเข้าไปตามคำแนะนำของลุงเจ้าของร้านกาแฟ ลัดเลาะริมหาดที่เทาๆ ของอ่าวมะนาว กลิ่นน้ำทะเลเน่า ตีใส่หน้ามาเป็นระยะๆ จนกระทั้งถึง ทางเข้าเขาล้อมหมวก

     

    “เดินเข้าไม่ได้นะครับ”

     

    พี่ทหารยามบอกตอนเราเดินมาใกล้ๆ

     

    “ห๊ะ เดินเข้าไม่ได้ เอ้า จริงดิ แล้วทำไงอ่ะ”

     

    “ต้องขับรถเข้าไปครับ ถ้าไม่มีรถก็เช่าจักรยานก็ได้ครับ”

     

    เอ่อออ... แล้วจะไปเช่าที่ไหนวะ อย่าบอกนะว่าให้เดินกลับไปอ่าวมะนาวอ่ะ โหยยยย มันโคตรไกลเลยนะพี่!!!

     

    สรุปว่า ใช่ เราต้องกลับไปเช่าจักรยาน พวกเรามีกัน 4 คน ต้องเช่าจักรยาน 2 คัน คุณพระมังคละกลองยาว สองหนุ่ม ไอ้วัช กับไอ้ ฟลุค อาสา วิ่ง ไปเช่าจักรยาน

     

    ตังค์อ่ะพี่ 

     

    โอเค เอาที่กรูไปก่อน

     

    ไปแล้วค่ารถขากลับ กลายเป้นค่าเช่าจักรยานไปแล้ววว อุตส่าเขียมมาตั้งแต่เช้า แมร่งเอ๊ยย โดนค่าเช่าจักรยานไปหมัดเดียว น๊อคเลย _ _!

     

    มัน 2 คนหายไปพักใหญ่ๆ ก็กลับมาพร้อมจักรยาน 2 คัน เอาล่ะ ไปต่อกันได้แล้ว พวกเราปั่นจักรยานเข้ามาในที่ทำการกองบิน 5 ถนนเป็นหลุมประปราย เราเป็นคนปั่น จุ๋มเป็นคนซ้อน บ่อยครั้งที่เราลืม ว่าเฮ๊ยย ที่นั่งสำหรับคนซ้อนมัน ไม่ได้นิ่มนะ มารู้ก็ตอนตกหลุมไปแล้ว อิจุ๋มเจ็บตูดไปตามระเบียบ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 

     

     

     

     

    ในที่สุด ก็มาถึงซะที เขาล้อมหมวกเนี่ย ตรงทางขึ้นเขาล้อมหมวก จะมีศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวก อยู่ ถัดมาอีกนิดเป็นที่ให้อาหารค้างแว่น ชื่นชมความน่ารักของค้างแว่น กันเล็กน้อย ก่อนจะคิดถึงแมวที่บ้าน แล้วเกิดดราม่า ขึ้นมาอีก เราใช้จังหวะนี้ หนีไปเข้าห้องน้ำ

     

    ซึ่งไอ้ห้องน้ำที่ว่านี่ ก็อยู่ไกลม๊ากกกกกกกกกกกกก คือถ้าตอนนี้คุนยืนหันหน้าเข้าหาศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวก ห้องน้ำจะอยู่ด้านหลังคุณ ดังนั้นให้คุณหันหลังกลับมา แล้วมองไปนู่นเลย ไกลๆ เลยนะ จะเห็นอาคารสีฟ้าสดใสฟรุ้งฟริ้ง อยู่ในดงต้นอะไรไม่รู้ อยู่ริมหาดเลย คุณปั่นจักรยานไป ไม่ก็เดินไปตรงนั้นเลยค่ะ หน้าอาคารจะมีห้องน้ำอยู่ ถ้าโชคดี มันจะเปิด คุณก็สามารถ เข้าไปทำธุระปะปัง นั่งดื่มน้ำปัสสาวะอะไรก็จัดไป แต่ถ้าเกิดวันนั้นซวย กุญแจมันล็อคอยู่ ให้คุณเดินเลยไปอีกนิดนึง มันจะเป็นพิพิธภัณฑ์ของกองบินฯ ตรงนั้นมีต้องน้ำ เข้าได้ค่ะ

     

    โอเค จบเรื่องห้องน้ำ กลับมาที่เขาล้อมหมวก เราเริ่มเดินขึ้นเขากัน อย่างสบายใจ อ่าห์...จากนี้ไปคงไม่มีอะไรลำบากอีกแล้ว เพราะ...มันมีบันไดให้ไต่ขึ้นไปค่ะ (ยิ้มแรง)

    แต่ยังไม่ทันทีพวกเราจะได้ดื่มด่ำกับความสะดวกสบาย ฉับพลันบันได มันก็หายไป!!! ตายห่าแล้ว!!! เหลือแต่เชือก กับก้อนหิน แบบนี้

     

     

     

    แบบนี้

     

     

    แล้วก็...แบบนี้ 

     

    และในที่สุด บางคน ก็เลยต้องโชว์พุง...แบบนี้...

     

    ทางขึ้นช่วงแรกเป็นบันได ไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่เหนื่อยสัส อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่เหงื่ออกหนักมาก ไหลพรากๆ แป๊บเดียวเปียกไปทั้งตัว (มิน่าละ ฝรั่งคนนั้นถึงได้ผอม) ช่วงที่ 2 เริ่มเป็นเส้นทางไต่เขา ที่มีเพียงเชือกให้จับยึดไต่ ไปกับก้อนหินแหลมคม ใหญ่บาง น้อยบ้าง ถึงจุดนี้ เพื่อนร่วมทางที่ได้เจอะเจอกันบ้าง ในเส้นทางช่วงแรก เริ่มหายหน้าหายตาไป เหลือเพียงกลุ่มเรา 4 คน บ้างก็แซงไปก่อน และบางส่วนเดาว่า กลับลงไปแล้ว ช่วงนี้แดดแรงขึ้นเล็กน้อย อากาศร้อนขึ้น เหงื่อไหลไคลย้อยเพิ่มมากขึ้น มือเริ่มชุ่มเหงื่อ น้ำขวดใหญ่ที่แบกมา ลดเหลือครึ่งขวดแล้ว

     

     

    แต่นี่มันยังไม่ครึ่งทางเลย...