ไปเที่ยวเพชรบุรีมาตั้งหลายครั้ง เพิ่งรู้ว่ามีที่เที่ยวชื่อพะเนินทุ่ง!!!
สืบเนื่องจากเพื่อนในแก๊งค์แอบไปซึมซับบรรยากาศมาเมื่อต้นเดือนเมษา ว่าไปเที่ยวพะเนินทุ่งหน้าร้อนก็สามารถเห็นหมอกสวยเหมือนกันนะ เราก็ไม่อยากจะเชื่อ ร้อนขนาด 40 องศา จะเอาหมอกที่ไหนมาสวย เพื่อนเลยส่งรูปมายืนยัน เราเห็นแล้วตะลึง จนอดไม่ได้ที่จะต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง
เห็นรูปมายั่วขนาดนี้แล้วจะรอช้าอยู่ใย วันหยุดพร้อม รถพร้อม เงินเกือบพร้อม ไปเที่ยวพะเนินทุ่งกันเลยดีกว่า….
ทริปนี้เราเดินทางขึ้นพะเนินทุ่งกันวันที่ 10-11 เมษายน 2559
การขึ้นพะเนินทุ่งจะมีเวลาให้รถขึ้นลง โดยแบ่งเป็น2 รอบ เวลาขึ้น
ช่วงเช้า 05.30- 07.30 น. ช่วงบ่าย 13.00 – 15.00 น.
เวลาลง ช่วงเช้า 09.00 – 10.00 น. ช่วงบ่าย 16.00 – 17.00 น. **อุทยานจะปิดให้บริการตั้งแต่เดือน ก.ค. - ต.ค. นะคะ
แพลนของพวกเราคือจะขึ้นกันตั้งแต่เช้า เราจึงต้องออกเดินทางล่วงหน้า1 วัน เพื่อรอขึ้นพะเนินทุ่งเช้าวันถัดไปจึงต้องหาที่พักในตัวเมืองก่อน (สำหรับใครที่ไม่อยากตื่นเช้ามาก พักแถว ๆ แก่งกระจานก็ได้นะคะ การเดินทางจะใกล้กว่ามาก) แต่ที่นอนของพวกเราคืนแรกคือ โรงแรมซัน พิกัดอยู่หลังเขาวัง
เนื่องจากเป็นวันเสาร์ ราคาที่พักคืนล่ะ 850 จากปกติ 750 บาท เป็นห้องนอนธรรมดาค่อนข้างสะอาดและบริการดี
พอเก็บของเข้าที่พักเสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปหาของกินทันที ที่ฝากท้องวันนี้คือร้านเปลญวน แผนที่ร้านตามด้านล่างเลยค่ะ
(ขอบคุณรูปภาพจากgoogle)
บรรยากาศของร้านตกแต่งสไตล์ย้อนยุค ให้บรรยากาศแบบพี่คล้าวทองกวาวมาก ๆ
อีกด้านหนึ่งของร้านเป็นคล้าย ๆ อาคารเรียน
ที่เห็นนี่คือโต๊ะกินข้าวนะคะเนี่ย เหมือนยกห้องเรียนมาเลยทีเดียว
นอกจากบรรยากศดีแล้วอาหารก็อร่อยด้วยนะ มาดูหน้าตาอาหารกันเลยดีกว่า รสชาดดีและราคาก็ไม่แพงเลย
ของคาวเสร็จแล้วมาต่อของหวานกันเลยดีกว่า แต่ไม่ได้กินที่ร้านเปลญวนนะคะ ขับรถกลับไปกินในตัวเมือง
ร้านอยู่ตรงข้ามวัดมหาธาตุฯ มีขนมหวานให้เลือกเยอะมากกกก รสชาดโอเคเลย แต่ราคาแพงไปนิดหนึ่ง(สำหรับต่างจังหวัด)
หลังจากที่กินอิ่มนอนหลับกันไปแล้วเมื่อคืน เช้านี้ก็ได้เวลามุ่งหน้าสู่พะเนินทุ่งกันแล้ว
เริ่มเดินทางออกจาโรงแรมประมาณ 6 เช้า ขับไปเส้นทางเดียวกันกับแก่งกระจาน แต่ทางไปพะเนินทุ่งจะเลยแก่งไปประมาณ 15-20 นาที
ไปถึงที่ทำการบ้านกร่าง 7.30 พอดี รถเก๋งและรถตู้ไม่สามารถขึ้นพะเนินทุ่งได้นะคะ ต้องเป็นรถโฟร์วีลหรือกระบะเท่านั้น คนที่เอารถเล็กมาสามารถจอดรถไว้ที่นี่ได้เลย ทางอุทยานมีรถพาขึ้นไป ค่าบริการสามารถโทรเช็คกับทางอุทยานได้เลยค่ะ
ระหว่างทางไปที่ทำการบ้านกร่างจะเจออุโมงค์ต้นไม้ สามารถลงไปถ่ายรูปได้เลย อากาศก็เริ่มเย็นสบายแล้ว
แต่ทางที่ขึ้นพะเนินทุ่งจะขรุขระเเละลาดชันพอสมควร แต่สองข้างทางโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ รู้สึกสดชื่น
ระหว่างทางขึ้นพะเนินทุ่ง ต้องผ่านลำธารเล็ก ๆ ถึง 3 ลำธารและเป็นที่อยู่ของเหล่าผีเสื้อมากมาย(บางช่วงอาจจะไม่มีน้ำนะ)
ใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงพะเนินทุ่ง อันดับแรกที่ทำคือกินค่ะ ฮ่าๆ ตั้งแต่เช้าไม่ได้กินอะไรกันมาเลย ข้างบนเค้ามีอาหารขายด้วยนะ ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีกับข้าวหลายอย่างหน่อย แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาก็2-3 อย่าง รสชาติดีเลยทีเดียว แต่มื้อนี้ขอจัดข้าวเหนียวหมูที่ซื้อมาจากข้างล่างก่อนดีกว่า
หลังจากกินเสร็จก็ไปหาที่นอนกันเลย ค่าเช่าเต้นท์พร้อมอุปกรณ์ คืนละ 350 บาท พร้อมเจ้าหน้าที่บริการกางเต้นท์ให้อย่างดี
ลานกางเต้นท์ ลานกว้างพอสมควรเลย
ตอนสาย ๆ แดดค่อนข้างแรง เลยขอมากางเต้นท์ข้างในศาลาก่อน เย็นสบายกันเลยทีเดียว (เป็นวันที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวพอดีค่ะ)
หลังจากเก็บของเข้าที่พักแล้วจุดมุ่งหมายต่อไปที่เราจะไปก็คือ น้ำตกทอทิพย์
แนะนำให้ไปในช่วงเช้า ๆ แต่ก่อนจะไปต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบก่อนนะคะ เพราะต้องเดินเข้าไปในป่า
เจ้าหน้าที่จะได้ให้คำแนะนำและอธิบายเส้นทางก่อนไป(ทางที่ดีควรมีเจ้าหน้าที่นำทางจะดีมาก) ควรใส่กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบ
อ่อ..แล้วต้องเตรียมน้ำเปล่าไปด้วยนะคะอย่างน้อยคนล่ะ2ขวด อาจจะเอาผลไม้ติดตัวไปด้วยนิดหนึ่งเช่น แอปเปิ้ล หรือ กล้วย(เสริมแรงระหว่างทางไปและกลับ)
จากลานกางเต้นท์ขับรถมาประมาณ 5 นาที จะเจอลานกว้าง ๆ เอาไว้จอดรถ ปากทางเข้าน้ำตกจะมีป้ายแบบนี้อยู่
แค่ปากทางเข้าก็ตื่นเต้นแล้ว
ระหว่างทาง เหมาะกับการสำรวจธรรมชาติจริง ๆ
ทางเดินจะเป็นลักษณะเดินขึ้นบ้าง ลงบ้างสลับกันไป เรียกว่าความเหนื่อยระดับสิบเลยทีเดียว(ฝึกคุมโซนหัวใจ)
เดินไปสักพักความเหนื่อยเริ่มถามหา ดื่มแค่น้ำอย่างเดียวอาจจะเอาไม่อยู่ และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมควรจะพกผลไม้ที่มีความหวานมาด้วย มันช่วยได้มากเลยทีเดียว 555+ (เกือบจะถอดใจเดินกลับ)
พอเดินมาเรื่อย ๆ จนเห็นเชือก ดีใจได้เลย เพราะนี้คือทางที่จะพาเราไปหาน้ำตกอย่างแท้จริง แต่อาจจะลำบากนิดหนึ่ง เพราะทางค่อนข้างชัน ต้องคอยจับเชื่อกไว้ตลอด
จนในที่สุดเราก็เดินมาถึงจุดหมายปลายทางจนได้ ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที !!!
พอได้เห็นน้ำตก มันหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง (น้ำตกที่นี่จะเริ่มจากชั้นสูงสุดไล่ลงไปถึงชั้นล่างสุด) ในรูปคือชั้นที่ 5
เดินมาเหนื่อย ๆ ต้องเล่นน้ำตกเย็น น้ำเย็นมากกก..ทำให้สดชื่นหายเหนื่อยเลย คุ้มค่าที่เดินมาเหนื่อยจริง ๆ
เล่นน้ำกันสักพักใหญ่ก็ได้เวลาเดินกลับที่พักกันแล้ว แนะนำว่าไม่ควรกลับหลังจากบ่าย 3 โมงนะคะ เนื่องจากอยู่ในป่าจะมืดค่อนข้างเร็ว เวลาเดินกลับเหนื่อยกว่าตอนมามาก ต้องนั่งพักกันหลายครั้งเลย(มันล้าสะสมอ่ะ ^^) ระหว่างทางกลับได้ยินเสียงช้างป่าร้อง ดังมากประมาณ 2 ครั้ง ในใจก็แอบตื่นเต้นผสมกลัว คิดว่าถ้าช้างมาจะทำยังไงดี ตอนหลังได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่บอกว่า **ช้างจะมีหูทิพย์ เค้าจะรู้ว่าใครมาดีไม่ดี การส่งเสียงร้องบางครั้งก็เหมือนการเตือนว่าเค้าอยู่ตรงนี้นะ อย่าเข้าไปยุ่งกับเค้า
*** เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ *** สำหรับเราแล้วไม่เชื่ออย่าลบหลู่ดีกว่า ถือคติเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
กลับมาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เตรียมมารอดูพระอาทิตย์ตกดินกัน เราเลือกลานใกล้ศาลาที่ถัดลงไปด้านล่างจากลานกางเต้นท์ไปนิดเดียว
รูปนี้เวลาประมาณ 5 โมงเย็น อากาศเริ่มเย็นลงมีลมเย็น ๆ พัด แอบงีบหลับตรงศาลาข้าง ๆ ไปแล้ว ฮ่า...
พระอาทิตย์เริ่มตกแล้ว อยากให้มาเห็นด้วยตาตัวเอง มุมนี้สวยมาก (อากาศเริ่มเย็นลงอีกเช่นกัน)
ได้เวลาอาหารเย็นกันแล้ว อาหารส่วนหนึ่งเตรียมมาจากบ้าน หมักหมูหมักไก่มาเพื่อปิ้งย่างที่นี่ แต่ไข่เจียวสั่งจากเจ้าหน้าที่ ราคาประมาณ 60 บาท กรอบอร่อยสุด ๆ ส่วนแกงหน่อไม้เป็นอาหารพิเศษที่เจ้าหน้าที่ใจดีแถมให้
นั่งกิน ๆ อยู่ได้ยินเสียงจากพุ่มไม้ เจ้าหน้าที่ไม่รอช้าเรียกเราไปดูที่มาของเสียง เจอเม่นตัวใหญ่มาก
ทุกคนเกิดอาการตื่นเต้นกันสุด ๆ นาน ๆจะได้เห็นสัตว์ป่าแบบใกล้ชิด นอกจากเม่นก็ยังมี ชะมด อีเห็น หมาไม้ (ลักษณะจะเหมือนสกังก์ผสมกระรอก) และสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย ถือว่าเป็นการมาพักผ่อนที่คุ้มมาก **แนะนำว่าหากไปดูสัตว์ตอนกลางคืนควรจะเงียบให้มากที่สุดนะ เพื่อที่สัตว์จะได้ไม่ตกใจหนีเราไป และอย่ารีบเข้าใกล้นะต้องค่อย ๆ เดินเข้าไป
หลังจากที่อิ่มท้องกันแล้วก็ได้เวลาไปนอนสัมผัสธรรมชาติท่ามกลางหมู่ดาว เสียดายที่แบตกล้องหมดพอดี เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู แต่การันตีเลยว่าดาวที่นี่เยอะมาก นอนเล่นไปเล่นมานึกว่าเที่ยงคืน แต่ที่ไหนได้ เพิ่งจะ 3 ทุ่มเท่านั้น เวลามานอนสัมผัสธรรมชาติแบบนี้ นอกจากจะสดชื่นแล้วยังรู้สึกว่าเวลาเดินช้ามาก ๆ ทำให้เรามีช่วงเวลาผ่อนคลายแบบเต็มที่
ตื่นเช้าต้องไปชมหมอกและดูพระอาทิตย์ขึ้น จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่มี 2 จุด คือจุดเดียวกับที่เราดูพระอาทิตย์ตกกับอีกจุดหนึ่งเป็นลานชมวิวเช่นกัน ไปทางเดียวกับที่ไปน้ำตกทอทิพย์ ห่างจากที่พักประมาณ 5 นาที ถ้าใครเอารถมาแนะนำให้ตื่นเช้าและขับไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดนี้จะดีกว่าเพราะจะเห็นชัดกว่าด้านบน (มาพักผ่อนธรรมชาติสวย ๆ อย่าตื่นสายเสียดายแย่เลย!!) สำหรับใครที่ไม่ได้เอารถมา ทางอุทยานเค้าก็มีบริการรถรับ-ส่ง แต่ต้องรอไปพร้อมกันหลังจากที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นลานชมวิวด้านบนเสร็จแล้ว
ถึงแม้จะเป็นหน้าร้อนแต่ก็มีหมอกให้เห็นค่อนข้างเยอะ (เสียดายที่กลางคืนลมแรง หมอกเลยบางตา)
ทริปนี้เรายืนชมวิวอยู่อย่างสบายใจแล้วอยู่ ๆ นกเงือกก็บินผ่านหน้าเรา อิ่มใจมาก (ทริปนี้เราเห็นกันไป 3 รอบ)
หลังจากซึมซับบรรยากาศตอนเช้าจนอิ่มใจแล้ว ก็กลับมากินข้าวเช้าที่ลานอุทยาน เจ้าหน้าที่จะเตรียมกับข้าวไว้ 2-3 อย่าง พร้อมจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว บริเวณที่กินข้าวก็ใกล้ชิดธรรมชาติ กินไปนั่งมองเจ้าค่างน้อยโหนต้นไม้ไป มองนกบิน แค่นี้ก็ฟินแล้วเนอะ (ลืมบอกอากาศที่นี่เย็นสบายมาก ช่วงกลางคืน-สาย ๆ อากาศจะเฉลี่ยประมาณ 20-23 องศาเองนะ)
หลังจากของคาวก็ต้องตบท้ายด้วยของหวาน (เมลอนนี้เตรียมมาเองนะคะ^^)
รูปนี้เป็นวิวด้านหลังศาลา ที่ลานกางเต้นท์ค่ะ ธรรมชาติอีกแล้ว
และแล้วก็ได้เวลากลับกันแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันเวลาลงจากอุทยานรอบเช้า เป็นการเปลี่ยนสถานที่นอนที่สนุกครบรส แต่ขารู้สึกจะระบมจากการเดินป่าเมื่อวานก้าวขึ้นบันไดทีแทบกรี๊ด ถ้าใครมาอย่าลืมพกสเปรย์แก้ปวดมากันด้วยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน....
อ้อ..ก่อนที่จะกลับลงไป เราต้องนำขยะต่าง ๆ ลงไปทิ้งข้างล่างด้วยนะคะ เพราะที่นี่เค้ารณรงค์นโยบาย "ขยะคืนถิ่น" คือเราซื้ออะไรมาจากข้างล่าง เราก็ต้องเอาลงไปทิ้งข้างล่าง (เจ้าหน้าที่บอกสาเหตุหลักเพราะไม่มีรถที่รองรับการขนขยะลงไปทิ้งได้) ที่นี่ยังรณรงค์ไม่ใช้วัสดุโฟมด้วย เช่น จานโฟม ถ้วยโฟม ใครจะซื้อจานใช้แล้วทิ้งมาแนะนำแบบย่อยสลายได้จะดีที่สุดนะ สำหรับแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลย เพราะเรามาเยือนถิ่นเค้าก็ควรจะรักษาความสะอาดให้เค้า และถือว่าเป็นการรักษาธรรมชาติอีกด้วย ธรรมชาติจะได้อยู่กับเราไปนาน ๆ หรือพูดง่าย ๆ ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
** ขอบคุณเจ้าหน้าที่อุทยานที่คอยดูแลพวกเราเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพี่แบงค์ แล้วถ้ามีโอกาสจะกลับไปนอนสูดโอโซนบริสุทธิ์ที่พะเนินทุ่งอีกแน่นอน ^^
ปล. เจ้าหน้าที่แนะนำว่าจริง ๆ แล้วหน้าร้อนจะเห็นหมอกเยอะกว่าหน้าหนาวนะ และที่นี่กลางเดือนเมษาก็สามารถสัมผัสอุณภูมิ 20 องศาได้นะ ^^
สามารถเข้าไปพูดคุยกับพวกเราได้ที่ https://www.facebook.com/getalongwell.net/