ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
หลีเป๊ะกับโฮสเทล (ฉบับปล่อยเซอร์) #รีวิวไม่รีวิว เกาะหลี่เป๊ะ จ.สตูล
    • โพสต์-1
    โลก •  เมษายน 02 , 2561

    หลีเป๊ะกับโฮสเทล (ฉบับปล่อยเซอร์) #รีวิวไม่รีวิว

    หลีเป๊ะ (ฉบับปล่อยเซอร์) #รีวิวไม่รีวิว กลางมีนาคม2018


    **ไปหลีเป๊ะ 2 วัน 1 คืน รอดไหม?
    **จู่ๆ นึกอยากจะไป...ไปเลยได้ป่าว?
    **นอนHostelโอเคไหม?

    ได้ยินได้เห็นมานานแล้วหลีเป๊ะเนี๊ยะ (ผ่านคำพูด,ผ่านรีวิว) ต่อให้เป็นที่เที่ยว ณ บ้านเกิดก็ยังไม่ได้เห็นกับตาตัวเองจริงๆเสียที คราวนี้ได้เอาเท้าไปแตะทรายละเอียดตรงนั้นทั้งที จะไม่มาเล่าสูกันฟังได้อย่างไร?​

    ( แนะนำ : ก่อนการเดินทาง ‘ระยะสั้น’  ควรวางแผนและศึกษาการเดินทางสักครั้งสองครั้ง(นี่แบบขี้เกียจมากๆ เลยนะ)เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง...) 

    การเดินทางของเราในครั้งนี้เป็นการกลับบ้านเก่าดังนั้นจะมีการตัดตอนช่วงเวลาง๊องแง๊งอยู่บ้านที่สตูลออกไปเพื่อจะพาผู้อ่านไปลงเกาะด้วยกันให้เร็วที่สุด เพราะงั้นถ้ากระชับเป้ให้มั่น พร้อมแล้วก็ไปกันเลย!

    จากกรุงสู่บ้านเกิด

     

    ทันทีที่เครื่องบินโฉบขึ้นกระทั่งพ้นจากพื้นขรุขระเบื้องล่าง เป็นสิ่งยืนยันว่าเก้าอี้สามตัวตรงนี้เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว แล้วก็ให้นึกไปถึงว่า.. กว่าจะมีการเดินทางไกลครั้งแรกของปีนี้ ต้องเตรียมมานานมากแค่ไหน...

    แค่ทิ้งคำพูดไว้ว่าอยากมา...ก็น่าจะใช้เวลานานเป็นเดือนๆเพื่อจะให้ทริปนี้เป็นรูปเป็นร่างหรือได้ตั๋วเดินทางมาสักใบ จนเมื่อตัดสินใจโหลด App Agoda , Traveloga และ App จากสายการบินต่างๆ รวมถึงหาข้อมูลเอาจาก ‘พันทิป’ จัดการจองที่พัก จองเรือโดยสาร แล้วความตั้งใจที่จริงจังก็เกิดขึ้น หลังจากนั้น...  

    เที่ยวบินสุดท้ายของวัน(แถมมีดีเลย์แถมมาด้วย) พาเรามาลงสนามบินหาดใหญ่ในเวลาใกล้เข้านอน ทันทีที่โผล่พ้นประตูทางออกเราแทบจะถลาไปหาเพื่อนร่วมทริปที่อุตส่าห์ถ่างตามารับกันที่สนามบินนี้(แม้ว่าคุณนายจะโหมงานหนักมาก็ตาม แต่ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วอ่ะเนอะ ><) ทั้งยังพาไปหามื้อดึกประทังชีวิตที่  ‘หาดใหญ่ใน’ จัดอาหารเบาๆ (หรอ?)เป็นข้าวหน้าเป็ดรสดีกับซุปเนื้อก้นหม้อรสจี๊ดทำเล่นเอาตาตื่น  ความหิวทำให้สิ้นสติ ไม่ได้ถ่ายรูปมาเป็นหลักฐานคงไม่ว่ากัน..
    ได้ยินเขาเล่าลือกันว่าแหล่งท่องเที่ยวระดับเกาะหลีเป๊ะนั้นสิ่งที่ราคาสูงอยู่มากเห็นจะเป็นอาหารหรือสินค้าที่มีขายอยู่ในมินิมาร์ท ด้วยความที่จำเป็นต้องจัดสรรค์ค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทาง จึงเลือกที่จะหาซื้อเสบียงแห้ง (ขนม นม เนย บะหมี่ถ้วย ฯลฯ) มาตุนไว้ รวมถึงเสบียงสด (ทำอาหารที่อยู่ได้นานเช่น เนื้อทอด ข้าวเหนียว) เพื่อไปประทังชีวิตกันบนหาดสวรรค์ เป็นหลีเป๊ะ 2 วัน 1 คืน ที่ดูยังไงก็รอด

    จากบ้านเกิดไปลงเรือ

    เราเริ่มการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ออกเดินทางจากบ้านที่อำเภอควนโดนจังหวัดสตูลในเวลา 7 โมงเช้าหน่อยๆ ของวันเสาร์  ไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงท่าเรือปากบาราที่เริ่มมีนักท่องเที่ยวเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ หากแต่ไม่หนาตานัก ทำการขนข้าวขนของลงจากรถเป็นเป้สัมภาระส่วนตัวใบใหญ่ 2 ใบ กระเป๋าเสบียงเบาๆ 1 ใบ กระเป๋ากล้อง อีก 1 ใบ จัดแจงนัดแนะกันไปเริ่มภารกิจคือส่งเพื่อนสาวไปฝากรถยนต์ก่อนแล้วจึงกลับมาแตะมือสลับกันให้เราไปเชคอินเรือสปีดโบ๊ท เช็คอินเรียบร้อยและได้ตั๋วมาจึงรีบจ้ำอ้าวกลับไปจ่ายค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยาน แล้วถึงแบกกระเป๋าเดินเข้าไปในส่วนของท่าเรือ ระหว่างทางเดินก็จะมีกิจกรรมยอดฮิตของทุกที่เที่ยวเช่นการถ่ายรูปขึ้นจาน มีขนมของฝากขายกันทั้งฝั่งซ้ายขวา เป็นจำพวกขนมของฝากขึ้นชื่อประจำจังหวัดซึ่งเราชอบขนมผูกรักมาก(แต่ดันไม่ได้ซื้อที่นี่เสียอย่างนั้น?) เดินเข้าไปในตัวอาคารก็ตรงไปยื่นตั๋วที่รับมาจากเคาน์เตอร์เชคอินเพื่อยืนยันตัวและเที่ยวเรือเดินทางที่เราจะไป เขาจึงให้การ์ดลำดับที่ลงเรือมาคนละใบ ลำดับต้นๆ ก็จะได้ลงไปเลือกที่นั่งได้ก่อน และตรงนี้เองที่สามารถฝากกระเป๋าสัมภาระไปเก็บใต้ท้องเรือส่วนหน้าได้ กระเป๋าที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต้องเก็บไว้กับตัวเท่านั้นเพราะมันจะต้องเกิดการแตกหักแน่ๆ ด้วยว่าเรือสปีดโบ๊ทนั้นเร็วแรงทะลุเกาะและกระแทกเป็นของแถม อะไรที่ต้องดูแลด้วยตัวเองเช่น ลูก เมีย ไอแพด สมาร์ทโฟน ก็อย่าส่งลงไป... และสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรต้องเก็บไว้กับตัวก็คือกระเป๋าเสบียง เพราะการเดินทางบนเรือใช้เวลานานเป็นชั่วโมง รับรองเรื่องความหิว (เตือนแล้วนะ...นี่พลาดมาแล้ว หิวมาแล้วด้วย) ​

    จากเรือสู่เกาะ

    ก่อนถึงที่หมาย สปีดโบ๊ทพาเรามาแวะพักที่เกาะไข่ เกาะเดียวกับในโลโก้ประจำจังหวัดสตูลนั่นแหละ เป็นเกาะเล็กๆที่ทรายขาวออร่ามากรวมถึงน้ำทะเลใสไล่สีฟ้าเขียว มาถึงกับเขาเสียทีนะเกาะไข่เนี๊ยะ ในรูปที่เขารีวิวดูจะไม่ต่างจากสายตาเห็นแต่ของจริงย่อมสวยกว่า.. ทะเลที่มีฟิลเตอร์เป็นของตัวเอง ฟ้าที่ระจ่างสดใส แดดที่ร้อนแรงแต่มีความหมายน้อยลงไปจากความสวยงามเบื้องหน้า ลืมไปเลยว่าไม่ได้ทากันแดด... แวะพักไม่นานผู้โดยสารทยอยขึ้นเรือเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง หลีเป๊ะที่เขาว่ากันอย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้นมันจะสักแค่ไหนเชียว?

     

    นั่นไงล่ะ สปีดโบ๊ตกำลังพาเราเข้าใกล้เกาะตรงหน้า ผ่านโป๊ะกลางทะเลที่มีไว้สำหรับเฟอรี่ถ่ายคนเพื่อลงและขึ้นเกาะ นั่นเองเกาะที่มีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆนั้น ในตอนนี้ยังแสนสวยงาม ทะเลสีเขียวเข้มได้เปลี่ยนสีอ่อนเมื่อเข้าใกล้หาดขึ้นเรื่อยๆ ใส...ใสมากจริงๆ หากเรือหยุดนิ่งตรงไหนสักที่คงบอกได้ว่าความใสที่เห็นทะลุไปยังผืนทรายขาวเนียนขนาดนี้ไม่ต่างอะไรกับกระจกเลยทีเดียว

     

    และเมื่อเรือหันท้ายเข้าหาด ผู้คนลงจากเรือลำเล็กนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงลำดับของเรา เมื่อเท้าแตะทรายแล้วแทบจะไม่อยากเชื่อความรู้สึก ในเมื่อมันเหมือนแป้งละเอียดมากกว่าเม็ดทรายทำไมเราจะไม่หยุดสงสัยได้ถึงความพิเศษนี้ล่ะ นุ่ม...นุ่มเกินไปแล้ว เรื่องความขาวไม่ต้องพูดถึงเลย เรารอรับสัมภาระจากเรืออยู่ครู่สั้นๆ ก็ได้เวลาออกตามหาที่พักสำหรับคืนนี้ และในเมื่อได้ทำการส่องที่พักจากหน้าเว็ปต่างๆแล้ว Booking ผ่าน Agoda สิ่งที่ต้องทำลำดับถัดไปก็แค่เดินหาที่พักเท่านั้นเอง

     

    จากหน้าเกาะสู่ห้องพัก

    เราทำการBookingห้องพักกับโฮสเทลที่ชื่อว่า The street hostel และก็ไม่ได้แปลกใจในชื่อนี้สักเท่าไหร่ในเมื่อมันหาง่ายมากๆ ทั้งยังตรงตามความหมาย แค่เดินทางเข้า Walking Street ไปเรื่อยๆ นาทีเดียวก็มายืนตื่นเต้นกับดีไซน์ของHostelนี้แล้ว บอกตรงๆ ว่าที่Bookingที่พักนี้เพาะ โลโก้และภาพถ่าย สำคัญก็คือราคาห้องพักและความสะดวกในการเดินเที่ยว ซึ่งก็คงจะไม่แปลกเมื่อพบว่าของจริงนั้นน่าตื่นเต้นสำหรับเรานัก

    The Street hostel เป็นโฮสเทลเก๋ๆ ที่ต้องเชคอินด้วยภาษาอังกฤษเพราะไม่มีพนักงานพูดไทยได้สักคน ก็พูดๆไปเถอะ..งูๆ ปลาๆ ให้ได้พักเป็นพอ จัดการเชคอินเรียบร้อยเราได้ห้องพักเป็นห้องรวมเตียงใหญ่อยู่ชั้นสาม (ชั้นบนสุด) ได้เดินผ่านชั้นสองที่ตกแต่งไว้อย่างคูลๆ มีเคาเตอร์ส่วนรวมให้ปิ้งขนมนมเนย ตู้เย็นรวม และโต๊ะไม้ยาวให้นั่งเล่นนั่งเมาท์ หรือจะนั่งถ่ายรูปก็เป็นมุมเก๋ๆที่น่าสนใจนะ ขึ้นไปชั้นสามในห้องมีเพื่อนร่วมห้องอยู่ก่อนแล้วสังเกตจากสัมภาระไซส์ใหญ่ แน่นอน...ไม่ใช่เอเชียอย่างเราๆ ชัวร์ แต่เขาไม่อยู่ก็ลดความเกร็งไประดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ยังไม่ต้องท่องภาษาอังกฤษในตอนนี้ละนะ ห้องนอนไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็มีล็อกเกอร์ส่วนตัวให้คนละตู้ ที่นอนสำหรับสองคนกับผ้าห่มนุ่มๆ ผืนหนาในห้องแอร์ สีสันขาวตัดเทา ตัวเตียงเป็นเตียงสองชั้นและกั้นม่านเพื่อความเป็นส่วนตัวขึ้นมาอีกนิด เนื่องจากห้องพักอยู่ชั้น 3 หน้าต่างบานยาวจึงเปิดเผยถึงทิวทัศน์ที่หันไปหาทะเลให้ได้เห็นสลับกับหลังคามุงจากของร้านรวง เราเดินไปสำรวจห้องอาบน้ำและห้องน้ำที่จัดแยกฝั่งเอาไว้ ก็สะอาดดี มีไดร์เป่าผมบริการ...ส่วนจะใช้เป่าอะไรกันมาบ้างนั้นสุดแล้วแต่ความจำเป็นของผู้มาเยือน ซึ่งHostelนี้เป็นห้องน้ำรวมนะ เดินโผล่ไประเบียงหลังห้องเป็นพื้นที่ให้ตากเสื้อผ้าเรายืนรับลมแล้วเหลือบไปเห็นเวทีขนาดใหญ่สีขาวยังสงบอยู่ก็พาให้คิดไปว่า...ถ้าตกค่ำแล้วที่ตรงนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้น

    จากห้องพักสู่ตระเวนเกาะ

    ใครที่มาเกาะหลีเป๊ะก็คงจะเข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาที่เกาะสวรรค์แห่งนี้จะตื่นขึ้นเมื่อเราใกล้หลับ เมื่อพบว่าเวลากลางวันร้านรวงพากันปิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ถนนคนเดินที่ติดจะเงียบมีเพียงShopขายทริปดำน้ำและเที่ยวเกาะ Shop spa ร้านอาหารบางร้าน เซเว่นฯ  ร้านสะดวกซื้ออื่นๆ และคลินิก หลังจากพักผ่อนเอาเรี่ยวเอาแรงคืนมาจากการโดนเฟอรี่ซัดรวมถึงแกะเสบียงออกมาจัดกันอย่างหิวโหย ก็ได้เวลาออกล่า..  ไม่ใช่สิ  ออกหาอะไรทำ โดยการเดินสำรวจเกาะนั่นแหละ...เดินได้สักพักเพื่อนสาวกวักมือหยอยๆ อยู่หน้าShopขายทริปดำน้ำ สอบถามได้ความว่าเหลือเพียงทริบดำน้ำรอบเย็น17.30-ค่ำ20.00น. (โดยจะได้ชมตะวันตกดินไปจนถึงได้ดูแพลงก์ตอนด้วย) เท่านั้นที่สามารถยังเที่ยวได้อยู่ ทั้งได้ในราคาคนละ 300 บาท แต่ขอเช็คกับทางเรือก่อนว่าเต็มแล้วยัง?   เต็มแล้วยัง?  แล้วเต็มแล้วยังล่ะ? คำตอบ ค่ะ...เต็มแล้วจ้า ><  มันจะรู้สึกเหมือนโดนหักอกหน่อยๆ ชีวิตเป๋ไป 5 นาทีโดยประมาณ แต่ก็คิดว่าเราเดินไปหาจุดชมวิวดีๆ เสียหน่อยแล้วกัน ถ่ายภาพมุมสูงคงสวยไม่หยอก สอบถามทางไปจากชาวบ้านได้คำตอบว่า “ไป View point สิ ” อ่ะ..ก็ไป เดินขึ้นเนินกันขาสั่น...มันไม่ได้ทรหดอะไรนักหรอก มันแค่แก่ แรงมันเลยหาย ถถถ+

    เราเดินกันไปถึงหน้าหาดที่มีชาวต่างชาตินอนอาบแดดกันเรียงรายทุกวัย ตัดสินใจแล้วว่าขอลงน้ำสักทีเถิด ขอความเป็นทะเลให้ชีวิตหน่อย เดินตุปัดตุเป๋ลุยน้ำไปเห็นปลาเล็กปลาน้อยกับกองปะการัง นึกดีใจอยากจะลองซองกันน้ำที่อุตส่าห์ซื้อมาเพื่อทริปนี้ ถลาลงไปถ่ายเสียใกล้จนใครบางคนตะโกนขึ้นมาให้ถอยออก อา..เจ้าหน้าที่ผู้รักษาหน้าหาดนั่นเอง ซึ่งพี่ท่านให้เหตุผลว่ามันเป็นปะการังอ่อนแต่เมื่อมันเป็นการให้เหตุผลจากที่ไกล เลยดูเหมือนกำลังโดนฝึกทหารอย่างไรอย่างนั้น แล้วด้วยเป็นการให้เหตุผลกันอย่างซีเรียสด้วยแล้วเลยทำเอาใจเสียไปเหมือนกัน ใจเสียที่ไปเที่ยวโดยไม่ได้มีความรู้เพื่อที่จะทำให้การเที่ยวนานๆ ทีในครั้งนี้จะเป็นการได้รักษาธรรมชาติและรักษาความทรงจำดีๆ ไปด้วย ใจเสียและเสียใจ แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวอีกจำนวนประปรายหลุดเข้ามาในวงโคจรมาคุทั้งไทยทั้งเทศโดนว๊ากไปเป็นที่เรียบร้อย...ค่ำนั้นเลยได้แต่คิดว่าฉันจะทำอย่างไรเพื่อกู้ความรู้สึกสดใสในการเที่ยวทะเลกลับคืนมา เวลาก็สั้นแค่นี้อารมณ์ดีด๊าลดไปกว่า30% ด้วยว่าดันเป็นคนชอบคิดมากอยู่แล้ว...ถ้าไม่รีบแก้มันจะทำให้เพื่อนร่วมทริปเซ็งเอาได้..  เออ  นางเซ็งจริงนะ ถถ+

     

    จากตระเวนเกาะสู่อาการ หิว

                   เย็นย่ำเราพากันกลับไปเปลี่ยนชุดล้างทรายให้พร้อมสำหรับการทานมื้อค่ำ พกเสบียงสดส่วนตัวแล้วตรงเข้าร้านอาหารมุสลิม ที่มีอยู่ไม่น้อยแต่คิวยาวเอาเรื่องเพราะมื้อค่ำเป็นมื้อที่ทุกคนขวนขวาย เข้าใจว่าหมดแรงเล่นน้ำกันมา... เราจัดส้มตำกันไป 2 จาน ปลาหมึ่กย่าง 1 ไม้ โดนไป 300 กว่าบาท รสชาติดี ในกระเป๋าเสบียงพกข้าวเหนียวกับเนื้อทอดHome madeมา แค่นี้ก็ทำให้ทั้งอิ่มและตัวเบาได้ในเวลาเดียวกัน

    จากอิ่มไปจนกว่าจะหลับ

                   จุดแยกทางระหว่างเราและเพื่อนร่วมทริปเกิดขึ้นหน้าร้านส้มตำ เมื่อเราดันพาขากล้องมาเพื่อตั้งใจจะไปฝึกถ่ายดาวที่อยู่เหนือเกาะหลีเป๊ะ ดาวสวยนะ...แต่ฉันมีเพียงคู่มือจากพันทิป จะถ่ายดาวให้ติดก็แสนยาก ตั้งกล้องจนน้ำขึ้นจวนจะถึงปลายเท้าก็แล้ว ปรับไปปรับมาบ้าบออยู่คนเดียวกระทั่งพอจะได้รูปมาบ้าง แสงไฟวูบวาบเบื้องหลังก็เรียกความสนใจ อา...หาดพัทยาเขามีแสดงไฟ... ไม่ต้องคิดมากเลย เราทำการยกขาตั้งกล้อง หมุนตัวไปหาโชว์ในทันทีจัดแจงถ่ายภาพออกมาจนดึกดื่นกระทั่งเพื่อนสาวตามมารับกุญแจเพื่อจะกลับที่พัก แต่ไหงขากลับเดินเลยมาถึงร้านเตอปิลังก็ไม่รู้สิ สั่งน้ำไปคนละแก้วรวมถึงโรตีสับปะรด รสดีทีเดียวแต่คิวโรตีค่อนข้างนานเพื่อนสาวเลยขอกลับก่อนเพราะทางโฮสเทลแจ้งว่าปิดเวลา 4 ทุ่มตรง ...ที่รอโรตีอยู่นี่ก็ 3 ทุ่ม 59 นาทีแล้วล่ะนะ แต่ไม่เป็นไร พนักงานน่ารัก น้ำดี โรตีอร่อย เดินกลับที่พักไปชิวๆแบบฉิวเฉียด แต่เรื่องการปิดโฮสเทลในเวลา 4 ทุ่ม ถ้าจะกลับดึกกว่านั้นก็มีวิธีการบอกอยู่หน้าทางเข้า แล้วเนื่องจากว่าซัดโกโก้เย็นไปเต็มที่ โรตีเลยเป็นหมันต้องฝากเอาไว้ในตู้เย็นรวมเสียก่อน  หากยังจำกันได้ที่เคยบอกเรื่องวิวหลังห้องเป็นเวที เมื่อเราง่วงกันเต็มที่พร้อมนอนให้เต็มตื่น หลีเป๊ะเองก็ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลในตอนกลางวัน ดีดกันไม่หยุดเลยทีเดียว หากไม่เพลียร่างเห็นทีคงไม่ได้หลับได้นอนกันแน่ๆ เดาเอาว่าเพื่อนร่วมห้องก็คงติดอยู่ตรงเวทีไหนสักที่บนเกาะเพราะคลาดกันตลอด

     

    ตื่นมาก็วันสุดท้ายแล้ว

    เช้าวันต่อมาได้เวลากลับ ยัง..จะยังไม่กลับโดยไม่ได้เล่นน้ำหรอกนะ เราออกมาหน้าหาดพัทยาก่อนโดยลำพังแล้วเดินเลียบหาดไปเรื่อยๆ ในใจก็ยังคิดถึงเรื่องที่โดนว๊ากเมื่อวาน สิ่งที่พอจะทำได้ก่อนกลับไปในเวลาแค่นี้...เราควรทำอะไรดีล่ะ? เดินเลียบหาดไปเรื่อยๆ เลยคว้าหมับเข้ากับถุงพลางติกใบเขื่องที่ลอยมาติดแหมะอยู่บนหาด สะบัดถุงเข้าได้ก็จัดการลงไปงมปลา เห้ย...ไม่ใช่ ทำก็ห่วยแล้ว! หน้าหาดมีเศษขยะเล็กขยะน้อยขยะหนักอยู่ประปรายไปหมด ทั้งที่โดนทิ้งมาจากเกาะและโดนซัดมากับคลื่น เราเก็บมันไปเรื่อยๆพลางๆอาบแดด พลางๆถ่ายรูปช่วงเวลาที่น้ำค่อยๆขึ้นมาเรื่อยๆ ในใจได้แต่คิดถึงเรื่องเมื่อเย็นวาน ขอโทษนะอนีโมนี ขอโทษนะปลาการ์ตูน ปลาลายเสือ แกคงตกใจ ฉันช่วยดูแลบ้านแกเป็นการไถ่โทษนะ...คงเป็นสิ่งเล็กๆที่พอจะกูความรู้สึกไม่ดีนั้นมาได้ ยามเช้านั้นสงบสบายใจขึ้น นักท่องเที่ยวบางคนออกมาจ๊อกกิ้งริมหาด บางคนลงเล่นน้ำ บางคนเตรียมตัวนั่งเรือกลับ บางคนเดินเก็บขยะไปเหล่ฝรั่งไปเพลินๆ ...(เออ ฉันเอง 55+) จนเมื่อมีสายเรียกเข้าจากเพื่อนสาว ทำให้แทบจะแจ๊นไปหาในทันที “ฮัลโหล ไปอาดังกัน” ค่ะ ไปค่ะซิส ถลาไปทิ้งขยะแล้วเดินกึ่งวิ่งจากหาดพัทยาไปหน้าฝั่งเดิมที่โดนว๊าก แถวๆ Cast Awayโน่นล่ะ  ไปแบบเสียวๆ ภาวนาขอไม่เจอะไม่เจอกันอีก เพราะเราสำนึกแล้วและเราใจบางมาก..TT  แจ๊นมาถึงด้วยร้อยยิ้มและความหอบ เราตรงไปที่ศาลาเรือแท็กซี่สอบถามมีทั้งเหมาครึ่งวัน เหมาเต็มวัน หรือนั่งเป็นรอบๆ แต่ดูจากเวลาแล้วนั่งเป็นรอบจะเซฟเวลาสุด ต่อให้ไปได้แค่เกาะอาดังเกาะเดียวเราก็จะไป

    วันสุดท้าย..อีกแป๊ปหน่า..!

    พอได้ขึ้นเรือก็พากันนั่งแทบไม่ติด...ตื่นเต้นหรอ?  ฮื้ออออออออออ!! คลื่นแรง เรือเร็ว นั่งได้ก็เทพแล้วนั่น หันไปมองลุง..ถือหางเสืออย่าคูลผิดกับเราสองที่โดนฟัดอยู่ในเรืออย่างกับลูกบอลกระเด้งไปกระเด้งมา เอาค่ะคุณลุง ดริปเรือแบบดอม วีโต้เลยก็ได้พวกหนูยอม ในจุดนี้ที่เรือแล่นไปแล้วมองดูผืนทรายเบื้องล่างผ่านน้ำใส ลมเย็นๆ พัดเข้ามากับความแรงของเรือมันคือประสบการณ์สุดระทึกและสนุก

    เกาะอาดังมีทะเลสงบๆให้ได้เล่นน้ำ สำคัญคือมีจุดชมวิวบนยอดเขา ที่สูงเกินกำลังขาเราในตอนนั้นและเวลาในตอนนั้นจะก้าวไปหาได้ไหว (เราต้องเชคอินเรือกลับ 12.30 น.) เลยดี๊ด๊าเป็นMermaidเล่นน้ำตรงหาดแสนเงียบนั้นอย่างอิ่มใจ เพียงครู่มีสองสามีภรรยาชาวต่างชาติเดินเงียบๆ มาวางสัมภาระอยู่ไม่ไกล สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่การนั่งทาครีมกันแดด หรือลงนอนอาบแดดในทันที แต่พวกเขาพากันเดินเก็บขยะหน้าหาดที่แทบจะไม่ทันสังเกตแต่เมื่อเก็บมากองรวมกันก็เป็นปริมาณที่ทำลายทัศนียภาพและระบบนิเวศได้หลายยก เราชอบในสิ่งที่ลุงกับป้าทำ ไม่รู้ทั้งสองมาจากประเทศอะไร...แต่มาเก็บขยะไกลถึงนี่ ซึ่งควรเป็นพื้นฐานของนักท่องเที่ยวทุกคนที่จะทำให้เกิดการให้และรับสิ่งดีๆ แบบนี้ไปจากสถานที่สวยๆ เพื่อให้มันคงอยู่และงามอย่างเดิมต่อไป มองดูไปอย่างกระดากอายที่ลุงกับป้าแกอาจจะเดินทางมาครึ่งโลกเพื่อมาเก็บขยะยี่ห้อไทยจนเป็นกองย่อมๆ อ่ะ..ไปๆ ช่วยเขาเก็บ เพื่อนร่วมทริปชักชวน

    ซึ้งมากพอแล้วจนได้เวลากลับจริงๆ ลุงเรือหางยาวแท็กซี่ไม่ได้ไปไหน จอดรอเราที่ท่าอยู่ตลอดพร้อมทั้งได้ลูกค้าเพิ่มเป็นคู่รักชาวฝรั่งเศษ ทักทายกันพอหอมปากหอมคอก็รู้ว่าเขากำลังจะกลับแล้ว “ คุณมาไกลกันจังนะ ” หนุ่มชาวฟร๊านซ์พูดติดตลกเมื่อรู้ว่าพวกเราเป็นคนไทย 

    จะกลับจริงๆแล้วหรอ?

                   กลับถึงโฮสเทล เรารีบเข้าไปอาบน้ำจัดแจงข้าวของพร้อมเช็คเอาท์ในเวลา 11 โมง นิดๆ แต่ยังไม่กลับออกไปง่ายๆ ยังขอไปตำคาเฟ่ต์ ชิคๆ บรรยากาศดีๆอย่าง Bloom Bar เสียตังค์ชุดใหญ่ให้กับน้ำ 2 แก้ว คือกาแฟ และ น้ำมะม่วง+เสารส ปั่น น้ำผลไม้เป็นอะไรที่สดชื่นมาก เป็นน้ำปั่นที่ไม่พบเกล็ดน้ำแข็งเหมือนกับว่าเขาใช้เนื้อผลไม้แช่แข็งมาปั่นให้กินคู่กับโรตีสับปะรด(ที่เก็บเข้าตู้เย็นไว้เมื่อคืน และแน่นอนมันยังเย็นอยู่) และถึงแม้จะเย็นแต่ถ้าได้วิปครีมกับไอศกรีมสักลูก มันก็เป็นแพนเค้กรสเยี่ยมดีๆ นี่เอง ...ถ้ามาอีกก็จะกินแบบนี้ล่ะ มาร์กไว้เลย

    ขากลับเราเลือกกลับด้วยเฟอรี่ที่จองพร้อมกับขามานั่นแหละ เดินไปยังท่าเรือหน้าบันดาหยารีสอร์ท แจ้งเช็คอินจ่ายค่าเรือหางยาวขึ้นโป๊ะ รอคิวครู่เดียวก็ได้นั่งเรือไปยังโป๊ะ แจ้งตั๋วขึ้นเฟอรี่แล้วก็รอ...อีกพักหนึ่ง เฟอรี่ของเราก็มาเทียบท่า พาคนบกมาส่งและรับคนจากเกาะกลับฝั่ง นั่งเฟอรี่ ไปชั่วโมงกว่าๆ ถึงท่าเรือปากบาราอย่างนิ่มนวลเพราะเป็นเรือใหญ่...เด็กชายที่นั่งอยู่ใกล้ๆร้องบอก “ โอโหน้ำดำเลย ” เพราะสีน้ำตรงท่าเรือนี้แตกต่างและเปลี่ยนไปเป็นคนละโทนกับบนเกาะหลีเป๊ะราวฟ้ากับดิน อยากจะบอกเจ้าหนูว่าเมื่อ4-5ปีก่อน น้ำที่ท่าเรือก็เขียวเข้มสดใส มีปลาเล็กปลาน้อยแหวกว่ายต้อนรับเหมือนกลางทะเลนั่นแหละ แต่ด้วยอะไรก็ไม่รู้สินะ น้ำถึงเปลี่ยนสีเข้มไม่สดใสอย่างแต่ก่อน ป้าไม่รู้จริงๆ 

    ถึงท่าแล้วกลับจริงแล้ว!

    แล้วก็กลับสู่บรรยากาศเดิมๆ เดินออกจากท่า รับเซอร์วิสมายด์จากแม่ค้ารอบทิศ เพียงเสี้ยววินาที เพื่อนสาวไปสบตาเข้ากับส้มตำรถเข็นเจ้าหนึ่งเจ้าเดียว (นี่ก็ไม่รู้เป็นอะไร ส้มตำไปทุกมื้อจริงๆนะ55+) ที่อยู่หลังShopถ่ายรูปขึ้นจาน ไม่พูดพร่ำทำเพลง สั่งส้มตำกันไปกินแถวๆนั้นให้ว่อง รวมถึงจะทำการปิดพิธีเสบียงสดที่พกมาด้วย ใช้เวลาไม่นานเคลียร์ทุกอย่างสะอาดวับก็ต้องรีบรักษาเวลาเช็คอินรถทัวร์รอบสุดท้ายที่ขนส่งหาดใหญ่ แต่ก่อนจากท่าเรือปากบาราไปพื้นที่ในท้องมันยังเหลือ เลยจัดขนมโตเกียวของพี่สาวคนฮาม อัธยาศัยดีไป อร่อย... 

    แหม่ ทริปนี้มันรีบจริงด่วนจริงอะไรจริงนะพี่นะ!

    ทันทีที่ได้มานั่งแหมะอยู่บนรถ เพื่อนสาวทำการเหยียบคันเร่งรักษาเวลาไปอย่างฉิวเฉียดเพื่อให้ทันเช็คอินรถทัวร์ในเวลา 2 ทุ่มตรง อำลาอาลัยกันใน1นาทีนิดๆก็ต้องแยกจากและทำการปิดทริปด้วยการรอรถทัวร์เที่ยวสุดท้ายอย่างเดียวดายและเหนื่อยล้า

     

     

    เคลียร์ค่าใช้จ่าย ไม่รวมค่ากิน

    • ขาไป Booking AirAsia รวมสิ่งอย่างต่างๆ (ในเที่ยวบิน)                                           1086 บาท
    • เรือไป-กลับ By หลีเป๊ะ เฟอรี่&สปีดโบ๊ต (ขาไปSpeed boat ขากลับ Ferry)  1900 บาท/2คน (950)
    • ค่าที่พัก The street Hostel ห้องรวมเตียงใหญ่ 1 คืน                                  1190 บาท/2คน (595)
    • เรือหางยาวTaxiข้ามฝั่งไป-กลับเกาะอาดัง                                                  400 บาท/2คน (200)
    • ค่านั่งเรือหางยาวไปโป๊ะเพื่อต่อเฟอรี่                                                          100 บาท/2คน (50)
    • ค่าน้ำมันรถ                                                                                               500 บาท/2คน (250)
    • ค่ารถทัวร์กลับ กทม.                                                                                                 790 บาท

     

    ค่าใช้จ่าย

    ส่วนของเราผู้เดินทางมาไกลรวมเป็น(กทม-หาดใหญ่-สตูล)                                              3921         บาท

    ส่วนของเจ้าของรถยนต์ผู้ร่วมทริป(หาดใหญ่-สตูล)                                                           2045       บาท

     

    หมายเหตุ

    **ราคานี้ไม่รวมอาหาร

    **ไม่รวมที่พักบางคืนบนแผ่นดินสตูลเพราะนอนบ้านยายไม่เสียตังค์

    **ความคุ้มค่าในการท่องเที่ยวสำหรับบางคนอาจเป็นการเสียค่าใช้จ่ายให้ถูกหรือแพงที่สุด/เก็บที่เที่ยวให้ได้มากที่สุดในเวลาที่สั้นมากๆ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่สำหรับเรา...การได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ถูกและผิดแล้วแก้ไขมันเดี๋ยวนั้นตอนยังมีโอกาส การได้ลงมือวางแผนการเดินทาง และเดินทางกับคนที่ไว้ใจไปด้วยกันได้ ถึงแม้ว่าไลฟ์สไตล์จะไม่ได้เหมือนกัน วุฒิภาวะต่างกันแต่ว่าสิ่งเหล่านั้นมันก็ทำให้ทริปนี้เริ่มและจบลงไปอย่างน่าพอใจ สิ่งที่ยังค้างคาใจบนเกาะเห็นจะเป็นทริปดำน้ำต่างๆที่ยังไม่ได้เก็บ นั่นก็มากพอที่จะบอกกล่าวว่า ยังไงก็จะต้องกลับไปซ้ำ หลีเป๊ะ นี้อีกครั้ง...อีกครั้ง และอีกครั้งให้ได้

     

    **การเก็บขยะ สามารถร่วมกิจกรรมได้ทุกวันพุธของเกาะ แอบเห็นป้ายแว๊บๆ บอกมีเลี้ยงข้าวด้วยแต่ไม่ได้เก็บรูปมาฝาก ยังไงใครไปถูกวันก็ไปแจมกิจกรรมดีๆ แบบนี้ได้ หรือต่อให้ไม่ใช่วันพุธก็ทำได้...เพราะขยะเกิดขึ้นทุกวัน พกถุงไปเก็บขยะหน้าหาด เดินเรื่อยๆ ได้เก็บภาพชิลๆ ด้วยนะ

     

    อันนี้เป็นเส้นทางการติดต่อเรื่องเรือนะเผื่อใครกำลังคิดว่า ...นี่ตรูกำลังอ่านข้อมูลอะไรอยู่ 55+

    -เราจองที่พักกับ Agoda อย่างที่บอกไปข้างต้น เวลาเลือกก็ดูปริมาณดาวและเลื่อนดูคอมเม้นต์ อันไหนใช่ก็จองอย่างของเราจองก่อนจ่ายหน้างาน

    -เราจองเรือไปกลับกับทางนี้ >> https://www.facebook.com/www.lipeferry.net/   http://www.lipeferry.net/index.php  จิ้มเพจเข้าไปมีข้อมูลอยู่ เลาจ่ายตังค์เขาจะกำหนดวันจ่ายมัดจำก่อนหลังจากนั้นไปจ่ายตอนเช็คอิน ที่เหลือไม่รู้อะไรถามเพจถามเว็บเขานะไม่ยาก คุยเองอินกว่าเชื่อสิ J (อ่อป่าวรายละเอียดลืมจด ถถถ+)

    -เราฝากรถแถวๆท่าเรือปากบารานั่นแหละ ป้ายเขาบอกอยู่   ไม่ต้องจองล่วงหน้า..

    -เรือเที่ยวแรกออกเวลา 9.30 น. และเป็นเรือสปีดโบ๊ทเท่านั้น (ใช่แหละ ==” )

    -เรื่องทริปดำน้ำ เราเคยเสิร์ชข้อมูล พบว่าสามารถเหมาเรือชาวบ้านให้พาไปเที่ยวได้ ก็ไอ้ที่เขาไปๆกันพี่ๆลุงๆเขาก็พาไปได้หมด แต่ตอนที่โทรจะจองคือคิวทองมากไง เวลาไม่ต้องกันเลยอด ..แต่!!  อย่าเพิ่งสลด บนเกาะมีหน้าร้านให้เข้าไปถามเพียบ ไม่ก็เดินดุ่มๆไปถามแถวศาลาเรือแท็กซี่ก็ได้ อย่างที่เราไปถามมาก็มีหลายเวลา ต่อให้ไม่จองล่วงหน้าก็ยังไปเข้าคอร์สเมอร์เมดได้อยู่ ราคาก็ตามหน้างานนั่นแหละ

    -ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็ไปเองได้ อย่างที่บอกว่ารายละเอียดอยู่หน้าเพจหรือหน้าเว็บเลย เขามีทั้งเป็นแพคเกจ และมีแยกเลือกใช้บริการกันตามความสะดวก

    -คือเราอ่ะ เสียดายเรื่องอาหารมาก ใครได้ไปหลังจากนี้ฝากไปกินซีฟู๊ดบุปเฟ่ต์ด้วยนะหัวละ 490 อ่ะ / น้ำปั่นแก้วละ 80 นั่นด้วย..จัดหน้าร้านโคตรจะมีความฮาวายเลย /แวะBloom bar ด้วยนะ อย่าทะลึ่งไปตอนค่ำล่ะ ...เขาเปิดเฉพาะกลางวัน / ไปดูวิวมุมสูงบนเกาะอาดังด้วยนะ สวยดี(นี่ตามดูจากแฮชแท็กในไอจีเอา) /ที่เหลือไปหากันเองนะ ถ้าฝากเพิ่มอีกนิดนี่...เหมือนจะลาไปตายแล้ว --*

    เดี๋ยวเราค่อยตามไปซ้ำวันหลัง

     

    มาอำลากันหน่อย ถ้าทนอ่านกันมาถึงตอนนี้แล้ว...

    เราคิดว่า การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเกิดหรือต่างเมือง สิ่งสำคัญที่จะส่งต่อความสวยงามได้ยาวนานคือการสำนึกรักในสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่ถูกจัดอยู่ในส่วนที่แย่ การท่องเที่ยวอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ทั้งในทางที่ดีและไม่ดีให้กับคนพื้นถิ่น และธุรกิจการท่องเที่ยวเองก็สร้างชีวิตที่ดีขึ้นแก่ชุมชนเพื่อการมีกินมีใช้ เราคิดว่าสิ่งที่สถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติในบ้านเรายังขาดอยู่คือการเอาแน่เอานอนกับกฏการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับธรรมชาติ เข้าใจตรงกันในสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำบนเกาะสวรรค์นี้หรือสถานที่อื่นๆ นักท่องเที่ยวจำนวนมากอยู่บนเรือลำเดียวกันก่อนจะเดินทางไปถึงเกาะหลีเป๊ะหากมีการสร้างความเข้าใจในธรรมชาติของเกาะ ข้อควรต้องทำเวลาน้ำขึ้นน้ำลง และสิ่งที่ควรรู้ผ่านสื่อใดสักสื่อ แสดงให้ดูก่อนจะเปิดหนังบนเรือเฟอรี่ก็ได้ เราเชื่อว่าอย่างน้อยๆพี่เจ้าหน้าที่จะไม่ต้องเสียเงินซื้อน้ำผึ้งมะนาวไปเกินจำเป็นแน่นอน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะพกความรู้ทุกสิ่งอย่างลงไปบนเกาะด้วย แต่ถึงกระนั้น...เราเชื่อว่าสำนึกสร้างได้

    โดยไม่ใช่การผลักไสความชอบหรือความรักในการเดินทาง,รักในธรรมชาติ ปิดกั้นทุกอย่างออกไปเพื่อรักษาบางสิ่งให้คงอยู่ เพราะต่อให้ขยะไม่ได้ทิ้งสะเปะสะปะอยู่บนเกาะใครบางคนก็จะเผลอทิ้งมันลงบนแผ่นดินใหญ่จนขยะมากมายลอยเกลื่อนมาติดหาดบนเกาะอยู่ดี แล้วทำไมเราจะไม่หาวิธีสร้างสำนึกดีๆ ให้ติดตัวผู้มาเยือนออกไปล่ะ?

     

    **ไปหลีเป๊ะ 2 วัน 1 คืน รอดไหม?

                   รอด! อยู่ที่ว่าจะไปทำอะไรบ้าง ต้องจัดการเวลาและพลังให้ดี อะไรจองได้ให้จองล่วงหน้า เผื่อเวลาดีกว่าขาด… จริงๆแล้วมันเป็นพื้นฐานของหลักการท่องเที่ยวและเดินทาง101เลยอ่ะเนอะ(นี่ทำเป็นพูด นี่ก็ไม่ได้จัดการอะไรได้ดีเท่าไหร่เล๊ย) แต่ถ้าไม่ได้ดั่งใจ...อย่าเฟลนาน หลีเป๊ะมีอะไรให้ทำทั้งกลางวันและกลางคืน

    **จู่ๆ นึกอยากจะไป...ไปเลยได้ป่าว?

                   ได้ดิ่ แต่! ถ้าใครมีเวลาจำกัดแบบเรา ให้กลับไปตระหนักตรงข้อแรก เพราะตอนที่เราไปรอเชคอินลงเกาะ มีคนมาจองตั๋วไปหลีเป๊ะกันหน้างาน ปรากฏว่าเหลือเรือออกเฉพาะเที่ยวบ่ายแล้ว

    **นอนHostelโอเคไหม?

                   ก็ไม่ได้แย่นี่นา แค่ศึกษาและดูรีวิวดีๆ สำคัญคือเลือกที่ปลอดภัย...ดีไซน์ดีก็ถือเป็นกำไร คิดแค่ว่าก็แค่ใช้เวลาที่โฮสเทลเป็นที่เก็บของและนอนพัก ตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้ทำอะไรในห้องละ มีแต่จะออกไปทำกิจกรรมข้างนอกกันเสียมากว่า

    **ไปหลีเป๊ะจริงๆไปสักกี่วันดี?

                4-5 วันเลยได้ไหม อยากจะดำผุดดำว่ายให้ครบไปเลย

     

    ทั้งนี้ทั้งนั้นขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ทั้งท่านที่พึงพอใจอ่านจนจบ ทั้งท่านที่หมดความอดทนในความหาสาระไม่เจอเลยอ่านไปครึ่งเดียว หรือท่านผู้อ่านที่หลงเข้ามาแล้วรีบจากไป นี่เป็นกระทู้แรก...ผิดพลาดยังไงขออภัยกันตรงนี้ เอาไปด่าลับหลังก็ไม่รู้แล้ว55+

    ปล. พวกวิดิโออะไรก็ไปดูในเพจเนาะ ‘ The Yellow Ticket ‘  ไม่มีอะไรหรอกถ่ายจากที่จริงมาลง ไม่ตัดต่อเอฟเฟกต์ด้วยยังทำไม่เป็นเนาะ

     

    จบละนะ

    หลีเป๊ะ คือเป๊ะจริงๆนะ <3

    • โพสต์-2
    โลก •  เมษายน 02, 2561

    ความสุขจากการเดินทางไม่ได้เกิดขึ้นโดยการเป็นผู้รับเพียงอย่างเดียว

    เพราะประสบการณ์การเดินทางที่น่าทึ่งเกิดจากการเป็นผู้รับและผู้ส่งความสุขต่อไปเรื่อยๆ

    โดยการดูและรักษาที่แห่งนั้นเพื่อส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังอย่างไม่บุบสลาย

    TheYellowTicket