อุบลราชธานี..ดีต่อใจ

"อุบลเมืองดอกบัวงาม แม่น้ำสองสี

มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน

ถิ่นไทยนักปราชญ์ ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม

งามล้ำเทียนพรรษา ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์

ฉลาดภูมิปัญญาท้องถิ่น ดินแดนอนุสาวรีย์คนดีศรีอุบล"

อุบลราชธานีเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและธรรมชาติ ที่สำคัญ สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ล้วนดีต่อใจจริงๆ ครับ

ขอเริ่มต้นด้วยการตะเวนไหว้พระเพื่อความเป็นศิริมงคลกับชีวิต โดยวัดแรกอยู่ที่ "วัดสุปัฏนารามวรวิหาร" ครับ

วัดสุปัฏนารามวรวิหารเป็นวัดธรรมยุติวัดแรกของอุบลราชธานี สร้างโดยพระราชศรัทธาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระอุโบสถวัดนี้มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว เพราะเป็นการรวมศิลปะจากสามแห่งมารวมกัน ส่วนหลังคาเป็นศิลปะแบบไทย ส่วนกลางเป็นศิลปะตะวันตก และส่วนฐานเป็นศิลปะแบบขอมครับ

ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระประธานของวัด คือพระสัพพัญญูเจ้า เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย

จุดหมายต่อไปอยู่ที่ "วัดทุ่งศรีเมือง" ครับ

วัดทุ่งศรีเมืองมีจุดเด่นอยู่ที่หอพระไตรปิฎกที่สร้างด้วยไม้กลางสระน้ำ มีลักษณะผสมผสานกันระหว่างศิลปะของไทย ลาว และพม่า หอไตรหลังนี้จึงจัดได้ว่าเป็นหอไตรที่สวยงามและสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของภาคอีสาน โดยมีรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่นจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามมงกุฎราชกุมารีเป็นสิ่งการันตีด้วยครับ

เดินเข้ามาในหอไตร แอบนึกเสียดายความงดงามอันทรงคุณค่าที่ถูกปล่อยทิ้งให้เก่าลงตามกาลเวลา ด้านในมีทั้งฝุ่น ทั้งหยากไย่ มูลของนกที่ถูกถ่ายอยู่เต็มด้านในหอไตร หากทางวัดเข้ามาทำความสะอาดและดูแลในส่วนนี้ ผมว่าจะทำให้หอไตรแห่งนี้อยู่คู่กับวัดไปอีกนานครับ

จากวัดทุ่งศรีเมืองไปต่อที่ "วัดมหาวนาราม" ครับ

วัดมหาวนาราม เดิมเรียกกันว่า "วัดป่าใหญ่" เป็นวัดเก่าแก่และถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของอุบลราชธานี ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระอินแปงหรือพระเจ้าใหญ่อินแปง พระพุทธรูปปางมารวิชัย ลักษณะศิลปะแบบลาว ทุกๆ ปีในเดือนเมษายนจะมีการทำบุญตักบาตร เทศน์มหาชาติชาดกและสรงน้ำปิดทองพระเจ้าใหญ่อินแปง ถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งผมเองไปในช่วงที่มีการจัดพิธีพอดี เลยได้ร่วมสืบสานประเพณีนี้ด้วยเช่นกัน ถือเป็นโอกาสดีจริงๆ ครับ

จากวัดมหาวนาราม ไปต่อกันที่ "วัดสระประสานสุข" ครับ

เพียงแค่จะเลี้ยวรถเข้าไปยังเขตวัดก็เตะตากับสิ่งก่อสร้างแรกของวัดแห่งนี้แล้วครับ เพราะที่ซุ้มประตูทางเข้าวัดทำเป็นซุ้มประตูพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ 3 เศียร เมื่อนั่งรถผ่านซุ้มประตูก็เหมือนกับได้ลอดท้องช้าง จะรอดพ้นอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไปได้ ตามความเชื่อของคนไทยครับ

ประตูทางเข้าวัดว่าแปลกตาแล้ว พระอุโบสถของที่นี่ก็แปลกตาไม่แพ้กัน เพราะอุโบสถของวัดสระประสานสุขสร้างเป็นรูปเรือสุพรรณหงส์ที่ประดับตกแต่งด้วยเซรามิค ด้านบนเรือมีฝีพายกำลังพายเรืออยู่ด้วย ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน และมีจิตกรรมฝาผนังที่งดงามครับ

นอกจากอุโบสถเรือสุพรรณหงส์แล้ว ที่ด้านท้ายวัดยังมีวิหารกลางน้ำเรือธรรมนาคราช หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าวิหารกลางน้ำที่สร้างไว้กลางน้ำบนพญานาคราชรูปร่างคล้ายเรือ ส่วนหัวเป็นพญานาคราช 5 เศียร ทางเดินเข้าวิหารกลางน้ำเป็นทางเดินด้านหางนาคราช โดยรวมแล้ววัดสระประสานสุขเป็นอีกหนึ่งวัดที่น่าสนใจ หากใครที่ชอบความแปลก แนะนำให้ลองมาสัมผัสดูครับ

จากวัดสระประสานสุขไปต่อกันที่ "วัดหนองบัว" ครับ

สิ่งที่โดดเด่นของวัดหนองบัวเห็นจะเป็น "พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์"ที่จำลองมาจากเจดีย์ที่พุทธคยา องค์เจดีย์ในปัจจุบันสร้างขึ้นครอบองค์พระธาตุเดิม ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากกรุงเทพฯ และเกล็ดชิ้นส่วนของพระธาตุพนมซึ่งถือว่าเป็นเสมือนหนึ่งบรมครูของพระธาตุทั้งปวงในภาคอีสาน ด้านนอกว่ายิ่งใหญ่อลังการแล้ว ด้านในยิ่งงดงามมากๆ ภายในพระธาตุมลังเมลืองด้วยสีทองอร่าม งดงามมากๆ ครับ

ตะเวนไหว้พระในตัวเมืองอุบลราชธานีกันมาเยอะแล้ว ขอข้ามไปไหว้พระที่ อ.สิรินธรบ้าง โดยผมเลือกปักหมุดที่ "วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว" อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวอุบลราชธานีครับ

วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว หรือเรียกง่ายๆ ว่า วัดเรืองแสง เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง จำลองสภาพแวดล้อมของวัดป่าหิมพานต์ บริเวณยอดเขาเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถสีปัดทอง ลักษณะคล้ายพระอุโบสถของวัดเชียงทอง ในเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ช่วงที่ผมเดินทางมาถึงเป็นช่วงแสงสีทองจากดวงอาทิตย์เริ่มสาดส่องมายังพระอุโบสถ ดูมลังเมลืองเป็นอย่างมากครับ

ด้านในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน ซึ่งเดิมเป็นองค์พระพุทธชินราช แต่ภายหลังมีการออกแบบใหม่ โดยถอดรัศมีและพระเกตุมาลาออก และมีการแกะสลักไม้ให้เป็นต้นโพธิ์อยู่ด้านหลังพระประธานด้วย เสาของพระอุโบสถแต่ละต้นลงลวดลายด้วยมือ ดูโดยรวมแล้วงดงามมากๆ ครับ

จิตกรรมฝาผนังรูปต้นกัลปพฤกษ์ขนาดใหญ่นี้ เป็นฝีมือการออกแบบของช่างคุณากร ปริญญาปุณโณ นอกจากออกแบบแล้ว ยังเป็นผู้ติดโมเสกแต่ละชิ้นด้วยตัวของเขาเอง โดยต้นกัลปพฤกษ์นี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากต้นไม้แห่งชีวิต ในภาพยนตร์เรื่องอวตาร ต้องยอมรับไอเดียและความละเอียดอ่อนของช่างในการค่อยบรรจงปลูกต้นกัลปพฤกษ์ที่งดงามต้นนี้ไว้ที่ด้านหลังพระอุโบสถครับ

ด้านหลังพระอุโบสถจะมีศาลาให้ได้นั่งพักผ่อน กินลมชมวิว มองเห็นทิวทัศน์ฝั่งลาว ด่านช่องเม็กรวมถึงอ่างเก็บน้ำ ดูแล้วสดชื่นดีครับ

นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยอีกจุดหนึ่งของอุบลราชธานีครับ

เมื่อแสงสุดท้ายของวันลาลับขอบฟ้าไปแสงของต้นกัลปพฤกษ์ก็ค่อยเรืองแสงสีเขียว เปล่งประกายขึ้นทีละน้อย ดูสวยงามแปลกตามากๆ และนี่เองที่เป็นที่มาของชื่อวัดเรืองแสงครับ

ยิ่งมืด ความเรืองแสงของต้นกัลปพฤกษ์ยิ่งมีสีเขียวมรกตมากขึ้น การที่ต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสงได้เนื่องจากเจ้าของไอเดียได้ใช้สารเรืองแสงที่เรียกว่า ฟอสเฟอร์ ทาลงไปที่ต้นกัลปพฤกษ์ ในช่วงกลางวันฟอสเฟอร์ที่ทาอยู่บนต้นกัลปพฤกษ์จะดูดแสงเอาไว้ และพอช่วงกลางคืนก็จะเรืองแสงออกมา นอกจากต้นกัลปพฤกษ์ที่เรืองแสงได้แล้ว บริเวณพื้นโดยรอบอุโบสถก็มีการทาฟอสเฟอร์ไว้บนลวดลายปูนปั้นที่พื้นด้วยเช่นกัน ทำให้ยิ่งตื่นตาตื่นใจขึ้นไปอีก นับถือแนวคิดของผู้ออกแบบจริงๆ ที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์แบบนี้ขึ้นมาได้ครับ

จาก อ.สิรินธร ถ้าหากยังมีแรงขับรถกันอยู่ ผมแนะนำให้ตีรถไปนอนที่ "บ้านสวนณัฐชนา" อ.โพธิ์ไทร ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับท่าเรือสองสลึง ท่าเรือที่ผมจะพาไปล่องเรือในวันพรุ่งนี้ครับ

มาดูบรรยากาศของบ้านสวนณัฐชนากันครับ รีสอร์ทแห่งนี้เป็นของอาจารย์เรืองประทิน เขียวสด ผู้บุกเบิกสามพันโบกครับ ที่นี่เป็นรีสอร์ทเล็กๆ เงียบ สงบดีครับ

อาคารนี้เป็นห้องอาหารเช้าครับ ตอนเช้าจะมีข้าวต้ม ขนมปัง ชากาแฟไว้บริการครับ

มาดูในส่วนของห้องพักกันครับ ห้องพักที่นี่มี 3 แบบ แบบแรกเป็นห้องพัก 2 คน จะมีเฉพาะเตียง 5 ฟุต 1 เตียง, แบบที่สอง พัก 3 คน จะมีเตียง 5 ฟุต 1 เตียงและเตียงขนาด 3.5 ฟุตอีก 1 เตียง ส่วนแบบที่สามเป็นห้องพัก 3 คน เตียง จะมีเตียงขนาด 3.5 ฟุต 3 เตียงครับ สำหรับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่มีให้ มีทั้งทีวี ตู้เย็น ผ้าเช็ดตัว น้ำดื่ม มี free wifi ด้วย แต่วันที่ผมไปเล่น wifi ไม่ได้ครับ

ห้องนี้เป็นแบบพัก 3 คน มี 3 เตียงครับ ต้องบอกเลยว่าห้องพักที่นี่สะอาดเลยทีเดียว

สำหรับอัตราค่าบริการ คิดง่ายๆ คือ 300 บาทต่อคน โดยราคานี้รวมอาหารเช้า (ข้าวต้ม ขนมปัง ชากาแฟ) ครับ สำหรับผู้ที่สนใจจะเข้าพักที่นี่ สามารถติดต่อได้ที่ บ้านสวนณัฐชนา โทร.081-725 4728 ครับ

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนตีห้า ผมยังไม่อยากจะลุกจากเตียงเลยครับ แต่ก็ต้องกัดฟันรีบล้างหน้าแปรงฟัน เพราะโปรแกรมเช้านี้คือการไปล่องเรือชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สามพันโบก หากออกเดินทางช้าอาจจะทำให้พลาดโอกาสดีๆ ไปได้

สมาชิกพร้อมหน้ากันเวลา 05.20 น. จากรีสอร์ทไปยังท่าเรือห่างกันเพียง 1 กม. ผมใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที เนื่องจากไม่รู้เส้นทางและยังมืดอยู่ เลยต้องค่อยๆ คลำเส้นทางไป

ผมถึงท่าเรือหาดสลึงเวลา 05.30 น. มาถึงฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ณ เวลานี้ไม่พูดพล่ำทำเพลง รีบออกเรือโดยทันที

เรือที่ใช้เดินทางลำใหญ่มาก สำหรับผู้โดยสาร 10 คน ค่าเหมาเรือ 1,000 บาทต่อลำครับ

ผมนั่งลุ้นตลอดเส้นทาง กลัวว่าพระอาทิตย์จะโผล่ขึ้นมาทักทายก่อนที่ผมจะถึงสามพันโบก จากท่าเรือใช้เวลาประมาณ 10 นาที เรือก็มาเทียบท่าที่สามพันโบกครับ

เมื่อเรือเทียบท่า ผมไม่รอช้ารีบก้าวเท้าขึ้นไปด้านบนทันที พยายามหามุมดีๆ สำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่ไม่ทันกาลแล้ว พระอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นมาทักทาย

ถึงแม้จะไม่ได้มุมถ่ายรูปดีๆ แต่ผมทันได้เห็นแสงสีทองจากดวงอาทิตย์ค่อยๆ โลมเลียแม่น้ำโขงที่อยู่เบื้องหน้าผม แค่นี้ก็คุ้มค่าแล้วที่ผมกัดฟันลุกจากเตียงนอนครับ

ผมมาสามพันโบก รอบนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว รอบแรกมาช่วงฤดูน้ำ เลยมองไม่เห็นสักโบกเลย รอบที่สองมาถึงช่วงบ่าย และรอบนี้เป็นรอบที่ 3 แต่รอบนี้พิเศษกว่าทุกๆ รอบเพราะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของการเที่ยวชมสามพันโบกครับ

"สามพันโบก" เกิดจากแก่งหินทรายที่จมอยู่ใต้แม่น้ำโขงโดนแรงน้ำวนของแม่น้ำโขงกัดเซาะ ทำให้แก่งหินกลายเป็นแอ่งเล็กใหญ่เป็นจำนวนมาก บางจุดถูกกัดเซาะมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี เกิดเป็นแอ่งขนาดใหญ่ หลุมหินเหล่านี้ภาษาอีสานเรียกว่า โบก นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า สามพันโบกครับ

สามพันโบกได้รับการขนานนามให้เป็นแกรนด์แคนยอนเมืองสยาม สามพันโบกเมืองอุบลราชธานี

บริเวณสระมรกต แอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่บนสามพันโบก อารมณ์ไม่ต่างจากสระว่ายน้ำธรรมชาติที่อยู่บนแก่งหินเลยครับ สระมรกตก็เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำโขงเกิดเป็นโบกเล็กๆ กว่า 700 โบก นานเข้าปากโบกเล็กๆ ขยายเป็นโบกใหญ่ๆ ทะลุทะลวงเข้าหากัน กลายเป็นสระขนาดใหญ่ น้ำที่อยู่ในสระมรกตจะไม่มีทางออก สระมรกตจึงมีน้ำแบบนี้ตลอดทั้งปี กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดตามธรรมชาติ ราวเดือนกรกฎาคมน้ำจะท่วมสามพันโบกรวมถึงสระมรกตแห่งนี้ ปลาที่อยู่ในสระมรกตก็จะกลับสู่แม่น้ำโขง หมุนเวียนเป็นวงจรแบบนี้ตลอดทุกปีครับ

อีกหนึ่งเสน่ห์ของสระมรกตครับ

จากสระมรกต มองเห็นท่าเทียบเรือ แสงอ่อนๆ ฉาบแม่น้ำโขงจนเป็นสีทอง

อีกหนึ่งมุมที่ผมคิดว่าใครที่มาสามพันโบกต้องตามหาโบกมิกกี้เม้าส์ครับ

หลายคนเชื่อว่าที่สามพันโบกเป็นสะดือแม่น้ำโขง และเป็นวังพญานาคครับ

ลักษณะการเกิดของโบก หากมีการถูกเจาะโดยกระแสน้ำแล้ว มันก็จะถูกเจาะไปเรื่อยๆ เพราะว่าพอเป็นหลุม น้ำที่พัดมาจะพัดหินทรายให้ตกลงในหลุม แล้วจะปั่นอยู่ในหลุม เกิดการกัดเซาะอยู่ตลอดเวลา หลุมเล็กๆ ที่เห็นอยู่บนสามพันโบก เกิดจากการกัดกร่อนประมาณ 4-500 ปี แต่หลุมใหญ่ขนาดนี้ คงเป็นหมื่นๆ ปีครับ

เพียงแค่เอากล้องลงไปถ่ายจากด้านในหลุมโบก ก็จะได้อีกมุมมองที่ดูแปลกตาครับ

อย่างโบกนี้ ไกด์ตัวน้อยบอกว่าเป็นโบกที่สามพัน กระแสน้ำกัดกร่อนจนทำให้แผ่นผาทะลุจนเป็นรู พอมาถึงโบกนี้ไกด์ตัวน้อยรีบกระโดดลงไปนอนที่ด้านล่างของโบก แล้วถ่ายรูปย้อนขึ้นมาให้กับผมครับ

เป็นอีกหนึ่งมุมมองที่ไม่ควรมองข้ามจริงๆ ครับ

ถ้ามองดีๆ จะเห็นหินหัวสุนัขครับ แต่มุมนี้อาจจะดูยากไปสักนิด

มุมนี้คล้ายซุ้มประตูหินที่เกาะไข่ ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาเลยครับ

จากสามพันโบก เรานั่งเรือต่อไปยังจุดหมายต่อไป นั่นคือ "ลานหินสี" ครับ

จากท่าเรือ เราต้องเดินเท้าต่อนิดหน่อย เพื่อไปยังลานหินสี รอบๆ มองเห็นต้นหว้าน้ำอยู่เต็มไปหมดครับ

เริ่มมองเห็นหินสี มันๆ วาวๆ คล้ายเซรามิคกระจัดกระจายกินพื้นที่กว่า 2 ไร่ สีที่เห็นสันนิษฐานว่าเป็นกลุ่มของสารฟอกเคลือบที่มากับน้ำแล้วก็มาพอกอยู่ที่หินเหล่านี้ สีที่เห็นมีทั้ง สีแดง สีน้ำตาล สีเหลืองครับ

และจุดไฮไลต์อยู่ที่หินก้อนนี้ หากสังเกตดีๆ จะมีรูปร่างคล้ายแจกันครับ

จากลานหินสีเราไปต่อกันที่ "หาดหงส์" ครับ ไกด์ตัวน้อยช่วยกันถ่อเรือเพื่อให้เรือเทียบท่า เห็นแล้วก็พลันสะท้อนนึกถึงตัวเองสมัยอายุเท่าเด็กๆ พวกนี้ ยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย

ทรายที่เห็นก็มาจากแก่งหินทรายที่โดนกระแสน้ำโขงกัดเซาะและพัดพามารวมกัน ดูไม่ต่างอะไรกับชายหาดเลยครับ บางจุดทับถมกันจนดูคล้ายกับทะเลทราย ด้วยภูมิทัศน์ที่แปลกตา หาดหงส์แห่งนี้เลยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่องฟ้าจรดทรายด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วยครับ

ผ่าน "ผาหินศิลาเลข" ถ้าหากมองดีๆ จะเห็นตัวเลขสีขาวถูกสลักไว้บนแผ่นหิน ตัวเลขที่เห็นนั้นถือเป็นร่องรอยประวัติศาสตร์สมัยฝรั่งเศส ใช้บอกระดับน้ำในแม่น้ำโขง เพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ เนื่องจากฤดูน้ำหลากบริเวณนี้จะมีแนวหินโสโครกเป็นจำนวนมากครับ

ไกด์ตัวน้อยชี้ให้เห็นหินเกล็ดปลา สังเกตที่ด้านล่างของหินดูนะครับ มีลวดลายคล้ายเกล็ดปลาจริงๆ

ร่องเรือมาเรื่อยๆ จนมาถึง "ปากบ่อง" หน้าผาหินที่เกิดจากรอยแยกตัวของแผ่นหินทรายเปลือกโลก ลักษณะเหมือนคอขวด ที่ปากบ่องนี้เป็นจุดที่แคบที่สุดของแม่น้ำโขง กว้างเพียง 56 เมตร บริเวณนี้น้ำจะไหลเชี่ยวมากครับ

บริเวณปากบ่องนี้จะเห็นชาวไทยและชาวลาวออกมาตักปลา การจับปลาที่นี่จะไม่ใช้เหยื่อ แต่จะใช้สวิงขนาดใหญ่คอยตักปลาที่ว่ายอยู่ริมตลิ่งครับ ผมใช้เวลาล่องเรือกว่าสองชั่วโมงครึ่ง ขอบอกเลยว่าเป็นสองชั่วโมงครึ่งที่มีความสุขมากๆ ครับ

บรรยากาศบริเวณท่าเรือสองสลึงครับ จากป้ายจะเห็นว่าเรือที่เหมาจะมี 2 ขนาด คือลำใหญ่ นั่งได้ 10 คน แบบที่ผมเหมาไป ราคา 1,000 บาท อีกขนาดจะนั่งได้ 5 คน ค่าเหมาลำละ 500 บาท ขอบอกเลยว่าการล่องเรือชมพระอาทิตย์ขึ้นในเช้านี้ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของอุบลราชธานีครับ

กลับมาถึงรีสอร์ทพร้อมกับความหิว ทางรีสอร์ทได้เตรียมข้าวต้มหม้อใหญ่ไว้ให้แล้ว ผมเลยจัดไป 2 ถ้วยใหญ่ๆ อร่อยมากครับ หลังอาหารจัดแจงอาบน้ำอาบท่า เก็บข้าวของและเดินทางกันต่อสู่จุดหมายต่อไป

จุดหมายต่อไปอยู่ที่ "หาดชมดาว" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหาดสลึง ทางเข้าหาดชมดาวจะมีสองทาง ผมเลือกเข้าตรงทางเข้าที่มีหลักกิโลใหญ่ๆ เลี้ยวขวาเข้าไปไม่นานก็จะมาถึงจุดสิ้นสุดเส้นทาง บริเวณนี้จะมีรถปิคอัพออฟโรดคอยให้นักท่องเที่ยวเหมาเข้าไปยังจุดที่ใกล้กับหาดชมดาว รวมถึงจะมีไกด์ตัวน้อยๆ รอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ครับ สำหรับค่าเหมารถ ถ้าจำไม่ผิด 300 บาท แต่คณะผมให้ทิปคุณลุงคนขับไปด้วย เลยให้ไป 500 บาทครับ

ผมมาถึงที่หาดชมดาวประมาณ 10.00 น. นั่งรถออฟโรดออกไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร สภาพของรถจะเป็นรถแคป ด้านในแคปอัดได้ 4 คน นอกนั้นคงต้องนั่งท้ายปิคอัพไป ตรงนี้ขอแนะนำว่าควรจะติดอุปกรณ์กันแดดมาให้เต็มที่นะครับ ไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดด หมวก ร่ม ปลอกแขน ได้งัดออกมาใช้งานอย่างแน่นอนครับ

จากจุดจอดรถเราต้องเดินเท้ากันต่ออีกนิดหน่อย ไกด์ตัวน้อยอาสาเดินนำเพื่อพาไปยังจุดที่เป็นไฮไลต์ครับ

ลักษณะทางภูมิประเทศไม่แตกต่างจากสามพันโบก การเกิดโบกนั้นเกิดเช่นเดียวกับที่สามพันโบกเลยครับ

และจุดนี้แหล่ะครับ คือไฮไลต์ของหาดชมดาว ด้วยลักษณะของหน้าผาสูงชัน เว้าแหว่งอยู่ท่ามกลางลำน้ำไหลโค้งไปมา แผ่นผืนน้ำเป็นสีเขียว บางจังหวะมองเห็นเงาสะท้อนของโตรกผา สวยงามเลยทีเดียว ไกด์ตัวน้อยอาสาโชว์กระโดดน้ำจากหน้าผาสูงลงสู่ผิวน้ำเบื้องล่าง กระโดดโชว์ไปมาอยู่หลายรอบ ใครชอบความท้าทายจะมาลองวัดความกล้า ณ จุดนี้ดูก็ได้นะครับ

ถ้าหากเพื่อนๆ อยากจะมาเที่ยวที่หาดชมดาว ขอแนะนำเลยว่าให้มาถึงช่วงเช้าหรือไม่ก็ช่วงเย็น เพราะหากมาช่วงสายราว 10.00 น. จนถึงบ่ายแก่ๆ ราว 16.00 น. แดดจะร้อนมากๆ ผมมาถึง 10 โมงยังร้อนจนแทบจะเป็นลม รู้อารมณ์คนที่ร้อนตายเลยครับ และแนะนำให้เหมารถของชาวบ้านให้มาส่งยังจุดที่ใกล้หาดชมดาวจะดีที่สุด ออมแรงเก็บไว้เดินบริเวณหาดชมดาวดีกว่าครับ อีกอย่างคือการเรียกใช้บริการของไกด์ตัวน้อยๆ จะทำให้เราไม่พลาดมุมเด็ดๆ ที่ไม่ควรพลาดถ้าหากมาเที่ยวที่สามพันโบกและหาดชมดาว และอีกอย่างเป็นการช่วยเหลือเด็กๆ ให้มีรายได้ด้วย ลองคิดดูเถอะครับ ตอนเราอายุเท่าเด็กๆ พวกนี้ เรายังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย แต่เด็กพวกนี้กลับหาเงินช่วยเหลือพ่อแม่ได้แล้ว แบบนี้น่าสนับสนุนครับ

จริงๆ แล้วอุบลราชธานียังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง มีอีกหลายสถานที่ที่อยากไปแต่ยังไม่ได้ไป มีอีกหลายสถานที่ที่ไปแล้วแต่อยากจะกลับไปอีก รอแค่เวลาและจังหวะเหมาะๆ คงจะได้เจอกันอีกนะ...อุบลราชธานี

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ