เราตื่นเช้าอีกวันแต่ไม่ถึงกับเช้ามืด หลังจากทานมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้ว เราก็เก็บของ และออกเดินทางกันต่อ วันนี้เรามีภารกิจต้องไปให้ทันแสงอาทิตย์ลอดปล่องถ้ำซึ่งจะส่องลงมายัง พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ ณ ถ้ำพระยานคร เรามุ่งหน้าไปที่หาดบางปู จอดรถเรียบร้อยก็ลงไปซื้อบัตรผ่านอุทยานฯ กันก่อน
โดยการเดินทางไปยังถ้่ำพระยานครสามารถไปได้ 2 เส้นทาง คือ
1. เดินผ่านเขาสองลูก โดยเริ่มตั้งแต่หาดบางปู ข้ามเขาเทียนไปยังหาดแหลมศาลา ระยะทางประมาณ 400 เมตร แล้วเดินต่อขึ้นไปยังถ้ำ อีกประมาณ 450 เมตร
2. นั่งเรือจากหาดบางปู ไป-กลับ 400 บาท / นั่งได้ 8 คน ไปลงที่หาดแหลมศาลา แล้วเดินขึ้นไปยังถ้ำ ระยะทาง 450 เมตร
ซึ่งแน่นอนว่าเราเลือก นั่งเรือ นั่นเองครับ เพราะด้วยความที่เรามีของเยอะทั้งกล้อง เลนส์ และขาตั้งกล้อง ที่สำคัญคือ เรากลัวจะพลาดแสงสวย ๆ นั่นเอง
ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที เรือก็พาเรามาถึงที่หน้าหาดแหลมศาลา จากนั้นเราก็เดินตามป้ายบอกทางไปถ้ำพระยานคร ทางขึ้นเขาค่อนข้างชัน แต่เดินไม่ลำบากมากเท่าไหร่ แต่ขอบอกว่าได้เหงื่อไม่แพ้การขึ้นเขาแดงเลย เดินไปถึงครึ่งทางจะมีจุดแวะพักพร้อมชมวิวทะเลด้านล่าง ใครไม่ไหวจะถอดใจนั่งรอตรงนี้ก็ได้นะครับ ส่วนเรานั้นมาแล้วต้องไปให้สุด พักซัก 5 นาที แล้วรีบเดินต่อเลย
เราเดินมาจนถึงจุดสูงสุด แล้วก็ต้องเดินลงต่อไปอีกซักพักเพื่อลงไปยังถ้ำด้านล่าง เมื่อมาถึงป้ายบอกตำแหน่งคูหาต่าง ๆ ภายในถ้ำนั่นก็หมายถึงว่าเราได้มาถึงแล้ว
ถ้ำพระยานคร เป็นถ้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีไฮไลต์อยู่ที่ แสงที่ลอดผ่านปล่องบนเพดานถ้ำ ลงมายังพระที่นั่งพอดิบพอดีจนเกิดเป็นภาพที่สวยงามอย่างมาก ซึ่ง พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ เป็นพลับพลาแบบจตุรมุข สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2433 เป็นฝีพระหัตถ์ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์ ทรงสร้างขึ้นในกรุงเทพฯ แล้วส่งมาประกอบทีหลังโดยให้พระยาชลยุทธโยธินเป็นนายงานก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมายกช่อฟ้าด้วยพระองค์เอง ที่กำแพงหินด้านขวายังมีพระปรมาภิไธยย่อในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 เป็นตัวหนังสือใหญ่สีขาวสะดุดตา พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์นับเป็นจุดเด่นของถ้ำพระยานคร และเป็นตราประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันอีกด้วย
เรามาถึงเกือบจะ 10 โมง พอดีกับแสงที่เริ่มส่องลงมาอย่างถูกจังหวะ เสียงนักท่องเที่ยวเริ่มฮือฮา และชัตเตอร์ทั้งกล้องใหญ่ กล้องเล็ก รวมไปถึงมือถือก็เริ่มดังรัว ๆ ใครอยากได้ภาพแสงส่องลงมายังพระที่นั่งสวย ๆ แนะนำให้มาในช่วง 10.00 - 11.30 น. นะครับ
เราอยู่จนแสงหมดจงเดินกลับลงมาด้านล่าง เพื่อมาขึ้นเรือกลับไปยังหาดบางปู สำหรับใครที่ขึ้นเรือมาเจ้าหน้าที่จะให้บัตรบอกเลขเรือมาด้วย บัตรนี้ต้องเก็บไว้ใช้เรียกเรือมารับตอนขากลับด้วยนะครับ โดยยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ที่หาดได้เลย
จุดหมายปลายทางสุดท้ายของทริปนี้ เราจะไปชิล ๆ ที่ หาดสามร้อยยอด หรือหาดนมสาว ซึ่งเราจะแวะพักผ่อน ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ที่นี่เงียบสงบ ชายหาดสะอาดทอดยาวกว่า 7 กิโลเมตร มีทัศนียภาพที่สวยงาม และร่มรื่นย์ไปด้วยทิวสน จุดนี้เป็นจุดที่น้ำทะเลตื้น สามารถลงเล่นน้ำได้ น้ำทะเลสะอาด แต่อาจไม่ใสมากเพราะมีดินเลนผสมอยู่ด้วย จากชายหาดจะสามารถมองเห็นวิวเกาะต่าง ๆ เช่น เกาะโครำ เกาะนมสาว เกาะระวิง และเกาะระวางได้ด้วย
หากใครอยากจะแวะพักเอาแรงตรงนี้ซักครู่ผมว่าเหมาะมากครับ เพราะมีร่มเงาของต้นสน แถมลมก็เย็น เปิดประตูรถแล้วปรับเบาะเอนนอนเหยียดแขนขาได้สบาย เพราะ Mitsubishi Triton Athlete คันนี้มีห้องโดยสารที่กว้าง ซึ่งรุ่นนี้เป็นรุ่น Double Cab นั่ง 4 คนได้สบายหายห่วง ภายในห้องโดยสารนอกจากจะกว้างขวางสะดวกสบายแล้ว ยังมีดีไซน์ และเบาะหนังทูโทนที่หล่อเท่ไม่แพ้ด้านนอกเลยทีเดียว
จบทริปแสนประทับใจ ณ อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ซึ่งถือเป็นการเปิด Map ใหม่ของชีวิตที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่หลากหลายจริง ๆ เรียกได้ว่าเป็นทริปที่เราได้ครบทุกอารมณ์ทั้ง ท้ายทาย น่าค้นหา และมอบความรู้สึกเป็นอิสระให้กับเราได้ในเวลาเดียวกัน และนอกจากการได้มาเที่ยวแบบครบรสในที่เดียวแบบนี้แล้ว ต้องขอขอบคุณ Mitsubishi Triton Athlete ที่ทำให้เราได้มาเปิดประสบการณ์สุดสปอร์ต และเร้าใจกว่าที่เคย ใครอยากลองมาสัมผัสคู่หูพันธุ์เข้มคันนี้ ก็ไปพบกับตัวจริงได้ที่โชว์รูมมิตซูบิชิทั่วประเทศเลยครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Mitsubishi Troiton Athlete : https://goo.gl/6rNtQb
ข้อเสนอสุดพิเศษ ด้วยแพ็กเกจ 5 ปี ดูแลดีถึงใจ : https://goo.gl/huiMHT