: : : KOH CHANG : : : ~ 4 วัน 3 คืน ~ การเดินทางที่แสนพิเศษ (May 1-4,2015)

*~ .. เกาะช้าง ..~*

... เมื่อใจมันเซทะเลคือจุดหมาย ...

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ... ในสมัยที่เรายังเป็นนักศึกษา เรากับแฟนได้มีโอกาสมาเที่ยวเกาะช้างด้วยกันเป็นครั้งแรก เกาะช้างสร้างความประทับใจให้กับเราเป็นอย่างมาก เราจึงตั้งปณิธานเอาไว้ว่า "สักวันเราจะกลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง"

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็สามปีเต็ม ... ตอนนี้เราเข้าสู่วัยทำงานแล้ว การทำงานหนักในช่วงที่ผ่านมาทำให้เราอยากเติมพลังทั้งกายและใจ ในช่วงวันแรงงานก็เป็นโอกาสดี เรากับแฟนได้มีวันหยุดที่ตรงกัน 5 วันเต็ม และจุดหมายที่เราจะไปก็คือ "เกาะช้าง"

ในวันก่อนการเดินทาง
เราเตรียมตัวแพคกระเป๋าสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น สิ่งที่ขาดไม่ได้ในทริปนี้เลย คือ แว่นกันแดดเก๋ๆ และครีมกันแดด (ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ช่วยเท่าไหร่ เพราะกลับมาก็คล้ำลงไปอยู่ดี ฮ่าๆ) เราวางแพลนและหาข้อมูลคร่าวๆสำหรับทริปนี้ แต่เราก็ต้องไม่ลืมตรวจสอบสภาพอากาศด้วยนะ เพราะเราไปช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงที่มรสุมกำลังเข้า ผลที่ได้คือ ฝนตกร้อยละ 20% ของพื้นที่ ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ... เราก็แอบกังวลเล็กน้อย เพราะ ในช่วงที่เราไปนั้นเป็นวันหยุดยาว ลองเข้าไปดูเว็ปไซด์การจองห้องพักเล่นๆ ส่วนใหญ่จะเหลือไม่กี่ห้อง บางที่ก็ถูกจองเต็มไปหมดแล้ว กลัวจะหาที่พักไม่ได้ โดยส่วนตัวเรากับแฟนชอบ walk-in เข้าไปดูที่พักกันเองมากกว่าไม่อยากจองล่วงหน้า แต่เราก็ตั้งใจไว้แล้วล่ะว่าจะไปพักกันที่พักเดิมที่เคยพักเมื่อสามปีที่ แล้ว เพราะ ที่นั่นราคาไม่แพง เป็นที่พักที่เหมาะสำหรับผู้ที่เน้นเที่ยวมากกว่า ไม่เน้นการใช้ชีวิตอยู่ ณ ที่พัก เลยไม่ต้องหรูหรือดีอะไรมาก เอาแค่พออยู่ได้ก็พอแล้ว ถือว่า เป็นการ save cost ไปด้วยในตัว ...

วันที่ 1 ของการเดินทาง : 1 พ.ค. 2558
เราออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายแรกที่เราจะไปก็คือ อนุสาวรีย์ ... เราตั้งใจจะเดินทางด้วยรถตู้ ก่อนหน้านี้เราได้มาเดินสำรวจทั้งราคาและวินรอบๆอนุสาวรีย์ เราดูมาสองที่ เผื่อข้อมูลตรงนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับชาวพันทิปที่อยากเดินทางไปเกาะช้าง ด้วยรถตู้ ^^

-วินหน้าร้านก๋วยจั๊บฝั่งเกาะพญาไท วินนี้มีรถตู้ไปส่งถึงท่าเรืออ่าวธรรมชาติ แต่ต้องมีคนที่จะไปท่าเรือเกิน 5 คนนะถึงจะไปส่ง ถ้าไม่ถึง 5 คนทางวินเค้าจะมีรถเมล์มารับไปส่งที่ท่าเรืออีกที (เค้าพูดว่ารถเมล์จริงๆนะ) ราคา 300 บาท เราตั้งใจว่าจะไปวินนี้แหละ ....
-วินใต้สถานี BTS อนุสาวรีย์ วินนี้มีรถตู้ไปส่งถึงท่าเรืออ่าวธรรมชาติเหมือนกัน แต่ ถ้ามีคนจะเข้าเมือง รถตู้เค้าไม่ไปส่งถึงท่าเรือนะ เข้าจะมีรถสองแถวมารับไปท่าเรืออีกที ราคา 320 บาท

เรามาถึงอนุสาวรีย์ตอน 7 โมงตรงเรารีบตรงดิ่งมาที่วินหน้าร้านก๋วยจั๊บในทันใด แต่ผลออกมาว่า เราได้คิวขึ้นรถตอนเที่ยง!!!! ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีคนต้องการไปเกาะช้างเยอะขนาดนี้ เอาล่ะ ตั้งสติ เราเดินมาอีกวินใต้สถานี BTS คนเยอะไม่ต่างกันได้คิวขึ้นรถตอน 10 โมง แต่เราอยากไปถึงเร็วๆนี่น่าเลยลองโทรถามรถทัวร์ที่เอกมัย เค้าบอกรถออกทุกชั่วโมง ซึ่งตอนนั้นเรากับแฟนเริ่มจะตัดสินใจว่า จะไปรถตู้หรือรถทัวร์ดี พี่ที่คุมวินใต้สถานีก็ประกาศว่า "ใครที่จะเดินทางไปเกาะช้าง มีรถตู้ VIP 10 ที่นั่งส่งถึงท่าเรือ ราคา 400 บาท มีใครจะไปไหม ซื้อตั๋วได้เลย" เราไม่รอช้า รีบซื้อตั๋วในทันที เพิ่มเงินสักหน่อยแต่ได้ไปเร็วขึ้นมันก็โอเคใช่ไหมล่ะ !? รถตู้นี้ไม่ใช่รถตู้ป้ายเหลือง พี่เค้าหามาช่วยระบายคนในคิวในวันที่มีคนต้องการจะไปเกาะช้างเยอะขนาดนี้ ... เราเลยได้ออกเดินทางกันตอน 8 โมงกว่าโดยประมาณ ... หลับไปหลายตื่น นั่งจนก้นระบม หิวก็หิว ก็ยังไม่ถึงสักที เฮ้อ~ เอาล่ะ! เรามาถึงท่าเรืออ่าวธรรมชาติแล้ว ตอนบ่ายสองโมงกว่าๆ นั่งในรถมาหกชั่วโมงเต็ม มาครั้งที่แล้วไม่ถึงหกชั่วโมงนะ มาเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวต้องทำใจ รถยนต์ที่จะขึ้นเรือเฟอร์รี่ติดยาวเป็นกิโลเลย (ปกติท่าเรือจะปิดตอนทุ่มนึง แต่ช่วงเทศกาลเค้าจะรับส่งจนกว่ารถคันสุดท้ายจะหมดนะ เพื่อนเราที่ตามมาเค้าเหมาสองแถวเผื่อจะมาให้ทันเรือตอนเกือบๆจะห้าทุ่มแล้ว แต่มาไม่ทันเรือรอบสุดท้ายเพิ่งออกไปเมื่อ 5 นาทีที่แล้วเอง เสียดายแทน ..)

-ติดตามเรื่องราวการเดินทางไปเกาะช้างแบบดื้อรั้นของเพื่อนเราได้ที่ : http://pantip.com/topic/33630247 เมื่อสามปีที่แล้ว... เรามาขึ้นเรือที่ท่าเรือเซ็นเตอร์พ้อย ค่าตั๋วไป-กลับ คนละ 100 บาท (ราคาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ขึ้นราคาแล้วรึยังนะ)ใช้เวลาเดินทางบนเรือเฟอร์รี่ประมาณ 45 นาที มีรถมอเตอร์ไซด์ในเช่าเลยตรงท่าเรือ วันละ 200 บาท น้ำมันพร้อม .... ครั้งนี้ ... เรามาขึ้นเรือที่ท่าเรืออ่าวธรรมชาติ ค่าตั๋วขาไป คนละ 80 บาท ใช้เวลาเดินทางบนเรือเฟอร์รี่ประมาณ 20 นาที แต่ไม่มีรถมอเตอร์ไซด์ให้เช่าเหมือนท่าเรือเซ็นเตอร์พ้อยนะ มีแต่รถ TAXI (รถ TAXI ของเกาะช้างก็คือรถสองแถวเนี่ยแหละ ^^) ราคาเริ่มต้นของ TAXI อยู่ที่ 50 บาท ... จุดหมายต่อไปที่เราจะไปกัน ก็คือ Lonely Beach ค่ารถ TAXI จากท่าเรือมาหาดโลนลี่บีช คนละ 120 บาท หาดโลนลี่บีชอยู่ค่อนข้างไกลพอสมควร ถนนหนทางก็ค่อนข้างลาดชัน ใครที่ขับรถไม่แข็งต้องเพิ่มความระมัดระวังกันหน่อยนะ จะว่าปราบเซียนเลยก็ได้ ... ยิ่งตรงโค้งรูปตัวเอสยิ่งต้องระวัง ถ้าวันไหนฝนตกถนนลื่น ก็จะมี ตร. หรือหน่วยกู้ภัย มาช่วยเพิ่มความปลอดภัยในจุดๆที่เป็นทางเสี่ยง นับว่าดีมากเลยทีเดียว ในระหว่างที่เรานั่งอยู่บน Taxi ชื่นชมกับวิวสองข้างทางรู้สึกได้เลยว่า เกาะช้างเจริญกว่าเมื่อสามปีที่แล้วเป็นอย่างมาก ... และในตอนนี้ เราก็มาถึงแล้ว 'โลนลี่บีช' หาดนี้เหมาะสำหรับเหล่า Backpacker ทั้งหลาย มีที่พักราคาไม่แพงให้เลือกพักอย่างมากมาย ร้านอาหาร บาร์ก็เยอะพอสมควร เราไม่รอช้ารีบตรงดิ่งมาที่พักที่เราต้องการจะพักกันในคืนนี้ทันที นั่นก็คือ The SunflowerThe Sunflower ตั้งอยู่ในซอยเทียนไชย 1 มีบ้านพักให้เลือก 3 แบบ 2 ราคา แต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทยเราก็ต้องไม่พลาดในเรื่องของการต่อราคา บ้านพักที่เราเลือกเราเลือกห้องแอร์ ราคาคืนละ 600 บาท เราจะว่าเราจะนอนที่นี่กัน 2 คืน เราเลยต่อรองราคากับพนักงานเหลือคืนละ 500 บาท ซึ่งเค้าก็โอเค .. เมื่อเชคอิน นำกระเป๋าสัมภารก เอ้ย สัมภาระไปเก็บ พักพอให้กระชุ่มกระชวยเรียบร้อยแล้ว เราก็เตรียมจะไปขับรถมอเตอร์ไซด์เล่นกัน เรามาเช่ารถมอเตอร์ไซด์ร้านหน้าที่พักเราเนี่ยแหละ วันละ 150 บาท แต่ไม่มีน้ำมันนะ ต้องเติมน้ำมันอีก 40 บาท ที่เกาะช้างไม่ต้องกลัวว่าจะหาที่เติมน้ำมันไม่ได้ มีให้เติมเพียบ! ไม่มีมัดจำวางแค่บัตรประชาชนไว้ก็พอ ... ในระหว่างนี้ เราก็มาจองทริปดำน้ำกับเจ๊เพ็ญ Tourist Information ใกล้ๆกับร้านมอเตอร์ไซด์เนี่ยแหละ ตอนแรกเราตั้งใจจะไปดำน้ำกันในวันที่ 2 แต่เนื่องจากมีคนที่มาเที่ยวเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเรือไม้หรือสปีดโบ๊ทก็เต็มไปทุกอณูไปทุกบริษัท เราเลยต้องเปลี่ยนแผนมาจองทริปดำน้ำกันในวันที่ 3 แทน... เมื่อจองทริปดำน้ำเสร็จแล้ว เราก็เตรียมออกผจญภัยกันต่อ จุดหมายต่อไปของเรา ก็คือ ท่าเรือบ้านบางเบ้า ... พอขับมอเตอร์ไซด์กันมาสักพัก ทางไปบางเบ้านั้นถนนค่อนข้างลาดชัน บางทีขับๆอยู่มองไม่เห็นถนนข้างหน้าเลยก็มี ถ้าเป็นตอนมืดแล้วไฟทางไม่มีมีแสงไฟเฉพาะไฟหน้ารถ ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ลองมาขับดูสิแล้วจะรู้ว่ามันส์แค่ไหน ยะฮูวว์ ~ ชุมชนท่าเรือบ้านบางเบ้า เป็นเหมือนกับชุมชนท่าเรือที่มีตลาด มีของที่ระลึก ของฝากมากมาย มีร้านอาหารที่ขึ้นชื่ออย่าง "เรือนไทย" ไว้น่ามาลองลิ้มชิมรสอาหารดูสักครั้ง ... สำหรับใครที่จองทริปดำน้ำเป็นเรือไม้ ก็จะมาขึ้นเรือกันที่นี่แหละ ... สำหรับใครที่ขับรถมอเตอร์ไซด์มาเที่ยวสามารถมาหาที่จอดได้แต่ต้องเสียค่าจอด นะ 20 บาท ไม่รู้เริ่มเก็บตั้งแต่ตอนไหน 3 ปีที่แล้วยังจอดฟรีอยู่เลย เง้อ! ... ตอนเรามาถึงที่ท่าเรือบ้านบางเบ้าก็เย็นพอสมควร ร้านค้าต่างๆก็ทยอยปิดร้านกันหมดแล้ว  เรือที่พานักท่องเที่ยวไปดำน้ำก็ถูก จอดเทียบท่าเรียงราย เรือที่พานักท่องเที่ยวไปไดหมึกก็เริ่มทยอยออกจากท่า เมื่อเราเดินเล่นไปเรื่อยๆตามทาง สุดปลายทางมีประภาคารที่สวยเด่นเป็นสง่า ยิ่งช่วงเวลาพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ยิ่งทำให้ท้องฟ้าดูสวยไปอีกแบบ แบบที่กรุงเทพไม่สามารถเห็นอะไรแบบนี้ได้เลย เราตัดสินใจจะดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่แหละก่อนเดินทางกลับไปหาอะไรใส่ ท้อง และกลับไปพักผ่อนที่ที่พักของเรา.... วันที่ 2 ของการเดินทาง : 2 พ.ค. 2558
หลังจากที่เราได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่แล้ว ทริปวันนี้เราเริ่มต้นกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปิด ก็อยากดูพระอาทิตย์ขึ้นนี่นา ... ตื่นมาตอนตี 5 ครึ่ง แปรงฟันล้างหน้า แต่ยังไม่อาบน้ำ แล้วเราก็หยิบกล้องสะพาย พร้อมแว้นซ์มอเตอร์ไซด์ไปที่ จุดชมวิวหาดไก่แบ้ กันเลย ...

อากาศยามเช้านี่สดชื่นดีจัง สูดโอโซนใส่ให้เต็มปอด ~ ที่จุดชมวิวตอนเช้าไร้ผู้คน ดีจังเลย ตอนขามานะตรงจุดนี้คนเยอะมาก ถ่ายรูปไม่สวยเลยติดคนไปซะหมด มาตอนนี้ก็ดีเหมือนกันนะ (คิดในใจ) ... รอ รอ รอ รอเวลาที่พระอาทิตย์นะโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า แต่ เอ๊ะ! ฟ้าก็สว่างมาสักพักแล้ว ไหนล่ะ!? พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ไปขึ้นอยู่ตรงไหน !!!! คิดไปคิดมาก็อ๋อเลยทันที ตอนนี้เราอยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะ จุดชมวิวนี้ก็เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดของเกาะ อ่ะโธ่เอ้ย ! จะไปเห็นพระอาทิตย์ได้ยังไงกันล่ะ ... ขับรถกลับที่พักกันดีกว่า เมื่ออิ่มกับบรรยากาศ ณ จุดชมวิว ที่ไร้ผู้คน ...

ในระหว่างทางที่เราขับรถกลับไปหาดโลนลี่บีช เราได้เห็นฝูงลิงออกมาหาอาหารกันในตอนเช้า บางตัวก็มีลูกเกาะอยู่ที่หลัง น่ารักจัง แถมฉลาดอีกด้วย เราจอดรถดูลิงข้างทางสักพัก สายตาก็เหลือบไปเห็นลิงตัวนึงกิน กล่องขยะที่นักท่องเที่ยวทิ้งเรี่ยราดไม่เป็นที่เป็นทาง เค้าจะรู้บ้างไหมว่า เค้าได้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากแค่ไหน ... อนิจจัง~

ขณะนี้เวลา 9 นาฬิกา .. เราก็ลุกจากเตียงดูดวิญญาณอีกรอบนึง อาบน้ำแต่งตัว เพื่อเตรียมตัวออกไปเที่ยวตามแพลนที่เราวางไว้ วันนี้เป้าหมายหลักๆของเราอยู่ที่ น้ำตกธารมะยม ซึ่งอยู่ที่ฝั่งนึงของเกาะ แต่ก่อนที่เราจะเริ่มออกเดินทางก็ต้องทำให้ท้องเราอิ่มซะก่อน อาหารเช้านี้เราขอฝากท้องไว้กับร้านอาหารหน้าซอยที่พักของเรา ชื่อ PERN RESTAURANT อาหารราคาไม่แพงมาก มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ถ้าถามถึงรสชาติ เราว่าอร่อยบางอย่าง อาหารไทยรสไม่จัดเท่าไหร่ เน้นรสชาติที่ชาวต่างชาติกินได้ เราให้คะแนนร้านนี้ 7/10 มาลองทานกันดูนะ save cost ได้อยู่ร้านนี้ ... เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน เอ้ย ไม่ใช่สิ เราจะหย่อนไม่ได้ๆ ลุยกันต่อเลยที่เป้าหมายต่อไปซึ่งเราจะขับรถกันไกลมาก ไกลพอสมควร ... แต่ในระหว่างทางนั้นเราก็แวะถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ ตามจุดชมวิว มีจุดนึงไม่รู้เค้าเรียกตรงนี้ว่าอะไร แต่มองเห็นวิวทะเลได้ไกลสุดสายตาเลยทีเดียว อยู่ตรงจุดนี้ได้ไม่นานฝนก็มืดครึ้มมาเลย เรารีบถ่ายรูปและรีบเดินทางกันต่อ พอเรามาถึงตรงศาลเจ้าพ่อเกาะช้างก็แวะสักการะสักหน่อย ก่อนที่เราจะไปหลบฝนกันอยู่ที่ท่าเรือเซ็นเตอร์พ้อย .... เมื่อเมฆฝนมลายหายไป ท้องฟ้าที่สดใสก็กลับมาอีกครั้ง แฟนเราบอกว่า จะกลับที่พักแล้ว แต่ด้วยความตั้งใจที่จะไป และเสียเวลาขับรถมาไกลขนาดนี้ เราไม่ยอมถอยแน่นอน เราก็ดื้อที่จะไปต่อ ... เส้นทางผิดกับฝั่งตะวันตกของเกาะเลย เส้นทางตรงนี้ รายล้อมไปด้วยสวนผลไม้ของชาวบ้าน สองทางข้างมีทุเรียนขายกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ... ขับรถมาได้ไม่นานเราก็มาถึงจุดหมาย น้ำตกธารมะยม เราเสียค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท ถ้าเป็นต่างชาติ 200 บาท วันนี้ที่เรามาเจ้าหน้าที่บอกน้ำค่อนข้างน้อย แต่มาแล้วนี่เนอะ ขอให้ได้เห็นหน่อยเถอะ ... เดินไปตามทางเรื่อยๆ ตอนแรกๆก็มีทางเดินทอดยาวให้เราได้เดินสบายๆ แต่ไม่ได้มีทางเดินทอดยาวไปถึงน้ำตกหรอกนะ เราต้องเดินขึ้นไปทางดินบ้าง สลับกับเดินปีนก้อนหินของน้ำตกบ้าง แต่ไม่ได้ยากและลำบากขนาดนั้น ... น้ำตกธารมะยม มีทั้งหมด 4 ชั้น แต่ละชั้นจะมีนาม จปร. สลักไว้ที่หินทุกชั้น แต่วันที่เราไปเราขึ้นได้เพียงชั้นเดียวเท่านั้น เลยไม่มีโอกาศได้เห็นชั้น 2 3 4 เลย ... น้ำน้อยจริงๆด้วย ถ่ายรูปแทบไม่เห็นน้ำตก ... เก็บภาพมาฝากนะคะ ^^ หลังจากที่เราเที่ยวน้ำตกกันจนหนำใจแล้ว แล้วก็ขับรถเล่นแถวๆน้ำตกกันอยู่พักนึง ก่อนกลับที่พักของเรา ... เย็นนี้ เรามีนัดกับเพื่อนเราอีกสองคนแหละ แล้วมาดูกันต่อนะว่าเราจะไปที่ไหนกันต่อ ....

เพิ่มเติม
เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ... เราได้มีโอกาสไปเที่ยวที่น้ำตกคลองพลู ทางเดินเป็นทางดินทอดยาวไปเรื่อยประมาณ 500 เมตร ดูจะเดินสบายกว่าน้ำตกธารมะยม ค่าเข้าอุทยานราคาเท่ากันเลย คนละ 40 บาท แต่ครั้งนี้ เราไม่ได้ไปเที่ยวทีน้ำตกคลองพลู แต่อยากแนะนำสถานที่นึงที่น่าไปเที่ยว มีภาพให้ดูแต่เป็นภาพเมื่อ 3 ปีที่แล้วนะ หวังว่าจะไม่ว่ากันนะคะ .... ^3^ ตอนนี้ก็ 5 โมงเย็นแล้ว ... เรานัดเจอเพื่อนไว้ที่หน้าซอย เพื่อนเราพักอยู่ที่ KLKL HOSTEL ซอยเทียนไชย 2 ... เป้าหมายต่อไปเราจะไปหาอะไรทานกันที่บางเบ้า ชื่อร้าน เรือนไทย ....

ร้านเรือนไทยเราได้อ่านรีวิวจากเว็ปต่างๆ ว่าอาหารอร่อย โดยเฉพาะ กุ้งแช่น้ำปลา มาทั้งทีก็ต้องลองกันสิค่ะ มา 4 คน เลยสั่งกันคนละอย่าง กุ้งแช่น้ำปลา หมึกไข่นึ่งมะนาว ต้มยำรวมมิตร ตัดเลี่ยนอาหารทะเลด้วย ซี่โครงหมูทอดกระเทียม พร้อมข้าวเปล่า 1 โถ เรากินกันด้วยความเอร็ดอร่อย ร้านนี้คนเยอะมาก แต่อาหารที่ได้ไม่ช้านะ (แอบนอยด์โต๊ะใกล้ๆ พาเด็กมา เด็กก็ร้องกระจองอแง ไม่หยุดเลย แอบเสียบรรยากาศไปสักนิด) ร้านนี้ปิดตอนสามทุ่ม โดนรวมอาหารอร่อยค่ะ ราคาต่อจานก็ถือว่าแพงนะถ้าเทียบกับร้านอื่นๆ เราให้คะแนนร้านนี้ 10/10 เลยค่ะ ... เราเอาภาพกุ้งแช่น้ำปลามาฝาก

พอเราอิ่ม เรียกเชคบิล เราโดนค่าเสียหายไป 1200 บาทถ้วนค่ะ แต่เรามา 4 คนก็หารกันไปคนละ 300 บาท ถือว่าราคาคุ้มกับความอร่อยของอาหาร ^^

ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว .. ฟ้ามืดมิด เราต้องขับรถมอเตอร์ไซด์กลับไปที่โลนลี่บีชกันด้วยความมืด มีเพียงไฟหน้ารถ และไฟทางเป็นระยะๆ เพ่งมองทางอย่างระวังที่สุดเลยค่ะ ต้องมีสตินะคะ เพราะ มืดมากเลยทีเดียว ... พอขับรถมาถึงโลนลี่บีช เราก็จะไปหาร้านนั่งชิลล์ติดริมทะเล แต่ว่า ร้านไหนล่ะ !? เราก็เลยไปถามกูรูคนพื้นที่อย่างเจ๊เพ็ญ และเจ๊เพ็ญก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เจ็เพ็ญแนะนำบาร์ Nature Rocks ซึ่งตั้งอยู่ที่ Nature Beach Resort ขับรถมาไม่ไกลมากจากที่พัก ... ซึ่งคืนที่เราไปบาร์นี้ได้จัดงาน Fullmoon Party อยู่พอดีเลยค่ะ นับว่ามาได้ถูกจังหวะพอดิบพอดี มีการโชว์ควงกระบองไฟด้วย เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็น มีพลุสวยๆจุดสร้างบรรยากาศ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสนุกสนานกับการลอดบ่วงไฟ คืนนี้ สนุกสุดเหวี่ยงไปเลย ... พอจบงาน .. ต่างคนต่างแยกย้ายกลับสู่ที่พักของตนเอง ...

วันที่ 3 ของการเดินทาง : 3 พ.ค. 2558
วันนี้ เรามีทริปไปดำน้ำกันนี่นา เราเชคเอ้าท์ออกจากที่พักพร้อมคืนรถมอเตอร์ไซด์ในตอนเช้า และฝากกระเป๋าสัมภาระไว้กับเจ็เพ็ญ ตอนดำน้ำกลับมาเราจะเปลี่ยนที่พักกัน ~ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราไปดำน้ำของศักดาทัวร์ เป็นเรือไม้ รองรับคนได้ถึง 200 คน ราคาคนละ 500 บาท เต็มวัน ไป 4 เกาะ ไปเกาะยักษ์เล็ก เกาะยักษ์ใหญ่ เกาะรัง เกาะหวาย ดำน้ำลงไปเจอแต่หอยเม่นเต็มเลยค่ะ แต่ประการังก็สวยอยู่นี้ ดูสิ๊ ผ่านมา 3 ปีแล้ว โลกใต้ท้องทะเลจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ...

มาในครั้งนี้ เราเลือกดำน้ำของบริษัทไก้แบ้ฮัท เป็นเรือสปีดโบ๊ท รองรับคนได้ถึง 25-30 คน ราคาคนละ 800 บาท (ราคานี้ลดแล้วนะค่ะ ราคาเต็ม 900 กว่าบาท) ครึ่งวัน ที่เราเลือกไปเรือสปีทโบ๊ทก็เพราะว่าเพื่อนเราสอคนต้องเดินทางกลับวันนี้ใน ช่วงเย็น จึงต้องเลือกแบบครึ่งวันค่ะ ไป 5 เกาะ เกาะยักษ์เล็ก เกาะยักษ์ใหญ่ เกาะมะปริง เกาะรัง เกาะเหลายาค่ะ รถ Taxi มารับเราในเวลา 9.30 น. ค่ะ รับไปขึ้นเรือที่หาดไก่แบ้ ...

เกาะแรกที่เราจะไปกันก็คือ เกาะยักษ์เล็ก ยังสวยเหมือนเดิม แต่หอยเม่นไม่ค่อยมีนะคะ ในครั้งนี้ ประการังยังคงสมบูรณ์  ฝูงปลาแหวกว่ายกันเป็นกลุ่มๆ สีสันสวยงาม เสียดายค่ะ ไม่มีกล้องถ่ายใต้น้ำ อดถ่ายรูปใต้ท้องทะเลมาให้เพื่อนๆชาวพันทิปเห็นเลย .... แค่เกาะแรกก็เกือบหมดสนุกเลยค่ะ พอขึ้นมาบนเรือ เรือโคลงเคล้งตามกระแสคลื่น เมาเรือ สิค่ะ ดันไม่ได้กินยากัน ไม่คิดว่าจะเมาเรือค่ะ เคยไปเที่ยวสิมิลัน นั่งสปีดโบ๊ทก็ปกติไม่มีอาการ มาสปีดโบ๊ทรอบนี้อาการมาเลยค่ะ ต้องพยายามปรับตัวอยู่นานเลย กดกลั้นไม่ให้พุ่ง ... อ่อย~ แดดก็แรงได้ที่เลยค่ะ ... เกาะที่ 2 คือ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะรัง หาดที่เราขึ้นนั้นชื่อว่า หาดศาลเจ้า น้ำใส หาดทรายขาว เชียวค่ะ เราจะแวะพักทานอาหารกลางวันกันที่นี่ค่ะ แต่อาการเมาเรือของเรายังไม่หายสนิท กินข้าวได้เพียง 3 คำเท่านั้นเองค่ะ ก็ไม่ไหว เลยขอนอนพักสักหน่อย กินยาแก้เมาเรือไป 1 เม็ด ก็เริ่มมีอาการดีขึ้นค่ะ ดีขึ้น ก็รีบไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศสิค่ะ จะรออะไร ... ทางเด็กเรือได้จัดเตรียมอาหารกลางวันให้พวกเรา แต่เราจะต้องไปแชร์กับนักท่องเที่ยวกรุ๊ปอื่นๆด้วยนะค่ะ พอสัญญาณเรียกขึ้นเรือดัง เราก็เตรียมขึ้นเรือไปต่อกันที่เกาะที่ 3 กันเล้ย ~ ขึ้นมาบนเรือ เด็กเรือก็เตรียมน้ำดื่ม สับปะรด แตงโม ฉ่ำๆ ไว้ให้พวกเราทานกันค่ะ ฟาดไปเยอะเลยพออาการดีขึ้น (ก็กินข้าวมาน้อยนี่นาเน๊อะ) ...
เกาะที่ 3 เกาะยักษ์ใหญ่ จอดแปปเดียวค่ะ ไม่ได้ลงไปดำ กัปตันเรือบอกว่า น้ำเชี่ยว กลัวจะไม่ปลอดภัย
เกาะที่ 4 เกาะมะปริง น้ำใสแจ๋วเลยค่ะ หาดทรายก็ขาวสวย เนื้อทรายละเอียด ถ่ายรูปสวยๆ มาเยอะแยะเลย เกาะที่ 5 เกาะเหลายา ไม่ได้แวะ เพราะ พายุฝนมามืดครึ้มเลยค่ะ กัปตันรีบเร่งสปีดโบ๊ทกลับเข้าฝั่งในทันที ... ในระหว่างที่เราอยู่บนเรือ เราต้องแล่นเรือฝ่าพายุฝน ในบางตอนเรือกระแทกคลื่นเกิดเป็นเสียงดังโครม บางทีเรือก็เอนเอียงตามกระแสคลื่น เห็นฟ้าผ่าเป็นสายๆ ใจนี่แบบตุ่มๆต่อมๆ แต่เชื่อใจกัปตันค่ะ และเราก็ถึงฝั่งกันโดยสวัสดิภาพ

(เราไม่ชัวร์กับชื่อเกาะนะคะ ว่าเราไปอันไหนก่อนหลัง หากผิดพลาดขออภัยไว้ด้วยค่ะ)

พอเรากลับมาถึงโลนลี่บีช เพื่อนเราก็เตรียมตัวกลับกรุงเทพ ส่วนเรากับแฟนก็เตรียมย้ายที่พักกันต่อ .. เราแอบจองที่พักในคืนวันที่ 3 ไว้ที่หาดไข่มุก ชื่อ คีรีตา รีสอร์ท แอนด์ สปา ในเวป booking.com ซึ่งให้เราจองก่อนจ่ายทีหลังได้ ราคาคืนละ 1,600 บาทรวมอาหารเช้า เรานั่งรถ Taxi จากโลนลี่บีชมาถึงหาดไข่มุก ค่ารถคนละ 50 บาท เราก็จัดแจงเชคอิน ที่นี่ระบบ reservation ค่อนข้างทันสมัย มีให้เลือกการส่ง Invoice แบบอีเมล์แทนการใช้กระดาษด้วย และมีคูปองการทำสปาแบบครบวงจรเป็นของสมนาคุณด้วยอีกต่างหาก (ต้องจองคิวล่วงหน้านะถ้าอยากทำสปา) เมื่อเสร็จธุระในเรื่องของการเชคอิน เราก็เข้าห้องพักกันดีกว่า .... คีรีตา รีสอร์ท แอนด์ สปา บรรยากาศโดยส่วนตัวชอบนะ จัดตกแต่งไว้เป็นอย่างดีเลย การบริการก็ดี แต่ผิดหวังไปสักหน่อย ไม่รู้ว่า เพราะอะไรห้องพักของเราจึงยังไม่มีผ้าเช็ดตัว และปลอกหมอน สอบถามพนักงาน ได้คำตอบว่า ฝนตก เอาไปซัก แห้งไม่ทัน เอ่อ.. การทำธุรกิจแบบนี้ควรมีของสำรองไว้ไม่ใช่หรอ เรามาเชคอินตั้งบ่ายสี่โมงเย็นนะ เฮ้อ! ผิดหวังๆ ... เราค่อนข้างคื่นตาตื่นใจกับห้องน้ำของที่นี้มากเลย โปร่ง ถ้าไม่ล๊อคให้ดี อาจมีคนมองเห็นเราอาบน้ำได้นะ อิอิ ... เราเลือกห้องพักแบบสไตล์โมรอคโค จะแตกต่างกันที่ มีบันไดขึ้นชั้นดาดฟ้าได้ รีสอร์ทแห่งนี้ยังมีสไตล์บาหลีและจีนให้เลือกด้วย แต่น่าเสียดายอุคส่าห์เลือกห้องที่มีดาดฟ้า ฝนดันตกซะนิ อดขึ้นไปนอนดูดาว สวีทวิ้ดวิ้วกะแฟนเลย ... อีกเหตุผลนึงที่เลือกพักที่นี่ คือ อยากว่ายน้ำค่ะ ที่นี่มีสระว่ายน้ำอยู่หน้าห้องของเราเลยค่ะ ... หนำใจแล้วล่ะ พรุ่งนี้ก่อนเดินทางกลับขอว่ายน้ำเล่นให้สดชื่นหน่อยก็แล้วกัน เราให้คะแนนที่พักนี้ 8/10 วันที่ 4 วันสุดท้ายของการเดินทาง : 4 พ.ค. 2558
เวลาผ่านไปไวจัง วันสุดท้ายแล้วหรอเนี่ย ... วันนี้ เราไม่ฟิคเวลาตื่น ขอพักผ่อนให้เต็มที่ ที่นี่ต้องเชคเอ้าท์ ก่อนเที่ยง อาหารเช้ามีให้ถึงตอนสิบโมงค่ะอาหารเช้ามีให้เลือกหลายเซทเลยค่ะ เลือกได้แล้วแต่ชอบเลย ไม่ได้เป็บแบบบุฟเฟต์นะคะ ... แต่ก็มีให้ปิ้งขนมปัง ชงชา กาแฟ น้ำผลไม้ได้ นอกเหนือจากการสั่งอาหารในเซท .. อาหารก็พอทานได้ค่ะ แต่เราก็ทานหมดนะ ^^ พอเราทานอาหารเสร็จ ... อย่างที่บอกขอว่ายน้ำให้หนำใจกันสักหน่อย ไม่รอช้า รีบเข้าห้อง เปลี่ยนบิกินี่ กระโดดตูม! สระว่ายน้ำมีระดับความลึกที่แตกต่างกันตั้งแต่ตื้นๆจนถึงระดับมิดหัวยืนไม่ ถึงเลย ... อ่า .. ถึงเวลาเชคเอ้าท์แล้ว ... ทางรีสอร์ทติดต่อแทกซี่ให้ไปส่งเราที่ท่าเรือให้ ค่ารถ Taxi จากรีสอร์ทไปท่าเรืออ่าวธรรมชาติ คนละ 60 บาท เราซื้อตั๋วเรือขากลับอีกคนละ 80 บาท เมื่อเราขึ้นเรือ เราค่อยๆมองเกาะแห่งนี้ ไกลขึ้น ไกลขึ้น .. บ๊าย บาย เกาะช้าง ขอบคุณที่สร้างความประทับใจ ขอบคุณที่ทำให้มีความสุข ขอบคุณที่สร้างความทรงจำอันแสนวิเศษนี้ ... ขอบคุณจริงๆ

เมื่อกลับมาถึงฝั่ง เราก็ไม่รอช้า รีบซื้อตั๋วกลับกรุงเทพในทันที .. เราขึ้นรถตู้ที่สามารถไปลงอนุสาวรีย์หรือหมอชิตก็ได้ ค่าตั๋วอยู่ที่คนละ 320 บาท หลับหลายตื่น นั่งตูดระบม ก้นชา อีกเช่นเคย ....

ขอโทษเพื่อนๆชาวพันทิปนะคะ ที่กระทู้วันสุดท้ายนี้อาจจะดูห้วนๆ สั้นๆ ไปสักนิดนึง .. อย่าว่ากันเลยนะ ^^"
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับทริป 4 วัน 3 คืนนี้ เราใช้ไปทั้งสิ้น คนละ 5,150 บาท ซื้อความสุขกันไปค่ะ ... ก่อนเริ่มต้นทำงานใหม่หลังหยุดยาว ^^

สามารถติดตามรับชม และร่วมเป็นกำลังใจได้ในอีกหนึ่งช่องทาง ตามลิงก์นี้เลยจ้า ...

http://pantip.com/topic/33659682