• จุดเริ่มต้นของทริปนี้ คือ หลังจากฝึกงานกันมาปีสี่แล้ว พอฝึกงานจบก็คงหาเวลาเจอกันยาก เลยจัดเวลากันเป็นช่วง off ระหว่างฝึกงาน กว่าจะหาเวลาที่เหมาะเจาะของแต่ละคนนั้นแสนยากลำบาก บวกกับสถานะทางการเงิน ทริปนี้จึงมีผู้ร่วมทางทั้งหมด 6 คน 
• แล้วไปไหนกันดีล่ะ ใช้เวลาในการเลือกหัวข้อไม่นานมากสรุปกันว่าจะไปภูเรือ เชียงคาน จังหวัดเลย โดยออกเดินทางกันเช้ามืดของวันที่ 18 ม.ค.59
• เมื่อได้วันและเวลาที่แน่นอนแล้วจึงทำการจองตั๋วรถ เป็นรถของสมบัติทัวร์ ผ่านจังหวัดเลย และทำการจองที่พักของเชียงคาน ที่พักในเน็ตหายากมาก ส่วนใหญ่จะเต็มกันหมด พอจะจองที่นี้ อีกครึ่งชั่วโมงก็เต็ม แต่ด้วยความพอดีของเราจึงได้มาเป็นที พูลสวัสดิ์

เวลาที่รถออกคือ 0.30 น. แต่รถมาเร็วกว่านั้น จากการที่พวกเราไปรีวิวมาใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงก็ถึงภูเรือแล้ว จึงกะเวลาถึงนู่นประมาณ ตีสี่ตีห้า

ประชุมสิคะ คุณลุงเขาเป็นรถรับจ้างที่พาขึ้นภูเรือและพาไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ที่อยู่ในภูเรือ เขาก็มีโปรโมชั่นมานำเสอนและหลอกล่อเรามากมาย แต่ด้วยงบและเวลาที่มีจำจัดจึงเหมารถคุณลุงพาขึ้นภูเรือ และไปล่องแพกัน

นี่คือแพคเก็จที่เขาตั้งและกำหนดไว้แล้ว ไปกันสักสิบคนนี่ หารเงินกันแล้วราคาสบายกระเป๋าเลย

อาจจะไม่ใช่เวลาของอาหารเช้านัก เวลาตีสี่ หิวมากค่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง หลังจากเดินหาของกินกันทั่วตลาดแล้วก็มาจบที่นี่แหละ ข้าวต้ม ตลาดที่นี่ขายของกันเช้ามากของกินเพียบ

คนพร้อม รถพร้อมก็ออกเดินทางกันเลยในเวลาตีห้า

เส้นทางที่ไปนั้นโค้งมากมาย แต่ดีที่มืด เราจึงไม่เห็นสิ่งใดและไม่กลัวด้วยค่ะ ค่าเข้าอุทยานในราคานิสิตนักศึกษา 20 บาทเอง

พอไปถึงท้องไส้ก็ปั่นป่วนได้ที่เลยทีเดียว ข้างบนนี้มีร้านขายเครื่องให้ความอบอุ่นและมีอาหารขายด้วย แต่ด้วยความที่เราไปกันเช้ามากกกก ร้านอาหารจึงยังไม่เปิด จุดนี้ยังไม่ใช่จุดที่จะดูดวงอาทิตย์ขึ้นจะต้องขึ้นรถต่อไปอีก 1 กิโล ถ้าใครมีตาแมวและมีกำลังไหวก็สามารถเดินไปได้ แต่แนะนำให้ขึ้นรถเถอะ 10 บาทเอง ขึ้นสิบลงสิบ

นี่ไงยอดภูเรือ มืดมาก ยังไม่ค่อยมีคน ลมพัดค่อนข้างแรง จึงหมดหวังในเรื่องทะเลหมอก อุณหภูมิยอดภูวันนี้ 15 องศาหนาวมากนะสำหรับคนภาคกลาง ดูแอฟในโทรศัพท์แล้วดวงอาทิตย์ขึ้นประมาณ 6.45 น. ตากลมกันต่อไป

นั่นไงใกล้ละ ส้มส้ม

คนเริ่มอัดแน่นหาที่จับจองมุมดีๆ เพื่อจะเซลฟี่กะดวงอาทิตย์กัน 

นั่นไงมาแล้ว เหมือนไข่เค็มเลย พวกเราก็รีบเซลฟี่กันใหญ่ บางคนก็จะอมดวงอาทิตย์ จะจับบางล่ะ แต่จะให้ดีต้องมีทิวสนด้วย

ทิวสนเวลาไหนก็สวย

หลังจากดูดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ไปดูวิวส่วนต่าง ๆ ของภูเรือ

อยากให้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง

บอกลาความสวยของที่นี่สะ เราจะไปหาที่พักกันแล้ว 

ตอนแรกว่าจะนอนเต้นท์กันแต่พอคำนวณแล้วก็รู้สึกแพง อากาศก็หนาวมาก ไม่ไหวแน่เลยตกลงจะพักบ้านพักของอุทยาน หนึ่งห้องนอนกันหกคนเลย 700 บาท คุ้ม

เมื่อได้ที่พักเก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปเที่ยวแถว ๆ นั้นก่อนเขาบอกว่ามีน้ำตกไม่ไกลมาก 200 เมตร

ไหนน้ำ ช่างเหอะ ไปเที่ยวตามโปรแกรมดีกว่าเนอะ

ดอกบัวตองเพิ่งเคยเห็นของจริง

ที่แรกนะจ๊ะ เป็นสถานที่จัดแสดงต้นคริสมาสมากมาย แต่ตอนที่เราไปน่ะ มันกำลังโรยราแล้ว แดดร้อนมาก

ต่อไปก็ไปดูสวนกล้วยไม้ มีต้นไม้อื่น ๆ เยอะมาก สามารถซื้อขายกันได้เลย

สาวก cactus

มีมุมให้ถ่ายรูปด้วย
เหมือนอยู่ในโลกของยักษ์เลย ต้นไม้น้อยๆ น่ารักเต็มไปหมด

จวนจะเที่ยงละ หาที่พักกินข้างเที่ยงกันดีกว่า

ที่นี่มีชื่อว่า อ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง บรรยากาศดีมาก ๆ เดี๋ยวเราจะได้ไปกินข้างกันกลางน้ำละ

บรรยากาศเลอค่ามาก

เราใช้เวลากินและนอนอืดกันจนบ่ายสาม

จากนั้นเราจึงเคลื่อนทัพกลับที่พักกัน

ตื่นกันแต่เช้า รถจะมารับเราที่ภูตอนเจ็ดโมงเช้า เพื่อที่จะไปขึ้นรถรอบแรกที่ตลาดสด จะไปขนส่งเลย คันนี้ 50 บาท ใช้เวลาประมาณ 1 ชั้วโมง

มาถึงขนส่งก็จะมีรถหกล้อไปเชียงคานจอดเรียงราย คนละ 35 บาทจะจอดให้เราลงสักที่ แล้วก็จะมีรถสามล้อจอดรอเต็ม คนละ 20 บาทส่งถึงที่พักเลย

ถึงแล้วที่พักของเรา เจ้าของบ้านใจดีให้เราฝากกระเป๋าได้ก่อน 

มาถึงก็เต็มกันหมดแล้ว ทางที่ดีใครจะมาก็อยากให้จองกันก่อน แต่ถ้าใครอยากได้ความตื่นเต้นก็เดินหาเอาเองก็ได้พอมีอยู่นะ

หลังจากนั้นก็ยืมจักรยานของที่พักแล้วก็ออกเดินทางได้ จักรยานของที่นี่ให้ยืมได้เลย ไม่ต้องเช่า บางที่เขาให้เช่านะ เป้าหมายของเราคือ แก่งคุดคู้ 

ถามทางจากพี่เจ้าของบ้านก็บอกว่าประมาณ 6 กิโล ไม่ไกลมาก

ปั่นไปก็หลงไปกว่าจะถึง มีจีพีเอสช่วยได้นะ

ทำไมถึงเชื่อแก่งคุดคู้นะ

เขาบอกว่ามียักษ์มานอนทับที่แม่น้ำโขงน้ำ ทำให้ได้ชื่อว่าคุดคู้

เดินทางมาเหนื่อย ๆ ที่นี่ก็มีร้านอาหารบริการ

ที่นี่มีเรือข้างฟากไปลาวด้วย ต้องทำบัตรผ่านทาง ค่าเหยียบที่ดินของลาว ค่าเรือ ค่อนข้างยุ่งยากพวกเราเลยไม่ไปกัน กินลมชมวิวแถวนี้ก็พอ เดี๋ยวจะต้องปั่นจักรยานกลับอีก 6 กิโล

ระหว่างทางกลับก็มีอะไรเย็น ๆช่วยชีวิตไว้

มาเช็คอินที่พักก็บ่ายสามกว่าแล้วห้องพักดูดี มีห้องน้ำในตัวด้วย อันนี้เป็นห้องสำหรับสี่คน ห้องสำหรับสองคนค่อนข้างเล็กด้านบนของบ้านพัก

ได้เวลาไปถนนคนเดินเชียงคานแล้ว

บ้านเรือนของที่นี่ยังคงความเก่าและเก๋าไว้ได้มาก

นี่ไงตุ๊กแกรักแป้งมาก

ร้านนี้เก๋าสุดเลย ความเก่าแก่ที่ยังคงมีชีวิตชีวา

ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน บรรยากาศดี๊ดี เดินกันสองสามรอบก็หมดแรงแล้ว

พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า รถจะมารับที่หน้าบ้านตีหน้าครึ่งเพื่อจะไปดูทะเลหมอกที่ภูทอก เป็นรถสามล้อคันเดียวกับที่มาส่งราคาเหมา 500 บาท ไปกลับ ที่บ้านเขาก็จะมีบริการนะ คนละ 100 บาท สำหรับใครที่ยังไม่ได้จองรถไปเขาก็จะติดต่อให้

มาถึงภูทอกก็มืดตื๊ดตื๋อ

รถสามล้อมาส่งก็ต้องขึ้นรถกระบะคนละ 25 ไปกลับ

ไม่หนาวเลยวันนี้

ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว เมฆเต็มท้องฟ้าเลย หมดกันทะเลหมอก มีแค่หมอกจาง ๆ เท่านั้นเอง

บรรยากาศเหมาะกับเพลงนี้มาก อย่าเสียใจคนเดียว

เป็นสัญญาณบอกว่าปีหน้ามาใหม่ละกันนะ

กินมันปิ้งย้อมใจลงมาทานอาหารเช้า อันนี้คือ ข้าวเปียก เป็นอาหารที่ต้องกินเมื่อมาอยู่ที่นี่ เหมือนก๋วยเตี๋ยวแหละ

เราไปเช็คเอาท์ และถามพี่เจ้าของบ้านว่าจะขึ้นรถยังไง เขาบอกให้เราเดิน เดิน ลัดเลาะไปเรื่อย ๆ แล้วก็จะถึงศาลารอรถกลับขนส่งเลย

โอกาสหน้าไว้จะมาใหม่ จะมาดูทะเลหมอกให้ได้ 

ถือว่าเป็นทริป 3 วัน 2 คืน ที่คุ้มค่านะ โอเคแล้วชีวิตวัยสะรุ่น

สรุปค่าใช้จ่ายสะหน่อยต่อคน

วันแรก

รถทัวร์ขาไป 206

ที่พักเชียงคาน 333

ค่าเข้าอุทยาน 20

ห้องพักอุทยานเป็นไฟฟ้าปั่นจะปล่อยกระแสไฟเวลาหกโมงเย็นถึงสามทุ่มแนะนำให้มีเทียนไว้ 117

รถขึ้นไปดูอาทิตย์ขึ้นไปกลับ 20

แพกับอาหาร 131

ค่ารถเหมาเที่ยวภูเรือ 317

รวมค่าเที่ยวกับค่ากินวันแรก 1290

วันที่สอง

รถจากตลาดสดมาขนส่งเมืองเลย 50

รถจากขนส่งมาเชียงคาน 35

รถสามล้อ 20

รวมค่ากิน ของฝาก ค่ารถ วันที่สอง 794

วันที่สาม

รถสามล้อเหมาขึ้นภูทอก 83

รถกระบะขึ้นภูทอกไปกลับ 25

รถจากเชียงคานมาขนส่งเลย 35

รถทัวร์จากขนส่งกลับพิษณุโลก 213

รวมค่ากิน ค่ารถ 483

รวม 3 วัน 2567 บาท