ภูหินร่องกล้า คราฝนฉ่ำ

สวัสดีค่ะ...

          ครั้งที่แล้วลงเรื่องที่ภูเขียว - ทุ่งกะมัง ไป แต่ตามที่เกริ่นไว้แต่แรกว่าเราออกจากภูหินร่องกล้ามาแวะนอนที่ภูเขียว วันนี้เลยอยากเขียนย้อนไปที่ภูหินร่องกล้าสักหน่อย เพราะคิดถึงไม่น้อยไปกว่ากันเลย  ... อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ถูกปักหมุดหมายตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าจะมาเยือนที่นี่ให้ได้สักครั้งหนึ่ง ภาพความงามที่เคยเห็นแต่ในหนังสือ ได้มาอยู่ในกล้องของเราบ้างก็คราวนี้แหละ 

ก่อนจะไป   ใจแอบคิด : เฮ้ย มาช่วงเทศกาลวันหยุดเนี่ยนะ  ฝนตกด้วยนะเนี่ย!!

                ใจคิดอีกที : ก็อยากไปอะ โอกาสมาแล้วนะ ไปดิวะ อย่ากลัว ลุย!!

          ... แม้จะออกเดินทางยามค่ำคืน แต่ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวแบบนั้น มันทำให้แผนที่วางไว้ต้องเปลี่ยนใหม่หมด กว่าจะขึ้นถึงจุดหมายแรก ก็ปาเข้าไปบ่ายแล้ว

          ...ตลอดเส้นทางคดเคี้ยวถึงที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,667 เมตร บนหน่วยทับเบิกเต็มไปด้วยหมอกฝนขาวโพลน  เพราะฝนที่พร่ำต่อกันมาหลายวันกระทั่งวันนี้ โชคยังดีที่ฟ้าไม่ได้เทน้ำที่ฉ่ำอยู่ลงมาแบบโครมทีเดียว เสื้อยีนส์แขนยาวกับหมวกแก๊ปใบเดียวเลยพอรับมือกับละอองฝนได้ อากาศเย็นๆ ผสานตัวเองกับความอบอ้าวและร้อนชื้น จนบอกไม่ถูกว่าเขาเรียกบรรยากาศแบบนี้ว่าอย่างไร จะว่าร้อนก็ร้อน แต่ไม่เหงื่อ ตอนนั่งรถขึ้นมาโดนลมเย็นๆ เหมือนจะหนาวเยือกๆ ซะแบบนั้น  ... ลานหินปุ่ม - ผาชูธง  คือจุดหมายแรกและจุดหมายเดียวของบ่ายนี้           ... หินก้อนโต รูปร่างแปลกประหลาด ท่ามกลางหมอกฝนขาวๆ เช่นนี้ นึกว่าตัวเองอยู่ในฝันจินตนาการอะไรสักอย่าง มันสวยเหมือนไม่ใช่โลกที่เราอยู่กันทุกวัน ฝนปอยเบาๆ น้ำไหลผ่านหินเป็นเส้นสายเล็กๆ ดอกเปราะภูกำลังอวดโฉมขาวๆ ตัดกับสีเขียวชอุ่มชุ่มน้ำของบรรดามอสที่ห่มคลุมพื้นหินทั่วบริเวณ ไหนจะดอกเข้าพรรษา ตาเหินไหวดอกหญ้า ดอกไม้ป่านานา  และอีกสารพัดเห็ด ที่สำคัญยังได้เจอดอกลิ้นมังกรสีส้มที่อยากเห็นดอกจริงๆ มานานแล้วด้วย   กว่าจะเดินเข้าไปถึงลานหินปุ่มเล่นเอาเหนื่อย ไม่ใช่เพราะเดินหรอกแต่เป็นเพราะผุดลุกผุดนั่งถ่ายนู้นนี่นั่นตากหาก

 

          ... ที่ลานหินปุ่มวันนี้ ฟ้าไม่สดใสสวยงามอย่างที่เคยเห็นในหนังสือ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความสวยงามอีกแบบที่อยู่ตรงหน้า ความเขียวสดของผืนป่ากว้างใหญ่ทำให้ผู้เขียนหลงใหลได้เสมอ ทิวทัศน์ที่สวยงาม ลมเย็นสบาย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เคยเป็นที่พักฟื้นของคนไข้ในสมัยของ ผกค.  เดินถ่ายภาพผืนป่าผ่านหลายมุมกว่าจะมาถึง ผาชูธง สถานที่ที่ ผกค. จะขึ้นไปชูธงแดง (ฆ้อนเคียว) ทุกครั้งที่รบชนะทหารของรัฐบาลและชูธงส่งข่าวสาร แวะพักไม่นานก็ได้เวลาเดินวนกลับออกไป บ่ายแก่ๆ หมอกเริ่มหาย พอจะมีแสงลอดเมฆลงมาได้เล็กน้อย บนที่ทำการอุทยานฯ ดูเหมือนอากาศจะสดใสกว่าราวกับว่าฝนไม่ได้ตกมาทั้งวัน หลังจากได้ที่พักก็พอมีเวลาเดินถ่ายรูปเพลินๆ อีกหน่อยก่อนแสงสุดท้ายของวันจะหมดลง

          ... รุ่งเช้า อากาศสดใส วันนี้เราจะย้ายตัวไปที่ภูเขียวกันแล้ว เราจึงมีเวลาแวะชมสถานที่ที่เป็นทางผ่านลงไปด้านล่างเพียงที่โรงเรียนการเมืองการทหารและกังหันน้ำเท่านั้น

           ...กังหันน้ำ อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนการเมืองการทหาร เดินลงไปข้างทางริมถนน ไม่ชันและไม่ไกลเท่าไหร่นัก ทั่วบริเวณร่มครึ้ม และเต็มไปด้วยมอส เฟิร์น ห่มคลุมก้อนหินน้อยใหญ่ แว่วเสียงน้ำตกเล็กๆ ที่ความสวยเกินขนาดตัว ที่แห่งนี้เคยเป็นเสมือนโรงสีข้าวของ ผกค. ในยุคนั้น โดยวิธีการผันน้ำจากน้ำตก ผ่านรางน้ำที่ทำจากไม้มายังตัวกังหันที่ต่อแกนถ่ายพลังงานไปที่ครกกระเดื่องตำข้าว แม้จะอยู่ติดถนนเพียงนิดเดียว แต่เหมือนว่าที่นี่ยังถูกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันลึกลับสมบูรณ์ที่รอคอยการค้นหายังไงยังงั้น           ...ปิดท้ายที่ โรงเรียนการเมืองการทหาร สถานที่ที่ทำให้ผู้เขียนอยากมาที่ อช. ภูหินร่องกล้ามาก เพราะภาพกระท่อมไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยใบเมเปิ้ลสีแดง บรรยากาศราวกับอยู่ที่เมืองนอกอะไรแบบนั้น แต่วันนี้ภาพที่เห็นตรงหน้าตรงกันข้ามมากมาย แต่ไม่ได้เสียความรู้สึกอะไร เพราะยิ่งเดินเข้าไปยิ่งรู้สึกตื่นเต้น กระท่อมไม้ผุเก่าในสภาพแวดล้อมที่อึมครึมไปด้วยสิ่งมีชีวิตสีเขียวกลับทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าอดีตกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง จนลืมภาพที่เคยเห็นในหนังสือไปเลย

           ทริปสั้นๆ ของที่นี่จบลงแล้ว แต่ความรู้สึกทุกอย่างไม่จบลงง่ายๆ ยังมีอีกหลายสถานที่ที่เรายังไปไม่ถึง ยังมีอีกหลายอดีตของที่นี่ ที่เรายังไม่ได้เห็น เสียดายก็จริงอยู่ แต่คิดอีกที นอกเหนือจากความประทับใจมันเหมือนทำให้เรามีข้ออ้างเพิ่มอีกหนึ่งข้อในการที่จะพาตัวเองกลับมาที่นี่อีกไม่ว่าจะฤดูไหนก็ตาม :)

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

http://park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?PTA_CODE=1048

ส่วนเรื่องเล่าจากภูเขียว - ทุ่งกะมัง อัพขึ้นบล็อกไปก่อนหน้านี้แล้วนะคะ ^__^