มาต่อกันเลยครับ

กับช่วงต่อของการเดินทาง ตลุยภูสอยดาวคนเดียว

เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ที่จะออกเดินทาง

ตรงนี้เป็นจุดขึ้นภูสอยดาวแล้วนะครับ ทั้งโหด ทั้งมัน ทั้งฮา

แถมความบ้าและหน้าด้านหน่อยๆ

ภาคแรก

http://www.thetrippacker.com/th/review/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7/8378

แฟนเพจ : ที่นั่น มันมีอะไร? 

https://www.facebook.com/Therewithwhat

เชิญรับชมบันทึกการเดินทางต่อกันเลยครับ

ความเดิม จากที่ผมขับมอไซมาช้านานมากกกกก . . . ผ่านป่าผ่านเขาจนได้เห็นยอดภูสอยดาวของจริง มีความสูง 2100 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ความรูปสึกแรก ฟิน ครับ คือมัน ฟินมาก ในใจฮึดเต็มที่

เอาวะ หนทางยังอีกแสนไกล  . . . 

ถึงแล้วครับที่ทำการอุทยาน จอดรถแล้วจัดของกัน สายแล้ว

นักท่องเที่ยวเริมเตียมของกันแล้วเพราะสายมากแล้ว ผมไปถึงตอน 10 โมง จัดแจงสำภาระ แพกของจัดสะเบียงสัมพาระให้เรียบร้อย ที่นี่มีที่อาบน้ำ กับจุดลงทะเบียน ค่าที่เช่าเต้นต์ ค่าลูกหาบ ชั่งน้ำหนักสำภาระ 

ก่อนขึ้นเราก็ควรปฎิบัติตามข้อควรระวังต่างๆ ติดต่อลงทะเบียนให้เรียบร้อย

เจ้าหน้าที่ก็ถาม 

"น้องมาคนเดียวเหรอ"

"อ๋อ ครับมาคนเดียว"

"โห ใจถึงนะเนี่ยมาที่นี้คนเดียว เตรียมตัวพร้อมเลยสิ"

"ครับ พร้อมเต็มที่ครับพี่ ^^ "

"หนักอยู่นะ น้องไม่จ้างลูกหาบเหรอ"

"ไม่อะครับ ผมไม่มีตัง 555"

"เดี๋ยวไม่มีตังเติมน้ำมันกลับบ้าน"

"หนักแค่นี้ ชิลๆ เดินตัวปลิวยังได้เลยครับพี่(พอได้แบกเดินจริงๆมันไม่มีความชิลเอาซะเลยยย)"

ฮึ่มมมมมมม สัมพาระ(พาระ)จริงๆ 12.5 กิโล บวก กระเป๋ากล้องอีก2กิโล เป็น 14.5 กิโล โอ้วววว แม่เจ้า ลองเอาแขนยกดูแล้วอย่างหนักเลย

"เอ้าๆ ดูหุ่นแล้ว แค่นี้น้องน่าจะไหว โชกดีนะน้อง"

ได้กำลังใจจาก พี่เจ้าหน้าที่สุดหล่อ

นักท่องเที่ยวยังจัดของให้ลูกหาบกันอยู่เลย ผมก็เลยไปดูรถของผมให้เรียบร้อย เอาขอฝากกะเจ้าหน้าที่ได้ไม่มีหาย พวกกล่อง กะหมวกกันน็อค ดูความเรียบร้อยของรถเราซะหน่อย เอาล่ะที่นี้ก็เตรียมพร้อมเดินทางไกลกันแล้ว รถที่จะมารับเราไปทางขึ้นภูก็มาถึงแล้ว เอากระเป๋าโยนขึ้นรถเลย มาที่หลังจัดเสร็จก่อน555  

เห็นอย่างนี้ มันแรงนะครับ ออกตัวทีหน้าหงายได้เลย เพราะ ผมหงายจนเกือบจะตกรถแล้ว 555

 

ถึงแล้วครับ หน้าทางขึ้นของเรา ลานสน 6.5 กิโลเมตร ฮึ่มมมมมมมมม แดดอย่างนี้ ช่างมัน ลุย ถ้าถอดใจ มันก็ไม่รู้สิว่า "ที่นั่น มันมีอะไร"

"เอ้าหนุ่มมมม มาคนเดียวเหรอเนี่ย" รอยยิ้มจากเจ้าหน้าที่เหมือน น้ำเย็นๆมาลดความร้อนระหว่างทางขึ้น

^^ "ครับ ผมมาคนเดียว ทางอีกไกลมั้ย(ยังไม่ทันเดินขึ้นก็ถามซะละ)"

"ไกลสิ มาๆ ขอ บัตรผ่านหน่อย"

ผมยื่นบัตรให้เขา(บัตรนี้จะได้ตอนที่เราจ่ายค่าเข้าอุทยาน)

"น้อยคนะ ที่จะเดินทางมาภูสอยดาวคนเดียว ไม่ค่อยมี"

"555 สงสัผมคงจะบ้ามั้งครับลุงงงง ไม่มีใครมา อยากมา ก็มาคนเดียวเลย"

"เดินระวังๆหน่อยละกัน โชกดีนะหนุ่ม" รอยยิ้มของแกยังอาบหน้าอยู่

"ครับผม ขอบคุณครับ" ผมยิ้ม แล้วเดินจากมา

เดินมาหน่อยก็จะเห็นน้ำตก ภูสอยดาว เกิดจากน้ำบนภูสอยดาวไหลตามลำธารลงมา น้ำที่นั่นใสมาก เย็นจับจิตรจับใจจริง พี่เจ้าหน้าที่บอก น้ำที่นี่กินได้ แต่ต้องต้มก่อน ไม่รอช้าไปเก็บภาพน้ำตกกัน

น้ำตกภูสอยดาวมี5ชั้นนะครับ ความสวยงามลดหลั่นกันไป บรรยากาศสดชื่นจริงๆ

ทางขึ้นแรก ไหวๆ ชิลๆ 55

ชั้นที่ 2ของน้ำตก

"อีกไกลเลยน้อง" 

"กว่าจะไปถึงลานสน 6 โมงนู่น เชื่อพี่สิ"

"โหวววว นานจัง ไม่เป็นไรพี่ผมเดินเรื่อยๆละกัน 555"(ในใจคิด ชิบห_ยละมันนานขนาดนั้นเลยเหรอ)

ยิ้ม แล้วเดินผ่านมา คำพูดพี่ช่างเสียแทงใจจนอยากกระอักเลือดยิ่งนัก 55

เดินเพลินๆชมนกชมไม้ ขึ้นเขาลงห้วย ความล้ามันก็มาเยือนจนไปเจอจุดพักจุดแรก จุดที่จดอยู่นี้เรียกว่า 3เฒ่าผู้ยิ่งใหญ่ ฮึ่มมมมม มันใหญ่จริงๆ ถ่ามาเดินจุดนี้ตอนกลางคืนนี่คงหลอนๆน่าดู มีพวงมาลัยประกอบให้ดูลึกลับไปอีก แต่จุดนี้เย็นๆดี คลายร้อน

ไปต่อๆ เดี๋ยวจะไปถึงมืด(คำพูดพี่คนตะกี้พาหลอน)555

"อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะใกล้ บอกที" ผมเดินไปฮัมเพลงไป ชิลๆ เหมือนคนบ้า เจอป้ายบอก ลานสนอีก 6 กิโลเมตร 

แม่เจ้า! ผ่านมาแค่ 500 เมตรเนี่ยนะ เดินตั้งนาน เอ้าๆ ต่อๆ เดินคนเดียวชิลๆ เหงาๆกันไป

เดินมาได้พักนึง เอ้าจอดดด(มันหนักจริงๆครับไอ้ภาระของผมเนี่ย) กินน้ำกินท่า เสพธรรมชาติ เสียงลำธาร เสียงนกร้อง เสียงผมร้อง เฮ้ยไม่ใช่ละ 55 

สพานที่ข้ามลำธารนี้มันโคลงเคลงมาก โยกตัวยังโคลงเคลงเหมือนจะพัง ตอนนั้นนึกในใจถ้าพังนี้ไม่มีตังซ่อมแน่55

ทีนี้ก็โยกสนุกเลย นั่งอยู่คนเดียวปล่อยความคิดไปกับสายน้ำ มองเหม่อ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

มีเสียงคนเดินมา หันไปดู เฮ้ยพี่ลูกหาบนิ ปะๆ มีเพื่อนเดินด้วยกันละ เดินตามพี่แกไปดีกว่า

เดินไปคุยไปถามนั่นถามนี่ ก็เพลินดีนะ 55 ลุงแกคงรำคาญไอ้นี่มันถามเยอะจัง 555

ที่ลุงแบกมา 30 กิโล!! แม่เจ้า ของผม14กิโลแทบตาย 

เดินไปจนถึงจุดพัก เจอกลุ่มพี่ลูกหาบ ผมก็ไปพักกะเขาด้วย ก็คุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย ลุงเขาใจดีแจกลูกอมให้คนละเม็ด ขอบคุณแรงๆเลยครับลุง

ได้ความหวานมาเติมเต็ม เอาล่ะ ลุยต่อ บอกลาพี่ลูกหาบแล้ว ยิ้มจากมา เดินมาได้พักใหญ่ๆ ทางชันมั่งไม่ชั้นมั่ง

ยังถือว่าเดินสบาย ชิลๆ(รึเปล่า)

เดินไปเจอทางชันก่อนจะถึงเนินแรก เจอเด็กน้อยคนนึงเป็นลูกหาบ ตัวเล็กมากถามอะไรแล้วไม่ค่อยตอบ ส่งสัยเหนื่อย55 พอรู้ว่าแบกมา 15 กิโล โหว พอกะผมแบกเลยวุ้ย บอกน้องสู้ๆโว้ย น้องเขาก็เดินจากไป ส่วนผมก็เดินตามน้องเขาไปติดๆ 

ถึงแล้วววววว เนินแรก ยังเหลือเนินอีกเพียบบบ เฮ้ออ พักแปป

เสียใจนิดนึงผมไม่มีญาติมา แต่จะไปหาคนมาเป็นญาติข้างบนนั้น555 

ไปๆลุยต่อๆ

ระหว่างทางเดินไปเจอน้องลูกหาบผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึง ที่ผมตกใจคือเธอแบกของหนักมากก 20 กิโล ผมขอซูฮกน้องเขาจริงๆ ผมยอมเลย555 

แล้วเราก็มาจอดที่ทางแยก พักก่อน ผ่านเนินแรกก็หอบแฮ๊กๆ กินนน้ำแปป(ควรกินน้ำแบบจิปๆ เพราะหากกินเยอะไป. . . เดี๋ยวมันหมดเร็ว 555)

มุมน้องเขาเท่จริมๆ จุดที่อยุ่ตรงนี้ลมจะพัดค่อนข้างแรก เย็นกำลังดีให้หายเหนื่อยได้บ้างดูจากไปไม้ที่ปลิวนะครับ น้องลูกหาบตามมาถึงพอดี

นี่ยังไม่ถึงครึ่งทาง หนทางยังอีกยาวไกล

เห็นยอดอยู่ลิบๆ

ถึงเนินที่2แล้วครับ เนินปราบเซียน แต่ไม่ได้ปราบเซียนอย่างเดียว ปราบขาผมเนี่ยแหละชันมากกกก(ชันฮิมหาย)

หนทางมันช่างทรมานผมจริงๆ กัดฟันแล้วเดินต่อ งานนี้มีกลิ้งตกเขาแน่55 

ถึงจุดแวะพักกินข้าวแล้วครับ หยิบไก่ย่างที่ซื้อมาจากตลาด กำลังจะกิน เจอกลุ่มพี่ๆกำลังนั่งพักกันอยู่(จุดนี้แหละที่เรียกว่า คำทักทายเป็นประตูสู่ความสัมพันธ์) จึกทักพี่เขาไป

"พี่ขึ้นมากันแต่กี่โมงครับ"

"มาแต่10โมงกว่าๆแล้ว"

"อ๋อ ครับ" กำลังจะเอาไก่ย่างเข้าปาก พี่เขาก็ทัก

"น้องเดินมาแต่กี่โมง"

"11 โมงครับ" กัดไก่ย่างไปคำนึง กำลังเอาข้าวเหนียวตาม

"เดินไวดีนิ" หยุดเคี้ยวแล้วตอบ

"มาคนเดียวเหรอ"

"ครับ" กลุ่มพี่เขาทำหน้าตกใจเหมือนเห็นผี

จากนั้นก๋คุยกันยาว

$#$%$%*^&*

เหตุการถามตอบๆ เป็นไปปนะมาณ 15 นาที ผมยังไม่ได้กินไก่ คิดในใจ เมื่อไรจะได้กินไก่วะ 

จนเพือนเขาขัด พอเถอะให้น้องเขากินเขาเถอะ คุยจนน้องเขาจะไม่ได้กินละ(ดีใจทำไมพี่เขาเหมือนอ่านใจเราออกวะ)

จนกลุ่มพี่เขาเดินจากไป พี่กลุ่มนั้นก็บอกไปเจอกันข้างหน้านะ เดี๋ยวพี่แกล้งเดินช้า 555

โฉมหน้าของคนแปลกหน้าที่กลายเป็นมิตรภาพ เพราะไม่เจอพวกเขาผมคงเหงากว่านี้ 55(คิดถูกคิดผิดก็ไม่รู้)

ส่วนผมก็นั่งกินไก่ย่างที่เตรียมมา แล้วก็นังคุยกะลุงลูกหาบไปเพลินๆจนอิ่มแล้ว เอาล่ะมีพลังแล้วพร้อมลุยกันต่อหนทางยังอีกยาวไกล

ในที่สุดก็เดินมาทันพวกพี่เขาจนได้ กลุ่มพี่เขาเดินออกมาก่อนหน้าผมประมาณครึ่งชั่วโมง พี่เขาทำหน้าตกใจ 

"น้องเดินเร็วมาก"

"ทางที่เดินมามันชิลๆครับพี่"(ชิลตรงไหนวะ ทั้งทางชันทั้งระยะทาง รวมทั้งของที่แบกมา 555)

ระหว่างรอก็นั่งคุยกะกลุ่มพวกพี่เขาไป พี่คนหนึ่งในกลุ่มก็อุทานว่า

"จุดอะไรขาวๆบนเนินน่ะ"

"นั่นมันคนนิ โห ไกลจนทำให้ตัวเล็กมากเลย"

นั่นมันคนจริงๆ นี่หว่า  นั่นมันคือเนินสุดท้ายครับ นั่นคือ "เนินมรณะ"

โอ้ววแม่เจ้าฟังชือแล้ว มันช่างน่ากลัวจริงๆ เอาวะถอยไม่ได้ละกัดฟันเดินหน้าต่อ ห่นทางอีกไม่ไกลแค่นี้เอง "สู้โว้ยๆ"

 

มันเป็น2.5กิโลที่ทรมาณที่สุดในการเดินครั้งนี้แล้วครับเพราะเป็น2เนินสุดท้ายทีชันที่สุด

ระหว่างที่เดินนั้นผมก็คุยกับกลุ่มพี่ที่เจอกัน กลุ่มพี่เขาเป็นกันเอง ถามนั่นถามนี่ ผมก็พูดคุยกัยพี่เขา กวนตีนพี่เขาไปพี่เขาก็กวนตีนกลับ แบบ กวนตีนไปกวนตีนกลับไม่โกง55(ในใจก็กลัวว่าจะกวนตีนมากไปจนโดนถีบตกเขาแน่ๆเลย)

แต่ดีนะครับที่มีกลุ่มพี่เขาอยู่ด้วยเพราะคิดว่าจะต้องเดินเหงาๆฮัมเพลงคนเดียวซะอีก(ถ้าไม่มีพวกพี่ผมคงลำบากแบบสุดเลยเพราะเวลาผ่านไปเกิดปัญหาขึ้นกับผมจนได้)

ช่วงระหว่างทางเดินเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ขาผมเองเริ่มมีอาการล้าขึ้นเพราะใช้เวลาในการเดินที่เร็วมาก เพราะกลุ่มพี่เขาออกเดินขึ้นมาตอน10โมงกว่าๆ ผมออกเดินตอน11โมงยีสิบ ตามกลุ่มพี่เขาจับทันได้(พวกพี่เขาเดินช้าหรือเราเดินเร็ววะ55)

ผมคิดไว้แล้วว่าสภาพนี้ตระคิวแดรกแน่นอน ความรู้สึกปวดขามากจนแทบยืนไม่ได้(ที่ผ่านมาซ้อมวิ่งตลอดแต่ไม่มีผลอะไรเลยจริงๆ T T)

ในที่สุดก็ฝืนเดินจนถึงเนินเสือโคร่งแล้วครับ พักก่อนนนนนน ไม่ไหวแล้ว

เอาละพักนานแล้ว ปะๆ เดินต่อ

หลังจากที่ออกจากป้ายเนินเสือโคร่งมาแล้ว เดินมาได้ระยะหนึ่ง ขาผมเริ่มปวดมาขึ้นเรื่อยๆครับ จนต้องหยุดพักบนเนิน งานเข้าครับ!!! งานเข้าจริงๆ ตะคริว แดรกกกกกกครับโผมมมมมมม เป็นที่ขาซ้ายที่ปวดมาแต่แรกๆ

ร้อยโอ้ยยยยยยยยยยยยย แล้วล้มลง ล้มทั้งยืนเลย(ใครที่เคยเป็นจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดีครับ ส่วนคนที่ไม่เคยเป็นลองเป็นดูครับ ทรมาณสุดๆแล้ว) พี่ที่เดินมาพร้อมผมก็รีบเข้ามาช่วยผมไว้ จนอาการหายไป แต่ผมยังลุกไม่ได้ จนพี่เขาปล่อยมือ ปุป เป็น ปับ จนขยับไม่ไหนไม่ได้เป็นตลอดจนพี่เขาช่วยนวดกล้ามเนื้อขาผมจนหาย(ขอบคุณพี่มากๆเลยครับถ้าไม่มีพี่ผมเป็นคนเดียวคงทำอะไรไม่ได้แน่) สภาพนั้นผม อ้ายอาย 55 หมดสภาพเลย หลังจากเก่ง(แต่ปาก)มานาน พี่เขาก็มีน้ำใจอาศาถือเต็นต์และถุงนอนให้ผม(พวกพี่ใจดีจังเลยอยากจะกราบงามๆ3ที เอ้ากราบบบบ) ผมรู้ซึ้งถึงความมีน้ำใจของคนเราจริงๆ ทั่งที่ผมเป็นคนแปลกหน้าที่บังเอิญร่วมทางกัน(น้ำตาจิไหลเลยครับ)

ขอบคุณความมีน้ำใจของพวกพี่จริงๆ ความมีน้ำใจของพวกพี่ช่วยผมรอดตายมาได้(ร้องไห้+อายหนักมาก55)

ในที่สุดก็ถึง "เนินมรณะ" ฮึ่มมมมมมม สมชื่อจริงๆ  เนินแม่งงงงชันมากกก ไม่ใช่ขันธรรมดา โคตรชัน ถ้าพลาดไปได้มรณะแน่ ทางเดินแคบมาก เนื่องจากความเหนื่อยทำให้ไม่ได้ถ่ายรูปทางเดินมาทั้งหมด อยากรู้ว่าทางเป็นไงต้องลองมาเดินเองครับถึงจะรู้ว่าเป็นยังไง 555

ทางมันแคบแบบที่แหละครับ พลาดที่นึกถึง"สรยุธ" เลยที่เดียว 555

แต่!! สิ่งที่ได้มานั้นมันคุ้มค่ามาก ถึงแม้ขาผมจะปวดถึงขั้นอยากจะตัดทิ้ง แต่วิวข้างหน้าผมทำให้ใจที่แสนเหนื่อยล้า หายเหนื่อยเลยทีเดียว

ฟินนนนครับ ฟินนนกับสายลมที่พัดผ่าน ฟินกับสิ่งที่ได้รับมา ถึงแม้มันจะไม่ใช่จุดหมาย แต่มันก็ทำให้เราหายเหนื่อยครับ ผมยืนมองวิวนั้นอยู่นาน จนพี่เขาทัก 

"เฮ้ยน้อง เดินต่อเถอะเดี๋ยวจะค่ำ"

สูดลมหายใจให้เต็มปอด แล้วตะโกนออกไปว่า . . . "เหนื่อยยยยดีโว้ยยยยยยย" 555

เดินๆ(ต้องใช้คำว่าปีนมากกว่า55) ขาผมยังปวดแต่ก็ยังเดินได้เพราะ อีกไม่ไกลก็ถึงยอดแล้ว ลานสนอยู่ไม่ไกล กัดฟันแบกสังขาลเดินไปเรื่อยๆ ใครเห็นสภาพผมตอนนั้นมันช่างอนาถมากๆ 55

ถึงจุดที่หลายๆคนมายืนถ่ายรูปกัน มันเป็นหน้าผายื่นออกไปเห้นวิวสวยๆ แต่ผมไม่ถ่ายรูปตัวเอง ผมถ่ายผู้คนที่จะมาถ่ายกับก้อนหินก้อนนี้ดีกว่า 55 "เอาพี่ เก๊กหน่อยๆ"

จากจุดนี้เดิน(ปีนเขา)ไปอีกหน่อย มันจะเป้นทางลาดเดินสบายๆ แต่สภาพผมแทบคลานขึ้นไปเลย55 นึกอิจฉาคนที่ไปตัวเปล่าๆหรือสำภาระน้อยจัง(แต่เราก็ได้ความภูมิใจนะ55) พวกเขาเดินกันสบายมาก บางที่ก็ทิ้งห่างผมไป ผมจึงบอกไปแบบเท่ๆว่า "ทำถูกแล้ว ที่เธอเลือกเขาและทิ้งฉันไว้ตรงกลางทาง
เมื่อตัวเธอ พบคนที่ดี ที่เธอวาดไว้ในหัวใจ" ทิ้งไว้กลางทางนี่เอง 555 

ในที่สุดดดดดดด ผมก็พาตัวเองมาถึงจุดๆนี้ ถึงป้ายอันนี้ผมดีใจมากกก ได้พักซะที ดีใจแทบโยนกระเป๋าลงเขาเลยทีเดียว(ไหล่ผมไม่มีความรู้สึกแล้วตอนนั้น)55

โชกดีที่ผมรีถ่าย เพราะหลังจากนั้น "นั่นแหละฮะท่านผู้ชม" คนเข้ามาถ่ายรูปเพียบ 555 "น้องๆ ถ่ายรูปให้พวกพี่หน่อย" นั่นแหละฮะ เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการมาคนเดียวแล้วยืนรอดูวิวแบบมึนๆอึนๆ

"ยิ้มหน่อยครับพี่" แชะๆๆ

"น้องๆ ขออีกรูปนะ" ครับ. . . (ยิ้มหน้าเจื่อนๆ55)

ไปๆ ไปหาที่กางเต้นต์ดีกว่า ก็เดินตามกลุ่มพวกพี่เขาไป

ภาพระหวางทางก่อนไปถึงที่ทำการครับ

ช่วงเวลาที่เดินขึ้นมาถึงประมานบ่าย3โมง อกเดินทาง11โมงกว่าๆ รวมเวลาเดิน4ชั่วโมง ฮึ่มมมมมมม มันไวไปรึเปล่าวะ ช่างมันๆ ถึงแล้วก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนละกัน ว่างกระเป๋า(วางปุ๊ปเข้าใจเลยว่าโงกุนตอนที่ฝึกวิชาแบกกระดองเต่าแล้วตัวมันเอาแค่ไหน 555) ตัวเบาจริงครับ แต่ขา มันก้าวไม่ค่อยออกเลย55 ปวดมาก เดินลำบากจริงๆ  หากมาที่นี่เราจะต้องติดต่อเช่าขันพวกเต็นต์ที่เขาก็มารับได้ที่นี่ รวมทั้งแผนรองนอน เตาถ่าน ถังน้ำกับขันน้ำไว่อาบน้ำ หม้อต้มมาม่า กาน้ำร้อน ฯลฯ ซื้อมาติดต่อเช้าที่นี่ได้ไม่ต้องแบกขึ้นมา ซึ่งผมก็เช่า ถังน้ำ+ขันน้ำ+หม้อต้มมาม่า

ส่วนราคาจะมีบอกเป็นตารางว่าแต่ลพอย่างราคาท่าไร สวนค่าใช้จ่ายไปจ่ายอีกทีตอนกลับลงไปที่ทำการ

มีคนหมดสภาพคาที่เลยที่เดียว555

เอาล่ะ ได้ของมาแล้วก็กางเต็นต์ดีกว่า จะได้ไปเก็บภาพ

ระหว่างกางเต็นต์ เหมือนมีสายตาหลายๆคู่จ้องมองมาที่ผม 555 กลุ่มพวกพี่เขานั่นเอง ผมเลือกกาเต็นไกล้กลุ่มพี่เขาเพราเขาชวน(ดีเลยจะด้ไม่เหงา55) จะได้ช่วยอะไรพวกเขาได้บ้าง ซึ่งลูกหาบที่กลุ่มพี่เขาเลือกแบกของยังมาไม่ถึงบนลานสน "รอไปนะพี่ 555" 

"อิจฉาเนอะ คนที่มีของพร้อมเลย" พี่คนหนึ่งพูดออกมา 

"ไปถ่ายรูประวังกับข้าวหายนะน้อง"

พวกพี่เขาโหดอะ เหมือนโดนรังแกด้วยสายตา ><


สภาพเต็นต์ผมอาจะเล็กๆ ถนาถๆ แต่ผมเป็นคนอยู่ง่ายไม่เรื่องมากครับมีแค่พอกันลมกันฝนได้พอ กินง่ายอยู่ง่าย มาม่า(ขนาดบนภูยังได้กิน ลงมาตอนนี้ยังกินไม่เลิกเลยครับ ผมจนมาก 555) เก็บของเก็บสำภาระ แล้วไปล้างหน้าล้างตาดีกว่าเหนื่อยมาตั้งนานขออะไรที่มันสดชื่นหน่อย 

สภาพหน้องน้ำ

ห้องน้ำที่นี้ไม่มีน้ำประปานะครับ ใครอยากได้น้ำเยอะแค่ไหน ตักเองตามใจชอบเลย 55(ตักดีๆอาจจะมีอะไรติดถังมาด้วยนะครับ)

แหล่งน้ำที่เดียวบนนี้ที่ใช้อาบน้ำ

อุนหภูมิน้ำเหรอครับ บอกไม่ได้บอกได้อย่างเดียว โคตรเย็นนนนนนนน คนอย่างผมไม่รีบอาบหรอกนู่น 6 โมงกว่าๆค่อยอาบ ล้างหน้าพอ 55 เอาให้เย็นไปถึงตาตุ่มเลยถึงจะคุ้ม (ใครที่เรื่องมากเรื่องการอาบน้ำ ห้องน้ำที่นี่เป็นนห้องน้ำรวม ไม่มีแยก ไม่มีโวยวาย เรื่องมากนักแนะนำไปอาตอนถึงอุทยาน55 ไม่อาบก็ซักแห้งไป) สภาพห้องน้ำ ไม่ได้ถ่ายมานะครับ แต่ก็พออาบได้ ไม่ได้หรูอะไร 

ล้างหน้าเสร็จ ไป ไปถ่ายรูปกันนนนน(ไม่มีรูปตัวผมนะครับ บรรยากาศทั้งนั้น 55)

ดอก หงอนนาค ช่วงที่ขึ้นไป เรื่มจะไม่ค่อยมีแล้วนะครับ เพราะปลายฝนต้นหนาวแล้ว ที่มีก็เป็นหย่อมๆ ไม่เยอะเท่าหน้าฝน

ถึงแม้มันจะมีไม่เยอะเท่าช่วงหน้าฝนแต่ความสวยงามของมันยังคงอยู่ คุนค่าของมันไม่ได้หมดไปเลย ระว่างนั้นเก็บภาพลานสนไปพลาง เดินคนเดียวชิลๆ ส่งยิ้มให้ชาวบ้านไปเรื่อย เจอใครก็ยิ้ม แต่บางคนยิ้มไปกลับเมินผมซะงั้น 555 ฟังเพลงชิลๆกับอากาศที่เย็นๆ เดินคนเดียวถือกล้องถ่ายไปเรื่อย หามาเป็นคู่คงได้เดินอยอกล้อโพสท่าถ่ายรูปกันสนุกแน่เลย(ผมก็เคยมีช่วงเวลาเหล่านั้น แต่ช่างมันเถอะ ^^) ผมก็ได้มองคนอืนตาปริปๆ 55

มาถึงช่วง ถ่ายดะ(ถ่ายไปเรื่อย)

บางคนอาจะมีคำถาม เฮ้ยยยยมืงงงงงง กล้าไปคนเดียวได้ไง ไม่เหงาเหรอ ไม่กลัวเหรอ ฯลฯ

คำตอบคือ "กลัว" "เหงา" เหมือนกับทุกๆคนแหละครับ แต่ผมมองว่าถ้าเรากลัว อย่าออกมาครับ อยากทำอะไรเลยย

เพราะจะทำะไรก็กลัวนั่นกลัวนี่ การเดินทางคือความเสี่ยงครับ เสี่ยงที่จะไปเจออะไรในความไม่รู้ การเดินทางมันทำให้เราเรียนรู้และเติมโตขึ้น เพราะ"ความปลอดภัยไม่เคยทำให้ใครเติบโต" ออกนอกกรอบของตัวเอง ทำอะไรที่ไม่เคยทำ "เพราะไม่รู้ว่าเราว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน บนโลกที่โหดร้ายใบนี้"

ระหว่างที่กำลังเดินเก็บภาพ เดินไปจนถึง "หลักประเทศ" 

บางครั้งสิ่งที่เราบอกมันเป็นเส้นเขตแดน มันเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมา เพื่อตีกรอบความคิดและสังคมรึเปล่า?

แค่เราเดินข้ามไป มันก็คือฝั่งลาวแล้วครับ ^^

ระหว่างที่เดินกลับนั้น ได้ไปเจอน้องลูกหาบผู้หญิงคนนั้น เหมือนกำลังนั่งฟังเพลง บรรยากาศดีเลยเก็บภาพซะหน่อย ^^ เอาล่ะพระอาทิตย์ไกล้ตกแล้ว ไปเก็บภาพบรรยากาศช่วงแสงสุดท้ายดีกว่า อากาศกำลังเย็นๆเลยรีบไปๆ  พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว แต่มุมที่ผมอยู่ก็สวยไปอีกแบบนะครับ ^^ มุมนี้มีช่างภาพรอถ่ายแสงสุดท้ายหลายคนเลยครับ ทุกคนต่างจับจองรอเก็บภาพสวยๆ ผมก็เช้นกันก็เช่นกัน^^

หลังจากที่ผมกพลังเห็บภาพพระอาทิตย์ตกอยู่นั้นผมก็หันไปเห็นภาพนี้ เป้นภาพที่หน้าตื่นตาตื่นใจมาก(เป็นภาพหน้าปกของภาคแรกนั้นเอง) เมฆเริ่มลอยลงมาปกคลุมยอด2100แล้ว ไม่รอช้าเก็บภาพรัวๆเลยครับ ^^

พระอาทตย์ตกไปแล้วครับ^^  ช่วงเวลานั้นอากาศหน้าและลมแรกมาก หลายๆคนพอพระอาทิตย์ตกไปแล้วแต่ผมก็ยังอยู่ตรงนั้นต่อ เพื่อที่จะเก็บแสงสุดท้ายของวัยจริงๆ มีแต่ผม กับกลุ่มคยไม่กีคนที่รอ จนผมได้ภาพนี้มา ถือว่าคุ้มค่าที่ทรรอหนาวแล้วครับ(ใส่แค่กางเกงขาสั้งเสื้อยืด ไม่หนาวให้มันรู้ไป55) มันเป็นภาพที่สวยงาม ที่หลายๆคนมองข้ามมันไปนะ ผมลดกล้องค่อยๆนั่งดูแสงของตะวันลาลับขอบฟ้า จนความมือมิดและเหน็บหนาวผ่านเข้ามา ผมพร้อมอ้าแขนโอบรับมัน เพราะตอนนี้ ผมมีความเหงานั่งอยู่เป็นเพื่อน ^^ "ความเหงาที่อบอุ่น" หมดไปอีก1วัน คืนนี้ขอให้เจอทางช้างเผือกที่เถอะ สาธุๆ แรงๆ 55 

ไปๆ หิวแล้ว ไปต้มมาม่ากัน

^^

ติดตามต่อภาค3นะครับ คืนนี้ผมขอนอนก่อน ฝันดีครับ