DAY 1 : 13/01/2016
รถทัวร์จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมงค่ะ พอถึงจุดลงรถผานกเค้ารถจะจอดตรงข้ามร้านเจ้กิม หมายความว่า พอเราลงจากรถเเล้ว ให้ข้ามถนนมาอีกฝั่งเพื่อรอรถสองแถวสีแดงแล้วนั่งต่อไปที่ภูกระดึงค่ะ
สองรูปนี้ เราถ่ายไว้วันจะกลับซึ่งเป็นตอนเย็น เพราะถ้าถ่ายตอนลงรถวันรกจะมืดมากค่ะ
รถสีแดงจะออกประมาณตีห้ากว่าๆเกือบหกโมงนะคะ เราสามารถขึ้นไปนั่งรอจนกว่าผู้โดยสารจะเต็มได้เลย หรือจะเหมารอบละสามร้อยก็ได้ หมายความว่า เขาคิดเที่ยวละสามร้อยค่ะ
ขึ้น 1 คนก็คิด 300
ขึ้น 2 คนก็คนละ 150
ขึ้น 3 คนก็คนละ 100
แต่ถ้าขึ้น 4 คนก็คิดคนละ 75 ค่ะ ( ไม่มีไร เราอยากหารเลขโชว์เฉยๆ :3 )
แต่ปกติ ขึ้นได้มากสุด 10 คนค่ะ ตกคนละ 30 บาท
** สำหรับใครที่ยังไม่ได้จองตั๋วรถขากลับ สามารถจองได้ที่ตรงข้ามร้านเจ้กิมค่ะ (ลงรถแล้วอย่าเพิ่งข้ามกลับมา หรือจะข้ามมาก่อนแล้วค่อยข้ามกลับไปจองตั๋วรถก็ได้ค่ะ )
ตั๋วของภูกระดึงทัวร์จะแพงกว่าแอร์เมืองเลย 10 บาทค่ะ แต่ถ้าใครยังไม่แน่ใจว่าจะอยู่กี่คืนก็สามารถจองในวันที่เดินทางกลับได้ แต่ต้องยอมเสี่ยงหน่อยเพราะอาจจะไม่มีที่นั่ง ทางที่ดีเราว่าจองไว้ก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวไม่มีรถกลับเนาะ
@ร้านเจ้กิม
- ใครที่ลงรถมาแล้ว สามารถแวะรับประทานอาหารที่ร้านได้ แล้วทางร้านก็มีของฝากขายด้วยนะ แต่ค่อยซื้อตอนขากลับก็ได้แล้วแต่สะดวกค่ะ
- หลังร้านเจ้กิม มีห้องน้ำไว้บริการค่ะ ลงจากรถแล้วสามารถเข้าไปอาบน้ำแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้า แต่งหน้า ทำผม ฯลฯ ได้
- ทางร้านมีบริการใช้ชาร์จแบตเตอร์รี่ด้วยนะ ให้ชาร์จได้ประมาณสองชั่วโมงค่ะ ค่าบริการ 20 บาท
ทางร้านจะให้บัตรหมายเลขมาค่ะ เวลาไปติดต่อก็ให้นำบัตรกลับไปคืน เพราะฉะนั้นต้องเก็บไว้ดีๆ ห้ามทำหายนะ
@สถานีตำรวจ
ข้างร้านเจ้กิมจะเป็นสถานีตำรวจค่ะ สามารถใช้บริการห้องน้ำได้เช่นกัน
ปล.เรามีโอกาสได้ใช้ห้องน้ำตอนรอรถขากลับ เนื่องจากร้านเจ้กิมปิดก่อน ขอบอกว่าที่นี่สะอาดมากกกกจริงๆค่ะ พื้นห้องน้ำแห้งสนิท ถ้ามีเสื่อกับหมอนนี่จะปูนอนตรงนั้นเลย
@ร้านขายหมวก + อุปกรณ์กันหนาว
ร้านนี้จะอยู่ตรงข้ามร้านเจ้กิมนะคะ ถ้าลงรถมาจะเห็นเลย อยู่ข้างที่จองตั๋วรถของภูกระดึงทัวร์ค่ะ จะมีสองร้านใหญ่ๆด้วยกัน ส่วนมากจะขายพวกหมวกไหมพรม ผ้าพันคอ อุปกรณ์กันหนาว สำหรับใครที่ไม่ได้เตรียมมา แนะนำให้ซื้อขึ้นไปก็ดีนะคะ เพราะข้างบนนั้นหนาวมากๆๆๆ และราคาก็แพงกว่าด้วย ( อันนี้สำหรับกรณีที่เดินทางไปภูช่วงหน้าหนาวหรือต้นปีค่ะ )
ปฎิบัติภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็นั่งรถสองแถวขึ้นภูเลยค่ะ เย่ๆ :3 ....................
@อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
รถแดงจะจอดตรงหน้าอุทยาน พอลงไปถึงก็นั่งพัก รอที่ทำการเปิดเพื่อจองเต๊นท์และซื้อบัตรเข้าอุทยานค่ะ
ส่วนของเครื่องนอน ถุงนอน ผ้ารองนอน หมอน ผ้าห่ม ต้องขึ้นไปจองบนภูนะ
เราจองเต๊นท์หนึ่งหลังสำหรับนอนสามคนค่ะ ( แต่นอนคนเดียวนะ :3 ) ราคาคืนละ 225 บาท
เราพักอยู่บนนั้นสองคืน คือวันที่ 13,14 รวมราคาทั้งหมดก็ 450 ค่ะ
* ถ้านำเต๊นท์มาเองต้องเสียค่าพื้นที่เช้าเต๊นท์ 30 บาท ต่อคนต่อคืนนะ
* ใบเสร็จต้องเก็บไว้ดีดี เพราะต้องนำไปเป็นหลักฐานยืนยันต่อเจ้าหน้าที่ข้างบนเมื่อเดินไปถึงค่ะ
จองเต๊นท์เสร็จ ก็ไปต่ออีกแถวเพื่อซื้อตั๋วค่ะ ราคาตั๋วก็อยู่ที่ 40 บาทต่อคน (ถูกมาก) ก่อนขึ้นภูต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว และลงชื่อ ข้อมูลส่วนตัวเล็กๆน้อยๆลงในสมุดค่ะ ( จะได้ตรวจสอบได้สะดวกกรณีมีคนหาย )
แต่ก่อนจะขึ้นภู ใครมีสัมภาระหนักก็สามารถจ้างลูกหาบได้ ราคากิโลกรัมละ 30 บาท พอชั่งน้ำหนัก + ติดแท็กชื่อ เขียนชื่อ เบอร์โทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ก็เก็บหางตั๋วไว้ชำระราคาและรอรับกระเป๋าข้างบนที่พักได้เลยค่ะ
@ขึ้นภูกระดึง
ต่อไปนี้ จะเริ่มมีการเล่าประสบการณ์แทรกเข้ามารวมกับการรีวิวเรื่อยๆนะคะ อาจมีการพาดพิงถึงคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ซึ่งเราขออนุญาตเจ้าตัวเรียบร้อยแล้วค่าา:3
นี่คือป้ายตรงทางขึ้นค่ะ อาจบั่นทอนกำลังใจใครหลายๆคนได้มากทีเดียว 55555 มาถึงจุดนี้ ใครจะกลับก็ยังไม่สายนะคะ รถสีแดงยังมีบริการเรื่อยๆจนถึงประมาณหกโมงเย็นค่ะ
พอเห็นทางขึ้นก็เริ่มเตรียมใจได้เลยค่ะ เหนื่อยมากๆแน่นอน แต่การเดินขึ้นครั้งนี้ เราไม่ได้เดินคนเดียวนะ ต้องขอเล่าย้อนไปถึงตอนลงรถโดยสารตรงข้ามร้านเจ้กิม คือเราได้มีโอกาสรู้จักพี่คนนึงค่ะ มากับแฟนสองคน ซึ่งพี่เขาดูเหมือนจะแปลกใจว่าทำไมเราถึงมาคนเดียว 55555 จากนั้นมาเราก็มีเพื่อนร่วมเดินทางค่ะ ตั้งแต่ร้านเจ้กิม ขึ้นรถสองแถว จองที่พัก ซื้อบัตร จ้างลูกหาบ จนถึงตอนเดินขึ้นภู เอาเป็นว่าตอนนี้มีเพื่อนเเล้วค่ะ แต่เพราะว่าพี่เขามากับแฟนเนาะ บางทีเราก็มีความรู้สึกเกรงใจ แล้วก็อยากให้เขามีเวลาส่วนตัวบ้าง เราเลยทำชิล ถ่ายรูปวิวข้างทางไปเรื่อยๆ และรอให้พี่เขาเดินนำหน้าไปในระยะหนึ่งค่ะ ( ดูเป็นคนดีเนาะ 5555 )
ระหว่างที่ยังไม่เหนื่อย ก็ทำชิลถ่ายรูปไปเรื่อยๆค่ะ ก่อนที่จะเจอทางขึ้นที่โหดกว่านี้ T_T
ขนาดเดินตัวเปล่า ไม่มีสัมภาระติดตัวยังเหนื่อยขนาดนี้ พอเห็นลูกหาบเท่านั้นแหละค่ะ อยากจะตรงเข้าไปกราบ 5555 นี่คือซอร์ฟแล้วนะ บางคนแบกน้ำหลายลิตร ถังแก๊ส ฯลฯ ไม่เเปลกใจที่อาหารบนนั้นจะแพงกว่าปกติ
ถ้าถามว่า ตรงไหนเหนื่อยที่สุด เราคิดว่าทางขึ้นซำแฮกค่ะ เหนื่อยสุดๆๆละ แต่ระหว่างทางเราก็ได้เพื่อนอีกแล้วนะ 5555 มาคนเดียวไม่เหงาเสมอไปหรอกค่ะ มิตรภาพไม่ได้เริ่มจากสระบุรี แล้วสิ้นสุดที่หนองคาย แต่หาได้ง่ายที่ภูกระดึงค่ะ ( เนี่ยยยย :3 ) เพราะระหว่างทางที่เดินขึ้นภู เราจะเจอผู้คนที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน ถ้าอยากมีเพื่อนใหม่ก็ต้องเปิดใจค่ะ ยิ้ม ชวนคุยก็ได้ ดีกว่าเดินเงียบๆเหงา คนเดียวนะ ^_^
ระหว่างทางเดินขึ้นซำแฮก เราได้เจอกับพี่ที่น่ารักสองคนค่ะ คือพี่อร กับพี่เต้ย ( แต่งงานกันเเล้วนะ ) พี่สองคนมาเที่ยวด้วยกันค่ะ พอพี่อรรู้ว่าเรามาคนเดียวก็ดูเหมือนจะแปลกใจ 5555 พี่สองคนนี้คอยช่วยเหลือเราตลอดเลยค่ะ ระหว่างทางพี่อรก็ช่วยดึงมือเรา ตอนปีนขึ้นที่สูงๆ แบ่งทิชชู่ให้เรา คอยถามเราว่าอยู่ยังไง พกยาคลายกล้ามเนื้อมามั้ย เอายาดมน่อยมั้ย ไหวมั้ย สบายดีมั้ย จะไปทางไหน เดินมายังไง มากับใครหรือเปล่า ♫ ♬ ♪ (#ผิดๆ) ฯลฯ คือถ้าทริปนี้เราไม่เจอพี่ทั้งสอง ก็อาจจะไม่รอดกลับมาเขียนกระทู้อ่ะ 5555 หรือไม่ก็อาจจะไม่มีประสบการณ์ดีดีแบบนี้มาเขียนแชร์ค่ะ
เราเดินตามหลังพี่ๆคู่นี้ตลอดเส้นทางค่ะ ( กลายเป็นน้องเนียน ) แต่บางทีก็เว้นระยะห่างให้เขามีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง 5555 เวลาเจอวิวสวยๆก็เสนอตัวถ่ายรูปคู่ให้เขาเป็นการตอบแทนค่ะ ( ทำตัวเป็นคนดีอีกแล้ว :3 )
เราเดินมาไกลมากค่ะ ( เหนื่อยด้วย ) ก็เลยตัดสินใจพักเอาแรงก่อนเดินต่อ แล้วเราก็เดินมาเจอกันโดยมิได้นัดหมายค่ะ ( เพราะทางเดินขึ้นมีแค่ทางเดียว -_- )
พอเดินถึงแต่ละซำจะมีร้านค้าขายอาหารค่ะ ราคาจะแปรผันตรงกับความสูง T_T แต่เรทของราคาไม่ต่างกันมากค่ะ ประมาณ 60 บาท ระหว่างทางเรากินเฉาก๊วยไปสองแก้วค่ะ แก้วละ 20 - 25 บาท
ร้านขายเสื้อผ้าก็มีนะ เรารู้สึกว่าร้านนี้ราคาจะถูกกว่าข้างบนภู ( นิดหน่อย ) แต่ต้องขออภัยจริงๆค่ะ เพราะจำไม่ได้ว่าอยู่ซำไหน ขอให้คำว่าซำแวร์แล้วกันนะคะ T_T
ระหว่างเดินทางมาเรื่อยๆ จุดมุ่งหมายคือหลังแป เราขอข้ามรายละเอียดส่วนนี้นะคะ เพราะไม่สามารถเก็บรูปได้ครบทุกซำ ประกอบกับความเหนื่อยด้วย อีกอย่างถ้าลงรายละเอียดมากเดี๋ยวมาเองจะไม่ตื่นเต้นเนาะ หรือถ้าเห็นภาพแล้วอาจจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจหลายๆคนก็ได้ค่ะ 5555 เอาเป็นว่า ประสบการณ์ในส่วนนี้ถ้าอยากเห็นต้องลองมาสัมผัสเองนะคะ #ยิ้มอ่อน
เราเดินมาใกล้จะถึงหลังแปแล้วค่ะ ถ้าถึงข้างบนจะเป็นที่ราบ มีน้ำตกด้วย อย่าลืมพกข้าวเหนียวขึ้นไปทานด้วยนะคะ :3 ( ไม่งงนะ )
อีกนิดเดียวค่ะ ก่อนจะถึงหลังแปจะต้องขึ้นบันไดประมาณสองครั้ง ยิ่งใกล้ถึงข้างบน เราจะยิ่งเจอคนที่เดินสวนลงมาค่ะ ทุกคนจะพูดประโยคเดียวกันเป็นแพทเทิร์นค่ะ
อีกนิดเดียวๆ
อีกนิดเดียวถึง ?
อีกนิดเดียวจะเป็นลมแล้วค่ะ -_-
แต่ถ้าเห็นบันไดแบบนี้ มันก็เลยต้องปีนค่ะ ... ปีนให้สูงขึ้นไป ... จะยากเย็นเท่าไร ♫ ♬ ♪ ฮึบ !! อีกนิดเดียวค่ะทุกคน!
___________________________________________________________________________________
@หลังแป
ในที่สุดก็ถึงซักทีค่ะ ป้ายนี้เป็นซิกเนเจอร์ของภูกระดึงเลยก็ว่าได้ แต่กว่าจะเข้าไปถ่ายรูปได้ ต้องรอคิวนานหน่อยนะ เพราะคนที่เดินมาถึงก่อนกำลังถ่ายกันอยู่ค่ะ ใครขี้เกียจรอก็ค่อยกลับมาถ่ายตอนขากลับ ไม่ก็ตอนเช้าๆที่คนยังเดินมาไม่ถึงข้างบนก็ได้นะ ป้ายไม่หายค่าา :3
เดินถึงหลังแปแล้ว ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณสามกิโลค่ะ กว่าจะถึงที่พัก แต่ทางไม่ลำบากเหมือนตอนขึ้นมาแล้ว เดินไปชิลๆ ชมวิวไปเรื่อย หรือถ้าใครขี้เกียจเดินก็สามารถเช่าจักรยานปั่นเข้าที่พักได้นะคะ ราคา 60 บาท สอบถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นได้เลยค่ะ
ทางเดินไปติดต่อที่พักค่ะ ไม่โหดเหมือนตอนเดินขึ้นมาแล้ว เย่ๆๆ แต่แดดแรงหน่อยนะคะ เพราะต้นไม้ตามทาง ( รู้สึกจะเป็นต้นสน ) เลยไม่สามารถบังแดดได้ดีเหมือนต้นไม้ตามทางที่เราเดินขึ้นมาค่ะ
ยังค่ะ เรายังไม่ไปไหน ยังทำตัวเป็น Insidious 3 วิญญาณยังตามติดพี่อรกับพี่เต้ยจนถึงที่พักเลยค่ะ 5555
เดินไปเรื่อยๆจะเจอต้นไม้ต้นนี้ค่ะ โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ต้นเดียว สำหรับเราเราคิดว่ามันทั้งสวยแล้วก็แปลกนะ ตอนนี้ทำได้แค่ถ่ายภาพเก็บไว้ก่อนเพราะยังไงเราต้องเดินกลับทางเดิมตอนจะลงจากภูค่ะ วันนั้นจะตรงกับวันที่ 15 พอดี ซึ่งหมายความว่าอีกหนึ่งวันหวยจะออก เราก็แอบหวังเล็กๆนะ ว่าการมาภูกระดึงครั้งนี้เราอาจจะได้โชคกลับไปบ้าง :3 ( ล้อเล่นค่ะ )
อ้าว !! ถึงละ 55555 สามกิโลสำหรับทางราบ เร็วมากค่ะ ( แล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคนนะ ) ยังเก็บใบเสร็จที่จ่ายค่าเต๊นท์ไว้ใช่มั้ย ? ถ้ายังอยู่ก็เข้าไปติดต่อที่พักและเช่าเครื่องนอนข้างในได้เลยค่ะ :3
บรรยากาศภายในค่ะ อย่างกับนิทรรศการอะไรซักอย่าง แต่แนะนำให้เดินอ่านดูนะคะ ข้อมูลบางอย่างมีประโยชน์มาก เผื่อเดินหลงทางเนาะ :3
แนะนำให้เช่าทั้งสามอย่างเลยนะคะสำหรับใครที่ไม่ได้เตรียมมาเอง แต่ใครมีกระเป๋าและสามารถนอนหนุนกระเป๋าได้ก็ไม่ต้องเช่าหมอนก็ได้ค่ะ สำหรับถุงนอน ถ้าเช่าแล้วไม่ต้องเช่าผ้าห่มอีกก็ได้นะ เพราะค่อนข้างอุ่นระดับนึงเลยล่ะค่ะ
* ที่นี่มีบริการให้ชาร์จไฟด้วยนะ โดยให้ชาร์จ 2 ชั่วโมง โทรศัพท์และกล้องถ่ายรูปคิดเครื่องละ 20 บาท ส่วนเพาว์เวอร์แบงค์แพงขึ้นมานิดนึง คือ 40 บาทค่ะ
พอชำระเงินเสร็จ เจ้าหน้าที่จะเย็บใบเสร็จของเต๊นท์และเครื่องนอนติดกัน และต้องนำใบเสร็จไปติดต่อเจ้าหน้าที่อีกจุดหนึ่ง เพื่อรับอุปกรณ์และเลือกเต๊นท์ที่ว่างได้ตามใจชอบเลยค่ะ ตอนที่นำเอกสารใบเสร็จไปยื่น เขาจะขอบัตรประชาชนเราไว้เป็นหลักฐานและให้เราเก็บใบเสร็จไว้กับตัวนะคะ เพราะฉะนั้น เก็บรักษาไว้ดีดี อย่าทำหาย เวลากลับจะได้นำอุปกรณ์มาคืน และยื่นใบเสร็จแลกกับบัตรประชาชนของเราคืนค่ะ :3
พอรับถุงนอน หมอน ผ้ารองนอนเสร็จ ก็เลือกเต๊นท์ได้เลยค่ะ เต๊นท์ที่ว่างจะเปิดไว้ค่ะ เราเลือกเต๊นท์ที่อยู่ใกล้ทั้งร้านค้าแล้วก็ห้องน้ำ รู้สึกว่าจะเป็นโซนเอ เต๊นท์ของเราอยู่ตรงกลางระหว่างพี่สองคน ( ที่เราตามเขามาตั้งแต่ผานกเค้า ) และคู่พี่เต้ยพี่อรค่ะ ( ยังตามติดเขาอยู่ -_- )
ส่วนสัมภาระของเราจะตามขึ้นมาถึงที่พักประมาณบ่ายสามกว่าๆค่ะ เราต้องไปรับที่ศาลาใกล้ๆที่เราติดต่อที่พัก และใช้หางตั๋วที่เราเก็บไว้ชำระราคาค่ะ ถ้าใครไม่ไปติดต่อรับ หรือยังไม่ทราบว่าสัมภาระตัวเองมาถึง ทางอุทยานจะประกาศให้มาติดต่อรับสัมภาระค่ะ
ในระหว่างนี้ก็พักผ่อนค่ะ แต่วันแรกที่ไปถึง อากาศร้อนมากๆๆ แต่ด้วยความเหนื่อยค่ะ เลยสลบคาเต๊นท์ T_T จะได้มีแรงเดินไปดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็นที่ผาหมากดูกค่ะ
ทางเดินระหว่างทางไปผาหมากดูกค่ะ ต้องพกไฟฉายไปด้วยนะ เพราะตอนเดินกลับมาจะมืดมากค่ะ แทบมองไม่เห็นทางเลย
ระหว่างรอชมพระอาทิตย์ตกค่ะ บริเวณใกล้หน้าผาจะมีสัญญาณของดีแทค ( เราใช้ดีแทค ) แต่บริเวณที่พักไม่มีสัญญาณค่ะ แต่บนนั้นสัญญาณของ AIS และ True ถึงนะ ทีมดีแทคถ้าอยากเล่นเน็ตต้องเดินมาเล่นใกล้ๆผาค่ะ ระวังตกนะคะ
กลับมาถึงที่พัก ก็หาไรใส่ท้องค่ะ แต่เป็นคนไม่ค่อยทานอะไรหนักตอนเย็น ถ้าเป็นอาหารที่นี่ราคาก็อยู่ประมาณ 60 บาท ปาท่องโก๋ 6 ตัว 20 บาท น้ำเต้าหู้แก้วละ 25 บาทค่ะ หาอะไรอุ่นๆทาน เพราะอากาศตอนกลางคืนหนาวมากกกก
* ร้านค้าให้ชาร์จแบตได้ฟรีค่ะ แต่เราต้องสั่งอาหารจากทางร้าน และต้องนั่งเฝ้าทรัพย์สินของเราเองค่ะ
ก่อนเดินกลับเต๊นท์ แวะเล่นกับกวางค่ะ เหมือนจะเชื่องมาก ไม่กลัวนักท่องเที่ยวเลย ( เก่งมากเจ้ากวาง ) โดยเฉพาะกวางตัวนี้ นางดูเซเลปมาก นักท่องเที่ยวรอถ่ายรูปด้วยหลายกลุ่ม ถ้านางคิดค่าถ่ายรูปครั้งละ 20 ป่านนี้คงเก็บเงินไถ่ตัวเองออกจากการเป็นกวางได้แล้วค่ะ