ชีวิตสโลวไลฟ์กับการเดินทางไร้แบบแผน

ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่า นี่เป็นรีวิวแรกและนั่งรถไฟครั้งแรก

สวัสดีครับการเดินทางครั้งนี้เกิดจากแรงบันดาลใจที่ดูรายการเมืองเรืองแสงเมื่อปี 54 ที่เขาไปถ่ายทำที่โพธาราม จ.ราชบุรี และเห็นรีวิวจากในนี้ของน้องผู้หญิงสองคนที่พึ่งไปมาไม่นานนี้

เดินทางครั้งนี้เริ่มจากการที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไร มีแค่กล้อง 1 ตัว และเสื้อสำรองไว้ในกระเป๋ากล้องอีกหนึ่งตัว เนื่องจากตอนแรกตั้งใจว่าจะไปแค่คืนเดียว ไปถ่ายรูปเล่นเฉยๆ เลยไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก เมื่อใจพร้อมก็ออกเดินทางคือไม่ได้วางแผนจริงๆ ไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากไหน เวลารถแต่ละขบวนจะมาเมื่อไหร่ ก็นั่งรถเมล์จากรังสิต คิดว่า ไปลงสถานีรถไฟดอนเมืองไปถึงราชบุรีเลย แต่พอไปที่จ่ายตั๋ว พนักงานบอกว่าต้องไปบางซื่อ รอรถไฟมาก็ไปลงบางซื่อ

หลังจากลงป้ายบางซื่อก็ดันมีบางซื่อสองสถานีอีก เราไปลงป้ายแรก พอไปที่ช่องจ่ายตั๋ว พนักงานก็บอกว่าต้องไปสถานีบางซื่อสอง ซึ่งต้องเดินย้อนมาหน่อย เลยแวะหาอะไรลองท้องก่อนไปซื้อตั๋ว ก๋วยจับอยู่ระหว่างบางซื่อ1-2 อร่อยมาก 35 บาท

พอได้ตั๋วแล้ว ก็รอเวลา แต่ตอนนั้นเวลาประมาณ 11 น. กว่าๆ เราก็ไปหากาแฟกินที่สถานีระหว่างรอรถไฟมา พอรถไฟมาก็เดินทาง ซึ่งสโลวไลฟ์จริงๆ จอดทุกป้าย ก็โอเค เราไม่ได้คาดหวังเรื่องเวลาไว้อยู่แล้ว ขอตัดภาพไปที่ราชบุรีเลยแล้วกัน 

ถึงแล้ว โพะาราม ฝนก็ตก เดินตากฝนเลย รออะไร เดินทะลุหลังสถานีไปก็เป็นตลาดเก่า เดินลุยมันที้งฝนตกนี่แหละ เพื่อหาร้าน เต้าหู้ดำ เดินวนรอบตลาดไปรอบนึง ถึงจะเจอ

เจอแล้ว ร้านเต้าหู้ดำ ถามคนแถวนั้นรู้จักหมด จัดมา 1 ชิ้น 20 บาท ระหว่างกินไปก็ นั่งคุยกับเจ้เจ้าของร้านเพราะฝนยังตกอยู่ คนในรูปนั่นน่าจะเป็นแม่ ของเจ้ที่ขาย เพราะยายเขานั่งอยู่ในบ้าน ซักพักก็เดินทางต่อ เริ่มจากจุดนี้แล้วกันง่ายดี ต่อไปจะไปร้านดูนม(doนม) เดินตากฝนต่อ

ร้านดูนมจะอยู่ตรงข้ามกับร้านทำกรอบ แต่ไปถึงร้านปิด ถามคนแถวนั้นเขาจะบอกว่า ปิดวันพุธหรือพฤหัสนี่แหละ เราจำไม่ได้ เดินย้อนกลับมานิดนึง มีอีกร้าน ร้านกาลนาน แล้วกัน อยู่ใกล้ๆ ร้านแว่นท้อปเจริญ

ถึงแล้ว ฝนเริ่มซา เลยหยุดพักก่อนแล้วกัน ร้านเล็กๆ บรรยากาศดี ที่สำคัญเจ้าของร้านเป็นกันเองมาก ระหว่างนั่งกินกาแฟก็รอฝนหยุด ผู้คนก็แวะมาเรื่อยๆ เราก็เก็บภาพรอบๆมาได้นิดหน่อย

ผู้ชายในรูปคือพี่บอล พึ่งจะรู้จักจะกลับ ส่วนแฟนพี่เขาชื่อพี่แต้ว เราไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ตอนนี้ก็เย็นมากน่าจะ ห้าโมงกว่าๆ ถามพี่แต้วว่าแถวนี้มีที่ไหน เป็นแบบที่พักบ้าง พี่แต้วก็มีสองที่ โรงแรมแสนสุข(ประมาณม่านรูด) กับบ้านโพธิ์1 พี่แต้วแนะนำที่นี่ บรรยากาศดี พี่แต้วจัดการติดต่อเจ้าของให้เรียบร้อย แต่ๆๆ เจ้าของพาหมาไปโรงพยาบาล กว่าจะเสร็จธุระก็เกือบทุ่ม โอเครอซิครับ นั่งเล่นไปเรื่อย พี่แต้วบอกว่าตรงไปทางแยกมีร้านข้าวต้มปลาอร่อยมาก แต่พี่เขาแนะนำกระดูกหมู เพราะหมดไว แต่เรายังอิ่มอยู่ก็เลยเอาไว้ก่อน พอได้เวลาทุ่มนึง พี่บอลมีบริการขับไปส่งที่พักด้วย ใจดีจัง เดินไปก็ได้ ที่พักจะอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟไป500เมตร แต่เราไม่ชึนทาง ก็เลยไม่ปฏิเสธ

 

 

พอถึงที่พัก มันมืดแล้วก็เปิดห้องนอน ห้องที่เรานอน ห้องอนุบาล 3 ราคา 600 บาท มันก็โอเคเพราะอยู่คนเดียว พรุ่งนี้ค่อยถ่ายรูปให้ดูว่ามีแบบไหนบ้าง เข้าที่พักอาบน้ำ มีจักรยานให้ปั่นไม่ต้องเช่า เราก็ปั่นออกมาตลาดกะว่าจะมากินข้าวต้ม สองทุ่มกว่างเอง หมดล่ะ เลยไปกินบะหมี่ แล้วก็ซื้อของจิปาถะก่อนเข้าห้อง อ่อ มี่ร้านเหล้าเล็กๆด้วยนะ บรรยากาศน่านั่งดี ระหว่างทางมาตลาด 


บรรยากาศตอนเช้า อากาศดีมาก ตอนเราไปพักไม่มีคนเลย เงียบดี น่าจะเป็นเพราะเป็นวันธรรมดาด้วย ตอนเช้ามีปาท่องโก๋กับกาแฟเตรียมไว้ให้ แต่เราไม่ได้กินหรอก ไปดูข้างบนกันต่อเลยบรรยากาศชั้นบน พี่ที่ดูแลเขาไม่ได้ปประจำที่นี่ เขาบอกบอกถ้าจะให้เปิดเพื่อถ่ายรูปโทรเรียกนะ แต่เราเกรงใจพี่เขาเมื่อวานก่อนจะดูห้องข้างล่าง เขาเปิดให้เราดูและข้างบนมีแบบ เตียงคู่กับเตียงเดียว ห้องกว้างมาก สวยดี แต่มันใหญ่เกินไปสำหรับเรา ห้องข้างบน ราคา พันนึงทั้งสองแบบ

 

เสร็จแล้วได้เวลาตลอน เอาจักรยานข้างล่างออกไปปั่นดูรอบๆเมือง ไปตั้งต้นที่ร้านกาลนานก่อน ประมาณ 9 โมง วันนี้ฝนไม่ตก มีแดด 

ระหว่างนั้น ก็ถามพี่บอลว่ามีที่ไหนน่าไปบ้าง ก็คุยกันซักพักนึงพี่เขาก็หยิบแผนที่มาให้ พี่เขาบอกส่วนมากที่นี่ก็จะเป็นวัด แต่มีรถจะดี เพราะสะดวกในการเดินทางซึ่งมันก็จริง เราก็เริ่มปั่นไปเรื่อยๆ กะแค่กลับก่อนเที่ยง เพราะจะเชคเอ้าท์กลับบ้าน อ่อ อีกอย่างหลายคนมาที่นี่ด้วยการเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตลาดเก่าร้อยปีอะไรประมาณนั้น ซึ่งพี่แต้วบอกว่าจริงๆมันไม่ใช่ ถ้ามาที่นี่ส่วนมากจะมาดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ถ่ายรูปกันมากกว่า

ร้านนี้เลย ร้านข้าวต้มที่บอก เปิด 5 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม คราวนีี้อดกิน วันมารอบสองและกัน ปั่นเลยไปก็ก็จะเป็นแม่น้ำแม่กลองล่ะ

ปั่นเลยไปอีกหน่อย จะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ ไปวัดได้อีก แต่ไปดูแล้วสะพานไม่ชันเท่าไหร่ แต่จักรยานแม่บ้านคงไม่ไหวแน่ ปั่นกลับดีกว่า แดดร้อนมาก

ร้านตัดผม ราคาเท่าที่กรุงเทพ แต่ที่หน้าแปลกคือ ช่างเป็นผู้หญิง ทั้งสองคน ผมยาวพอดี ตัดเลยแล้วกัน ฝีมือใช้ได้เลย 70 บาท

ว่าก่อนกลับที่พัก จะแวะร้านดูนม วันนี้ก็ปิด กลับห้องแล้วกัน ขากลับแวะร้านก๋วยเตี๋ยวเรือตรงข้ามสถานี อยู่หัวมุมเลยชามละ 20 บาท 3 ชาม 60 ปั่นเอาจักรยานไปคืนเตรียมตัวกลับ

ก่อนกลับ ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อย เผื่อมาคราวหลัง พักที่เดิม รถไฟออกเที่ยง จะทันไหม 

สรุปว่า ช้าไปไม่ถึง 10 นาที รถพึ่งออกไปจากสถานี สรุปว่าเดินไปนั่งเล่นที่ร้านพี่แต้วพี่บอลเหมือนเดิม นั่งเปื่อยเลยและ คิดอยู่ว่าจะกลับบ้านหรือไปไหนต่อดี คุยไปคุยมาสรุปว่าไปต่อประจวบ พี่แต้วติดต่อเพื่อนที่โน่นให้ชื่อพี่ชุ ถ้าไปถึงแล้วให้โทรหาเขา เขาจะมารับ โอเคจองตั๋ว บ่ายสาม สรุปว่ารถไฟมาจริง 4 โมงเย็น เพราะมีการซ่อมทาง ตามตั๋วถึงประจวบ ทุ่ม 20 เอ้ย ชิวๆบวกกับรถเหลด ไปชั่วโมงก็ไม่น่าจะเกิน 2 ทุ่มครึ่ง แต่ถึงประจวบจริงทำไมมันสามทุ่มกว่าวะ 555 ไม่ซีเรียสวิวสองข้างทาง ส่วนมากก็ทุ่งนา 

ตอนนี้เวลาเลิกเรียนพอดี คนเต็มขบวน ได้เห็นวิถีชีวิตผู้คนมากมาย ของกินก็มีเพียบ กว่าจะถึงประจวบก็มืด คนก็ทยอยๆลง 

คืนนั้น ไปถึงประจวบ ประมาณ สามทุ่มกว่าก็โทรหาพี่ชุ แกเป็นผู้หญิง ห้าวๆแมนๆ ทำร้านไอติมอยู่ แต่ทำตามออเดอร์เท่านั้น แกก็ขับมาเตอร์ไซค์พาไปหาที่พัก ได้ที่พักเป็นโรงแรมอุ่นตะวัน ราคา 450 แต่คุยๆไปได้ห้อง 380 ไม่มีตู้เย็นอย่างเดียว แต่ทุกอย่างเหมือนกับโรงแรมห้าดาว พี่ชุแกก็ถามว่าจะไปเที่ยวไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้แกมารับ เหอะๆ จุดพีคมันอยู่ตรงนี้ ผมบอกแล้วแต่พี่ครับ เราก็เอาของไปเก็บ แล้วลงมาหาข้าวกิน เดินออกจาก โรงแรมประมาณ 800 ม. ก็เจอร้านก๋วยเตี๋ยวแต่เราสั่งเกาเกลาข้าวเปล่า ตอนแรกว่าจะไปถนนคนเดิน พอดี 4ทุ่มกว่า มันเก็บหมดล่ะ ก็เลยกลับห้อง 

ตอนเช้าตีห้ากว่าๆออกมารอพี่ชุ หกมามาแล้วครับ เนื่องจากชุดเดิมล่ะ ไม่ได้เตรียมมาก็ไปทั้งแบบนั้น เสื้อยืดขาสั้น เท้าแตะ พี่แกพาไปตลาดก่อน 

เช้ามาก พี่ชุบอกให้รออยู่นี่แปป ผมก็ได้โอกาสใส่บาตรตอนเช้าเลยแล้วกันในรอบหลายปี เพราะจะมีร้านขายกับข้าวไว้ใส่บาตรเป็นชุดๆ จังหวะนั้นมียายใส่อยู่ผมก็ต่อคิว รอซักพักพี่ชุกับมาก็พร้อมข้าวเหนียวหมูปิ้งและถุงมือ อันนี้เริ่มสงสัยว่าถุงมือเอามาทำไม ถึงบางอ้อตรงที่พี่เขาก็บอกว่าจะพาไปปีนเขา เขาล้อมหมวก ในค่ายทหาร ซึ่งอยู่ไม่ไกล พี่ชุใจดีขับมอเตอร์ไซค์พาไปในค่ายทหารตอนพระอาทิตย์ขึ้นสวยมาก ข้างล่างก่อนขึ้นไป จะมีศาลอยู่ เราก็ไหว้แล้วค่อยเดินขึ้นไป พี่ชุบอกถ้าลงมาแล้วให้โทรหา จะมารับ

ถึงจุดนี้กำจัดภาระซะ นั่นคือข้าวเหนียวหมูปิ้งและน้ำอีกขวด ความจริงคือเหนื่อย ไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อปีนเขาเลย เซอร์ไพรส์จริงๆ 

พอก่อน จุดที่ผมยืนเลยขึ้นจากบันไดต่อด้วยการปีนเขา แต่ด้วยหินที่คมและชันมาก ซึ่งเราไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อสิ่งนี้มันเลยค่อนข้างลำบากกับรองเท้าแตะ ยังไงก็ต้องเซฟตัวเองก่อน ไว้จะกลับไปรอบสองแน่นอน แอบเสียดายเห็นใครหลายคนที่ขึ้นถึงยอดโพสรูปกัน ความสวยมันคุ้มค่ามาก

หลังจากนั้นก็ลงมา โทรหาพี่ชุ พี่ชุมารับแล้วไปส่งที่แค่ตลาดซึ่งนั่นก็เพียงพอสำหรับการดูแลเทคแคร์ใครคนหนึ่งที่ไม่รู้จัก ขอบคุณจริงๆครับ แกทิ้งท้ายว่าจะให้พี่ไปส่งที่สถานีรถไฟก็ได้นะ แต่เราปฏิเสธด้วยความเกรงใจ เลยขอเดินเล่นที่ทะเลอีกซักพักก่อนเข้าโรงแรมเสร็จแล้วก็เดินเข้าตลาด หาเสื้อกับกางเกงใหม่ซักชุด มันไม่ไหวจริงๆ แล้วกับเข้าที่พัก อาบน้ำเก็บของ เช้คเอ้าท์ ดูจากสภาพแล้วถ้านั่งรถไฟกลับคงไม่ไหว เลยตัดสินใจถามพนักงานโรงแรมว่าวินรถตู้อยู่ตรงไหน ออกจากโรงแรมเจอวินมอเตอร์ไซค์ แต่ไม่เหมือนบ้านเราตรงที่เขาเป็นมอเตอร์ไซค์ที่พ่วงข้าง พี่เขาก็ไปส่งที่วินรถตู้ 20 บาท แล้วเราก็ตีตั๋วจากที่นั่นนั่งกลับกรุงเทพ

ปล. การเดินทางที่ไม่ได้วางแผนมันก็สนุกดี คือลุ้นเอาว่าจะเจอกับอะไร แต่ถ้าเป็นผู้หญิงแนะนำหาเพื่อนเดินทางไปด้วยจะดีกว่า เพราะบนรถไฟมันคงไม่ค่อยปลอดภัย ขอบคุณพี่แต้ว พี่บอล พี่ชุ ที่ช่วยเหลือทุกอย่าง แม้ว่าพึ่งเจอกันครั้งแรก คนโพธารามน่ารักมาก ต้องไปให้ได้ครั้งที่สองทั้งสองที่เลย ขอเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อน

ขอบคุณที่อ่านรีวิวแรกนี้จนจบ ยาวไปนิดนึง  ไว้จะเขียนมาให้อ่านกันใหม่นะ