ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
คิดถึง..เขา เรา..ต้องไปหา>>ที่นี่...ลพบุรี ^-^ อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี
    • โพสต์-1
    Taya@ •  กันยายน 11 , 2559

    คิดถึง...เขา>>> แต่มาหา...ลิง ^^

    นั่งดูรูปเก่าๆ คิดถึง...เขา>>>สอยดาว>>>เชียงดาว>>>เสมอดาว>>>และอื่นๆ อีกหลายเขาที่เคยไป อดใจรอทริปใหญ่ประจำปีกับเดอแก๊งฯ ต้องฟิตซ้อมร่างกายให้พร้อมแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ออกกำลังกายสักที ลูกอีช่างเดี๋ยวแทรกอยู่ในอารมณ์ทุกคราที่เดินผ่านฟิตเนสใกล้บ้าน แต่ขณะนี้อารมณ์คิดถึงและความอยากไปเที่ยวมันช่างรุนแรงสำแดงอาการเหมือนไมเกรนกำเริบ คงต้องหาแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ไกลให้มันไปให้หายอยาก.... ถือเป็นการออกกำลังกายเล็กๆ ก่อนออกทริปใหญ่จริงๆ นี้คือข้ออ้างและความจำเป็นของคนอยากเที่ยว 555

    และแล้วมีเหตุให้ต้องไปอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ทริปนี้ต้องไปคนเดียว ทีแรกจะไปเช้ากลับเย็นเพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพระยะทางประมาณ 180 กิโลเมตร แต่...เมื่อต้องไปและลพบุรียังอยู่ในรายการของจังหวัดที่ยังไม่เคยไปอีก งานนี้คงปล่อยโอกาสไปเสียดื้อๆ ไม่ได้แล้ว จองที่พักในอำเภอโคกสำโรงจากการค้นหาในกูเกิ้ลสะดุดตากับภูผารีสอร์ท อืม!!!! สวยดี แต่ไม่รู้ในความเป็นจริงจะสวยเหมือนในรูปหรือเปล่าคงต้องไปพิสูจน์ รีบจัดแจงวางแผนเฉพาะกิจค้นหาข้อมูลในการเดินทางและวางแผนการท่องเที่ยว

    แต่ใจหนึ่งยังกลัวๆ ฉันต้องไปคนเดียวจริงๆ หรือนี้ เลยต้องหาเหยื่อร่วมเดินทาง แต่สุดท้ายบรรดาเพื่อนๆ ต่างมีภารกิจกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ต้องกลับบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับจนพ่อกับแม่เกือบลืมหน้าแล้ว หมอนัดทำหมันลูก(แมวเหมียว) ทำขนมส่งลูกค้าที่มีออเดอร์เข้าเพียบ นัดช่างมาซ่อมบ้าน ต้องเร่งทำงานเพื่อจะได้หยุดเที่ยวช่วงปลายปี ไม่มีตังค์ และอีกหลากหลายเหตุผล 555 

    เข้าใจ!!!! มิเป็นไรจร้าแต่จำไว้^_^ จนแล้วจนรอดต้องขู่บังคับน้องให้ไปด้วยจะเต็มใจหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแต่ต้องไป 555

    เราออกจากกรุงเทพประมาณ 8 โมงเช้านิดๆ ตามแผนการท่องเที่ยวที่จะแวะเข้าเมืองลพบุรีเพื่อไปเยี่ยมเยืยนน้องจ๋อที่เป็นมาสคอตของจังหวัดก่อนไปอำเภอโคกสำโรง ระหว่างทางเพลิดเพลินกับบรรยากาศและความสวยงามของภูเขาหินปูนในเขตจังหวัดสระบุรี ที่มีความสวยงามแปลกตาจนท้องลืมหิว ^^

    ขับรถมาไม่นานก็เข้าเขตจังหวัดลพบุรี เส้นทางไปไม่ยากเพราะเลือกมาเส้นทางหลักคือทางหลวงหมายเลข 1 อาจเป็นเพราะออกเดินทางในตอนเช้ารถบรรทุกและรถอื่นๆ ยังมีไม่มากทั้งยังเป็นถนน 4 เลนทำให้ขับรถสบายจึงมีเวลาแวะเก็บภาพระหว่างทางเป็นจุดตามระยะ 

    ท้องเริ่มคร่ำครวญส่งเสียงร้องเตือนน้ำย่อย มีการถกเถียงกันเล็กน้อยในรถว่าจะหาอะไรกินใน แม็คโคร โลตัส หรือบิ๊กซี เพราะตั้งอยู่เรียงรายสองข้างทาง แต่ไหนๆ มาต่างถิ่นแล้วขอกินอาหารของท้องถิ่นดีกว่า 

    อากู๋ กูเกิ้ลเป็นที่พึ่งตลอดเวลา ค้นหาจนพบว่าก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารยอดฮิตและขึ้นชื่อหลายร้าน เลือกมาสัก 1 ร้านเอาที่เดินทางสะดวกหละกัน 

    เราเลือกร้านบ้านก๋วยเตี๋ยวปลาสดเพราะอยู่ไม่ไกล ตั้งอยู่ถนนนเรศวร 20 เข้าไปในซอยเพียง 200 เมตร มีที่จอดรถกว้างขวาง เมนูที่อยากแนะนำคือก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ยำลูกชิ้นปลาและแมงกะพรุน ไปลองชิมกันดูว่าอร่อยขนาดไหนแต่ขึ้นอยู่กับลิ้นและความชอบส่วนตัวของแต่ละบุคคลนะ อิอิ ส่วนเราชอบแบบไม่ต้องปรุง เพราะเป็นคนปรุงอะไรไม่อร่อย กินเป็นอย่างเดียว 5555

    นอกจากก๋วยเตี๋ยวแล้ว ยังมีส้มตำด้วย พี่ที่มารับออเดอร์บอก"อร่อยนะ" แต่ขอไว้ก่อนค่ะเพราะต้องเดินทางต่ออีกถ้าท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาหละยุ่งเลยเอาไว้โอกาสหน้านะ จะกลับมาลองกิน^^

    ร้านขึ้นชื่อขนาดไหนต้องสังเกตว่ามีสินค้าพื้นเมืองหรือสินค้า OTOP มาตั้งขาย หลังจากท้องอิ่มเราเริ่มเดินทางกันต่อ สัญญาใจไว้กะน้องจ๋อว่าจะไปเยี่ยมก็ต้องไป... 

    ตั้งเข็มทิศเดินทางเข้าตัวเมืองลพบุรี จากร้านบ้านก๋วยเตี๋ยวปลาสดไปไม่ไกลประมาณ 6 กิโล เดินทางไปง่ายออกจากร้านตามถนนนเรศวร ตรงตลอดผ่านแยกไฟแดงและเลี้ยวซ้ายไฟแดงที่ 2 ตรงไปอีกนิดเลี้ยวซ้ายทางออกที่ 3 ตรงวงเวียนสระแก้วหรือชื่ออย่างเป็นทางการว่าวงเวียนศรีสุริโยทัย

    วนไปจนเกือบครบรอบ เลี้ยวซ้ายทางออกที่ 3 ตรงไปไม่ไกลจะเจอจุดแลนด์มาร์คของลพบุรี คือศาลพระกาฬ พระปรางค์สามยอดและสถานีรถไฟ อยู่ไม่ไกลกันแต่อยู่กันคนละมุมแยก หากใครเอารถมาจะมีที่จอดรถสะดวกเพราะมีลานจอดรถอยู่ฝั่งตรงข้ามใกล้ศาลพระกาฬ

    ระหว่างเพลินอยู่กับการถ่ายรูป สะดุดตากับร้านขายกระจาดสานหาบ พี่ที่เป็นแม่ค้าส่งเสียงทักทายเมื่อเดินเข้าไปไกล้ที่ร้านเพราะเห็นเรากำลังสาละวนอยู่กับการถ่ายรูปจึงบอกให้เข้ามาถ่ายรูปกระจาดนี้ได้ แล้วเอาไปลงในเฟสให้พี่ด้วยนะ ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ไปในตัว 5555 เลยจัดไปหลายท่าคร้า  

    สอบถามราคาถ้าจำไม่ผิดอยู่ที่คู่ละ 200 บาท แต่ถ้าไม่ใช่ราคานี้ต้องขออภัยด้วยค่ะ อิอิ พอดีความจำสั้น...

    ใกล้กับลานจอดรถสะดุดตากับปะติมากรรมโบราณสถานที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสถานีรถไฟ ด้านตะวันออกใกล้กับศาลพระกาฬ

    มีชื่อว่า"วัดนครโกษา" เป็นประติมากรรมในสมัยทวารวดี ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญเมื่อปี 2479

    ถัดไปคือศาลพระกาฬ เพื่อสักการะเจ้าพ่อพระกาฬสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองลพบุรี ในระหว่างถ่ายรูปมุมโน้นมุมนี้บวกกับนั่งพักหลบอากาศร้อน งานวิจัยก็มาเพราะความอยากรู้จึงเข้าไปสอบถามผู้คนที่มาบนบานว่าที่นี่นิยมบนเรื่องอะไรกัน จนได้ความว่าบนได้ทุกเรื่องแต่ที่ร่ำลือคือ "การขอลูก" ข้อนี้ไม่ขอพิสูจน์ค่ะเพราะชาตินี้คงไม่มีแน่ๆ 555 แต่ใครจะมาพิสูจน์เชิญนะค่ะ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เดี๊ยวจะหาว่าไม่เตือน 

    เจ้าพ่อพระกาฬเป็นเทวรูปรุ่นเก่า เดิมเจ้าพ่อพระกาฬมีพระกายสีดำแต่ปัจจุบันเจ้าพ่อพระกาฬไม่เหลือเค้าเดิมที่เป็นพระกายสีดำเพราะถูกปิดทองเหลืองอร่ามไปทั้งหมด

    ผู้คนยิ่งหนาตามากขึ้นโดยไม่หวั่นอากาศที่ร้อนระอุ ขนาดกรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่าช่วงนี้จะเจอฝนตกหนักเป็นหย่อมๆ แล้ว แต่ไหงที่ตรงนี้ถึงไม่ยักจะเห็นเค้าฝนเลย สงสัยคงเป็นหย่อมที่ฝนไม่ตก เอ้อ!!!! ร้อนกันได้อีกนะค่ะ ออกมาเดินเล่นรอบๆ ศาลก็ได้เจอกับเจ้าถิ่น ลิงศาลพระกาฬ หรือ ลิงเจ้าพ่อพระกาฬ เป็นลิงแสมหน้าตาน่ารักไม่ได้ดุร้ายอย่างที่คิด จึงขอเก็บภาพความน่ารักซะหน่อย ส่วนตัวนี้คงจะซนมาก เลยโดนขังเดี่ยวซะเลย 555 น่าฉงฉาน

    พอได้คลายร้อนไปกับเจ้าจ๋อที่น่ารักเลยเดินต่อไปที่พระปรางค์สามยอดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถือเป็นโบราณคดีที่สำคัญแห่งหนึ่งของลพบุรี น้องๆที่ขายอาหารลิงวิ่งมาต้อนรับทันที บอกพี่ช่วยเจ้าลิงโดยการซื้ออาหารและน้ำให้เขาหน่อย แล้วฝากผมเอาไปให้ได้ถ้าพี่กลัวลิงกัด แต่ขอโทษค่ะน้องพี่เกรงว่าน้องจ๋อของน้องอาจกลัวพี่ที่พกกะปิน้ำปลาหวานมาด้วยมากกว่า 555 เตรียมความพร้อมคร้าเสียดายอย่างเดียวขาดมะม่วง 555 ไม่ได้หยิบตุ๊กตาจระเข้น้อยกะหนังสติ๊กมาด้วย ไม่งั้นเจ้าพ่อเจ้าจ๋อก็เข้ามาเถอะ อาวุธครบมือไม่กลัวอยู่แล้ว 555  

    ราคาของน้ำสารพัดสี 20 ถุงเล็กในถังพลาสติก 100 บาท พร้อมข้าวโพดหั่นเป็นแว่น 1 ถังพลาสติกเล็ก 100 บาท สงสารก็สงสารเจ้าจ๋อนะเพราะแต่ละตัวรูปร่างดีไม่อ้วนกันทั้งน้าน แต่ราคานี้แพงไปหน่อยไหม แต่ก็เอาเถอะถือว่าให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นการกระจายรายได้ เถลไถลจนเกือบลืมว่าต้องไปทำธุระก่อน เอาเป็นว่าทำธุระให้เสร็จเรื่องแล้วค่อยไปเที่ยวกันต่อดีกว่า ตอนนี้ถึงเวลาต้องแวะเข้าที่พักก่อนหละกัน
    • โพสต์-2
    Taya@ •  กันยายน 12 , 2559

    ภูผาสวรรค์...ณ โคกสำโรง

    เหน็ดเหนื่อยจากการตะล่อนทัวร์เยี่ยมเจ้าจ๋อประจำเมืองลพบุรี เสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับมอบหมายที่ทำให้ต้องเดินทางมาที่นี้ อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี

    อำเภอโคกสำโรงเป็นอำเภอที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอำเภอหนึ่งของจังหวัดลพบุรี คำขวัญประจำอำเภอคือ "เขาวงเสียดฟ้า น้อยหน่าเลิศรส ข้าวโพดพันธุ์ดี มากมีวัวควาย ดอกฝ้ายขาวโพลน เมืองคนรักสงบ" ได้ยินคำขวัญแล้วอยากตามรอยไปพิสูจน์แต่หนนี้มีเวลาแค่ 1 วันคงไม่ทันได้ติดตามทุกเรื่องขอตามติดในบางสถานที่แล้วกัน

    เราตั้งหลักกันก่อนจะลุยต่อที่ "ภูผารีสอร์ท" ตั้งอยู่ในตำบลเพนียด มาไม่ยากขนาดคนหลงทางอย่างเรายังมาถูกแบบไม่หลง 555 จากตัวอำเภอโคกสำโรงประมาณ 20 กว่ากิโลเมตร เลยเขาวงพระจันทร์ประมาณ 10 กิโลเมตร หากมาจากตัวอำเภอโคกสำโรงอยู่ขวามือและเข้าซอยไปแค่ 300 เมตร 

    บรรยากาศภายในรีสอร์ทค่อนข้างเป็นส่วนตัว อาจเป็นเพราะไม่ใช่ช่วงหน้าไฮซีซั่นของที่นี่ นักท่องเที่ยวจึงไม่ได้มากมาย จึงได้อานิสงส์สูดอากาศบริสุทธิ์ไปเต็มปอด ^^

    เราจองที่พักเป็นบ้าน 1 หลังชื่อบ้านกระดังงาอยู่ติดกับสระว่ายน้ำ ราคาอยู่ที่ 700 บาทต่อคืนไม่รวมอาหารเช้า ส่วนทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น กระติกน้ำร้อน ชา กาแฟมีพร้อม

    บรรยากาศรีสอร์ทตอนกลางคืน สวยงามโดยการจัดแต่งแสงโคมไฟสีนวลที่มีอยู่รอบๆ รีสอร์ทและตัวบ้านพัก รวมถึงแสงสีของสระว่ายน้ำและบริเวณรอบๆ ที่จัดวางได้อย่างลงตัว บรรยากาศดีเหมาะกับนั่งทอดกายและอารมณ์ให้ลอยละล่อง หรือใครอยากจะนั่งดริ๊งค์ส่วนตัวบรรยากาศก็ยิ่งสนับสนุน ^^

    ที่นี่มีอาหารให้เลือกหลากหลายเมนู ราคาถือว่าพอรับได้กับการอยู่กลางป่ากลางดง แต่รสชาตินี้ยังไม่ได้ลอง 5555 พอดีมัวแต่หาของกินในตัวอำเภออิ่มแปล้แล้วพักร่างเอนกายในรีสอร์ทให้แดดร่มลมตกประมาณบ่าย 4 โมงเย็น เริ่มลุยกันอีกครั้ง ตัดสินใจไปเขาวงพระจันทร์ ต้องย้อนกลับไปทางอำเภอโคกสำโรง เลี้ยวซ้ายทางเข้าสู่วัดเขาวงพระจันทร์ มีป้ายบอกตลอดทาง แต่อย่าขับเพลินหละเพราะถนนและธรรมชาติข้างทางที่ยั่วอารมณ์อาจทำให้ขับเลยไปได้ 5555 ทางเข้าวัดเขาวงพระจันทร์  ระยะทางไม่ไกลจากปากทางเข้าวัดฯ ประมาณ 3 กิโลเมตรก็ถึงบริเวณวัดเขาวงพระจันทร์ ต้องเดินเข้าไปในวัดอีกประมาณเกือบ 1 กิโลเมตรก่อนจะถึงบันไดขั้นแรกที่นักท่องเที่ยวผู้กล้าทั้งหลายจะมาพิชิต 3,790 ขั้น
    ระหว่างทางเดินชมโน้นชมนี้ก็เริ่มได้ยินเสียงหอบของตัวเอง 555 เดินเข้าไปพูดคุยพ่อค้าแม่ค้าภายในบริเวณวัด มีส่งเสียงทักเพราะมันจะมึดแล้วเดินระวังๆ หน่อยนะ เพราะไม่ได้เปิดไฟ อ้าว !!! ซะงั้น เราเพิ่งมารู้ นักท่องเที่ยวผู้แสวงบุญนิยมมานมัสการรอยพระพุทธบาทในช่วงเดือนสามของทุกปีซึ่งจะติดช่วงตรุษจีน ในทุกวันทางวัดจะเปิดบริการให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาตลอด 24 ชั่วโมงแต่จะมีการเปิดไฟตามรายทางสว่างไสวบนภูเขาเฉพาะช่วงตรุษจีนและเดือนสามของทุกปี ข้อนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นเดือนไทยหรือเดือนสากลคงต้องติดตามข่าวอย่างกระชั้นชิดในช่วงเวลานั้น

    เอาไงหละ!!! ไหนๆ ก็มาแล้วลองดูมันสักตั้ง ถ้าค่ำมืดพระอาทิตย์ตกขอบฟ้าเมื่อไหร่ค่อยลงก็ได้ ดันไม่ได้เตรียมความพร้อมเอาไฟฉายมาเสียด้วย แถมบรรยากาศก็เริ่มเงียบสงบเย็นยะเยือกอีก ณ เวลานี้ขึ้นไปได้เท่าไรก็เท่านั้นหละกัน

    เส้นทางระหว่างเดินไปขึ้นบันไดขึ้นเขาอยู่ระหว่างซ่อมแซมพื้นถนนเป็นทางลาดยาว ยังไม่มีขั้นบันไดให้เริ่มนับหนึ่งนะจ๊ะต้องขึ้นไปอีก แค่นี้ก็เริ่มลิ้นห้อยแล้ว 555

    ถึงแล้วบันไดขั้นที่ 1 เหลืออีก 3,789 อึ๊บอึ๊บ สู้สู้ 

    ระหว่างทางไม่มีการพูดจาส่งเสียงกันเลย ไม่ได้โกรธกันนะแต่...ได้ยินแต่เสียงฟึดฟาด เอ้อ... อ้า... ลิ้นเริ่มมาจุกที่คอ ไม่มีอารมณ์พูดหรือหยอกเอินใดๆ ทั้งสิ้นเพียงแค่หันมาสบตากันระหว่างหยุดพักหายใจระหว่างขั้นบันได

    ในที่สุดก็มาถึง 500 ขั้นจนได้ สู้สู้

    มีที่แวะพักเพื่อหยุดชมวิวระหว่างทาง แต่อารมณ์ตอนนี้ขอไปให้ถึงสูงสุดก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าดีกว่า ไปต่อกัน>>>>

    ปะติมากรรมระหว่างเส้นทางเดินขึ้นเขา ไปที่ไหนก็มักเจอการซ้อนหินยอดฮิตกับการเดินศึกษาธรรมชาติกับสถานที่ที่แฝงด้วยความเชื่อ ตรงจุดนี้แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคลคร้า

    ต้นไม้ที่เห็นนี้คือต้นงิ้ว ดูไม่น่ากลัวเหมือนที่ใครหลายคนอาจเคยจินตนาการไปกับการได้ยินการเล่าขานบอกกล่าวถึงความแหลมคมของหนามที่สามารถทิ่มแทงทะลุตัวคนที่ตกนรกได้ 

    แต่ประโยชน์ของต้นงิ้วมีมากมาย ทั้งเนื้อไม้ที่สามารถนำมาทำดินสอ ไม้จิ้มฟัน เยื่อกระดาษ, เปลือกใช้ทำเป็นเชือก, น้ำมันจากเมล็ดใช้ปรุงอาหาร ทำสบู่ ดอกใช้แก้ไข้ ท้องร่วง แก้คัน แก้กระหายน้ำ และอีกมากมายบรรยายไม่หมด ใครสนใจต้องไปศึกษาเพิ่มเติมแล้วหละ

    ระหว่างที่หยุดแวะพักหายใจ หันไปมองด้านหลังสวยงามมากเห็นองค์พระใหญ่สีขาวที่กำลังหล่อยังไม่เสร็จพร้อมแสงพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า แสงสีทองเริ่มชัดเจนขึ้นบดบังแสงที่ขาวที่เล็ดลอดจากเงาของกิ่งไม้ หยุดพักเป็นระยะเพื่อถ่ายภาพแต่ต้องรีบไปต่อ หนทางข้างหน้าพร้อมวิวที่น่าจะสวยกว่านี้รอเราอยู่

    โอ้วววว!!! เราขึ้นมาถึงขั้นที่ 1,000 แล้วหรือนี้ หอบแฮ่กแฮ่ก.... ว่าแล้วก็ตีระฆังเอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย 5555 ตรงจุด 1,000 ขั้นบันไดมีศาลาหลวงพ่อเดิมตั้งอยู่ มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ตรงจุดนี้เพื่อให้เราแวะกราบไหว้ โอ้วววว วิวสวยงามมาก นี้คงเป็นจุดชมวิวอีกจุด

    ยังไง ยังไงก็ขอแวะสักการะและพักเหนื่อยก่อนละกัน แต่พอแหงนหน้าขึ้นไปดู โอ้ว! ระยะทางช่างยาวไกลเหลือเกิน 

    ขอแวะตรงจุดนี้ชมพระอาทิตย์และวิวที่อยู่ตรงหน้าก่อนดีกว่า เจอน้องที่เดินสวนลงมาแวะพูดคุยทักทายกันแป๊บนึงบอกว่าผมขึ้นไปตั้งแต่บ่ายสองเลยขอดูรูปวิวข้างบน อืมมมม สวยจัง!! น้องบอกถ้าได้เห็นของจริงสวยมากมายคับ แหม กระตุ้นกันเหลือเกิน แต่ ณ เวลานี้ตัดสินใจพักถ่ายรูปมันตรงนี้ก่อนดีกว่าเพราะแสงเริ่มจะหมดแล้ว และยิ่งเราผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคนอีกกลัวขึ้นไปแล้วเจอเงาพระจันทร์แล้วจะแปลงร่างกลับสภาพคืนสู่ป่าอีก 55555

    พระอาทิตย์กำลังคล้อยแสงลับหายไปในก้อนเฆมที่ก่อตัวก้อนใหญ่ เล่นอะไรดีหละกับแสงที่เหลืออยู่ ท่ายอดฮิต รูปหัวใจจากสองมือหละกัน อิอิ ถ้ามากับคู่รัก(ที่ยังไม่เจอ) ก็คงจะดี ^^

    เรานั่งเล่นจนเกือบ 1 ทุ่มจึงเริ่มเดินกลับ ระหว่างทางเจอลูกหาบสวนลงมา ท่าลงของลูกหาบดูน่าสนุกเพราะจะไถลไปกับราวบันไดที่มีกระสอบรองก้นเพื่อไม่ให้ก้นด้าน ถึงว่าทำไมราวบันไดที่เป็นเหล็กถึงได้ใสและสะท้อนแววมาก 5555 

    สอบถามและได้รู้ว่าข้างบนสามารถกางเต้นท์ได้เพราะมีศาลาและมีห้องน้ำ ส่วนไฟอย่างที่บอกจะเปิดช่วงเทศกาลของเดือนสามเท่านั้น การคิดค่าบริการของลูกหาบ คือ หากให้หาบเฉพาะสิ่งของจะมัดอยู่ในกระสอบเดียวไม่เกิน 40 กิโลกรัมคิด 300 บาท หากใครจะใช้บริการให้แบกคนขึ้นไปก็คิดขาละ 1,500 บาท เพราะต้องใช้ 4 คนหามขาไป-กลับ 3,000 บาท ส่วนเราต้องเตรียมตัวมาใหม่ ได้ปักหมุดไว้แล้วรอบหน้าคงต้องไปให้ถึงยอดเขาให้ได้>>>>

                                                   
    • โพสต์-3
    Taya@ •  กันยายน 12 , 2559

    เมืองเล็กๆ...แต่คนไม่เล็ก>>>

    หลังจากชื่นชมธรรมชาติที่สวยงาม ท้องเริ่มหิว ขากลับจากเขาวงพระจันทร์จึงแวะตลาดในตัวอำเภอโคกสำโรงก่อนกลับที่พัก ไปวนวงเวียนอยู่ 3 รอบเพื่อให้เข้ากับการกลับจากวัด 5555 เกี่ยวไรกัน แต่ความจริงคือกำลังหลงวนอยู่ตรงนั้นเพราะไม่รู้จะไปทิศไหน จึงขอแวะตรงจุดตลาดระหว่างเดินเล่นแวะซื้อทอดมันกับไก่ทอด หันไปถามลูกค้าที่ยืนคอยอยู่ข้างๆ ว่าร้านข้าวต้มอร่อยอยู่ที่ไหน ลูกค้าคนสวยก็ชี้ตรงมาร้านเจ้ติ๋มบอกร้านนี้คนกินเยอะอยู่นะ แต่ไม่รู้อร่อยป่าวเพราะไม่เคยกิน อ้าว !!! งานนี้ต้องลองสิค่ะ หิวมากมายบวกกับขี้เกียจเวียนวนหาร้านแล้ว 

    จึงมาลงท้ายที่ร้านเจ้ติ๋มอยู่ใกล้กับธนาคารกสิกรไทย และร้านทอดมันปลาก็เป็นร้านอร่อยอีกหนึ่งร้าน อร่อยทุกอย่าง ไม่ใช่เพราะเราเหนื่อยจากการลงจากเขาหรอกนะแต่มันรสชาติดีจริง ลูกค้าต้องยืนรอคิว เพราะของที่ขายทอดไม่ทันเกลี้ยงถาดและโปรดดูมือทอดของเราก็น่าเชื่อถือ ^^

    หลังจากถึงคิวร้านทอดมันปลาได้ของเรียบร้อยจึงมานั่งกินร้านเจ้ติ๋ม อีกแล้ว อร่อยทุกอย่าง ก่อนสั่งเจ้แนะนำกุยช่ายขาวผัดเต้าหู้ทอด ยำปลาสลิด ไก่คั่วเค็ม เราเลยขอแถมผักบุ้งไฟแดง แถมข้าวต้มอีก 3 ถ้วย อืมมมม ขอบอกผู้หญิงตัวเล็กๆ 2 คนกินกันจนหมด จนเจ้มาแซวเก่งจัง 5555 คงลืมถ่ายพยาธิมา 2 เดือนแล้ว ^^ นี่คือโฉมหน้าแม่ครัว และทีมงานของร้านเจ้ติ๋ม เห็นหุ่นแล้วคงมั่นใจได้ถึงความอร่อย 555 แถมราคาไม่แพง ทั้งหมด 300 กว่าบาทเอง ก่อนกลับจึงขอถ่ายรูปกับบรรดาทีมงาน ทุกคนน่ารักมาก ไหนยิ้มสิ....แชะ ^^ ประทับใจคนอำเภอนี้ ทุกคนล้วนเป็นมิตรคอยต้อนรับผู้มาเยือน สังเกตถึงการต้อนรับและการแนะนำเส้นทางหรือแหล่งท่องเที่ยว ไม่เฉพาะคนสองคนแต่เป็นทุกคนที่พูดคุยสอบถาม ใบหน้าเปื้อนยิ้มและสู้กล้องกันทุกคนไม่มีเขินอาย 5555 เมืองเล็กๆ แต่น้ำใจคนไม่เล็กเลย รู้สึกถึงความเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนกันจริงๆ แม้กระทั่งขอไปถ่ายรูปอาหารของโต๊ะข้างๆ ที่ดูน่ากินแต่ไม่ได้สั่ง 555 ก็ไม่โดนด่าด้วยสายตาแต่กลับส่งยิ้มและยื่นจานมาให้ถ่าย รู้สึกถึงมิตรภาพที่ไม่มีอะไรแอบแฝง และได้พบไมตรีที่ค่อนข้างหายากขึ้นในปัจจุบัน
    • โพสต์-4
    Taya@ •  กันยายน 12 , 2559

    กลับไปหาเขา....แล้วเราเจอกัน>>>

    ออกจากภูผารีสอร์ทประมาณ 8 โมงเช้า เพราะมีหลายสถานีที่ต้องแวะก่อนกลับกรุงเทพฯ พี่เจ้าของรีสอร์ทแนะนำให้ขึ้นไปไหว้พระบนเขาที่วัดเขาจรเข้ หูผึ่งเลยสิค่ะ แต่ใจยังกังวลเพราะเมื่อวานทำฝากล้องถ่ายรูปหาย รื้อค้นพลิกกระเป๋าทุกใบรวมทั้งควานหาในรถจนเริ่มท้อใจ แต่ก็จะย้อนกลับไปที่พำนักสงฆ์ที่แวะไปถ่ายรูปก่อนเข้าที่พัก

    วัดเขาจรเข้อยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ท ออกจากที่พักเลี้ยวขวาขึ้นทางหลวงหมายเลข 205 ประมาณ 3 กิโลเมตรก็ถึงจุดหมายอยู่ทางซ้ายมือ

    ถึงแล้ววัดเขาจรเข้ อิติปิโส แวะมา แวะมา... ภะคะวา มาแล้ว มาแล้ว อันนี้ขอเลียนแบบข้อความจากหลักกิโลและประโยคหลังขอต่อเองนิดนึงค่ะเห็นว่ามันสอดคล้องกัน อิอิ 

    สงสัยแวะมาเช้าเกินเลยรบกวนการนอนของเหล่าบรรดาน้องหมาทั้งหลายที่เห่าต้อนรับจนเกือบถอยหนี แต่แค่นี้ไม่กลัวอยู่แล้วเพราะพระที่อยู่บนเขารออยู่ เมื่อวานก็ไม่สามารถขึ้นไปไหว้รอยพระพุทธบาทแล้ว วันนี้ขอซ้อมขึ้นบันไดแค่ย่อมๆ ก่อนหละกัน

    ไม่นานน้องหมาก็เริ่มคุ้นเคย เสียงเห่าเงียบกลายเป็นนอนเฝ้านิ่งๆ เหมือนเดิม ^^

    เดินขึ้นไปไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แหะแหะ>>> เพราะซ้อมไว้แล้วเมื่อวานตอนขึ้นเขาวงพระจันทร์ เห็นวิวแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

    ออกจากวัดเขาจรเข้ ย้อนกลับทางตัวอำเภอโคกสำโรง แวะตลาดเช้าเพื่อเดินชมและซื้อของกินก่อนกลับแต่มาสายแล้วตลาดเริ่มวาย เลยได้ของติดไม้ติดมือไปนิดหน่อย 

    ติดใจร้านขายรวงผึ้งป่าสดๆ รังสวยมากสอบถามราคาไม่แพง รวงนี้น้ำหนักเกือบกิโลราคา 35 บาทเอง เลยซื้อไว้ แต่ถามว่ากินเป็นหรา 5555 ไม่เป็นหรอก แต่เป็นเพราะป้าแม่ค้าบอกอร่อย มันๆ หวานๆ งานนี้เลยต้องลอง ^^ ป้าบอกหากติดใจป้าเก็บมาขายทุกวันตามมาซื้อได้ที่นี่ เหอะเหอะ คงได้ตามมาซื้อทุกอาทิตย์ 555

    เถลไถลจนเกือบ 10 โมงเช้านึกขึ้นได้ต้องกลับไปย้อนรอยค้นหาฝากล้องถ่ายรูป คงต้องไปต่อแล้ว แต่ต้องเบรครถเอี๊ยด....เพราะเห็นป้ายและองค์พระใหญ่ระหว่างทาง "หลวงพ่อทันใจ" ขอแวะขอพรแป๊บบบบ

    บริเวณรอบๆ สวยงามแม้จะเป็นวัดเล็กๆ ผู้คนยังไม่มีมาขอพร โชคดีของเราที่มีเวลาถ่ายภาพมุมนู้นมุมนี้ตามใจอยากจนสมใจ สักพักใหญ่จึงมีผู้คนทยอยแวะจอดรถเข้ามากราบไหว้ขอพร ใครอยากมาพิสูจน์ว่าจะได้ผลทันใจหรือไม่คงต้องตามมาลองแล้วหละ

    ท้องเริ่มหิวคราวนี้พึ่งอากู๋ อยากกินผัดไทจึงต้องแวะระหว่างทางขากลับอยู่ทางขวามือเลยทางเข้าวัดเขาวงพระจันทร์ติดถนน ร้านค่อนข้างขึ้นชื่ออีกแล้ว คงต้องลองอีกครั้ง 555

    ที่ร้านนอกจากผัดไทแล้วยังมีก๋วยเตี๋ยวและอาหารตามสั่งเป็นทางเลือกอีกด้วย

    เมื่อท้องอิ่มไม่ลืมที่จะไป "พำนักสงฆ์บวรบรรพต" ที่เราแวะก่อนเข้าที่พักเมื่อวานแต่ด้วยความรีบที่จะไปเขาวงพระจันทร์ทำให้ตัดสินใจไม่ขึ้นไปสักการะพระที่อยู่บนเขาแต่ถ่ายรูปเก็บภาพไปอย่างเร่งรีบ ด้วยความกลัวเพราะใกล้เย็นย่ำค่ำแล้ว วันนี้จึงต้องการย้อนรอยกลับมาหาฝากล้องถ่ายรูป ย้อนตามเส้นทางที่จอดแวะถ่ายรูปแต่หาไม่เจอจนนึกถอดใจ

    เห็นพระพุทธรูปที่นั่งอยู่บนเขาตั้งตระหง่านตรงหน้า เมื่อวานยังไม่ได้ขึ้นไปไหว้ วันนี้ต้องเดินทางกลับจึงอยากขึ้นไปสักการะกราบขอพรสักครั้ง

    ขึ้นมาตามทางขึ้นเขา หากใครไม่คุ้นเคยเข้ามาอาจคิดว่าเป็นพำนักสงฆ์รกร้าง 

    ใจยังกล้าๆ กลัวๆ เพราะบริเวณพำนักสงฆ์เงียบมาก รีบเดินก้าวตามขั้นบันไดแต่ยังมีข้อสงสัยว่าทำไมถึงได้ปล่อยให้ทางขึ้นดูรกร้าง ทั้งๆ ที่มีพระพุทธรูปที่งดงามรวมทั้งวิวและบรรยากาศที่สวยงามไม่แพ้ที่ใดๆ 

    เริ่มค้นหาข้อมูลเพราะสงสัยว่าทำไมพระพุทธรูปที่งดงามจึงได้มาสร้าง ณ ที่นี้ จนได้ความทราบแค่ชื่อและวันที่ก่อสร้างว่าคือหลวงพ่อสัมฤทธิ์ประทานพรกาญจนภิเษก สร้างเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครองราชย์ครบ 50 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2539 มีขั้นบันได 220 ขั้น แต่ก็ยังไม่มีคำตอบเรื่องการปล่อยทิ้งรกร้าง ใครทราบข้อเท็จจริงบอกหน่อยนะค่ะ 

    สบายใจไประดับหนึ่ง เวลาขณะนั้นเกือบเที่ยงวัน คงต้องเดินทางกลับจริงๆ เสียแล้ว แต่ใจยังมิวายกังวลค้นหาฝากล้องที่หายไป สอดส่ายสายตาตามขั้นบันไดจนถึงที่รถจอด ในใจนึกย้อนมองตัวรถว่าเมื่อวานจอดอย่างไร และแล้วเหมือนปาฏิหาริย์ (โอ๊ย!!! ขนลุก) สะดุดตากับวัตถุสีดำหน้ารถ

    นั้นไง !!!! ฝากล้องถ่ายรูปจริง ๆ ด้วย

    มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เมื่อวานค้นหาตั้งนานและอีกอย่างจำได้ว่าไม่ได้เอาฝากล้องถือลงจากรถ โอ๊ยยย+++ดีใจค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าฝากล้องที่ตามหาจะมาอยู่หน้ารถแบบนี้ได้ ดีนะที่ไม่เหยียบ เหอะ เหอะ อย่างนี้ไม่เรียกปาฏิหาริย์หรือมหัศจรรย์แล้วจะให้เรียกว่าอะไร ^^ สาธุ

    ระหว่างกลับ วิวข้างทางเชิญชวนให้ลงมาสัมผัสจริงๆ วันนั้นหากใครผ่านไปทางหลวงหมายเลข 205 เส้นอำเภอโคกสำโรง ตำบลเขาพระงาม คงได้เห็นสองสาวมายืนแอ็คชั่น ถ่ายรูปกันข้างถนน อารมณ์อะไรมันจะฟินเบอร์นั้น 555

    ประเทศไทยจังหวัดไหนก็มีสถานที่สวยงาม บรรยากาศดีๆ ให้ลองไปสัมผัส เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าของบ้านและคำขอบคุณของผู้มาเยือน นี้คือเสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทย เชื่อ!!! หลายคนอยากลองไปสัมผัส และเชื่อ!!!หลายคนเคยสัมผัสและติดใจจนต้องออกเดินทางบ่อยๆ เพื่อเติมเต็มความสุขที่ค่อยๆ จางหายไป ความกระหายใคร่อยากท่องเที่ยวคงกำเริบเกิดขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ยังมีแรงในการก้าวเดิน สองขาย่อมพาใจไปตามสถานที่ต่างๆ ตามที่ใฝ่ฝัน แล้วสักวันเราคงได้พบกัน ^^