อยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัส แม่ลาน้อย อำเภอเล็กๆที่ต้องห้ามพลาดในจ.แม่ฮ่องสอน!

หลังจากกลับจากทริปแม่ฮ่องสอนก็อดใจไม่ได้ที่จะต้องมารีวิวถึงสิ่งที่ได้ไปพบเจอมา!

จุดหมายปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้ คือ 'เฮินไต แม่ลาน้อย' รีสอร์ทเล็กๆที่ล้อมรอบไปด้วยนาสีเขียว

ขอเริ่มทริปนี้ด้วยการเดินทาง.. โดยรถทัวร์สมบัติทัวร์ ออกจากหมอชิต2 ในเวลา 6 โมงเย็นแล้วไปจบลงที่ เซเว่น แม่ลาน้อย ตอนเกือบ 6 โมงเช้าที่หลับสบ๊ายสบาย (เพราะยาแก้เมารถ) หลังจากที่เราเดินทางมาถึง พี่เจ้าของรีสอร์ทก็ขับรถกระบะออกมารับ เมื่อถึงที่หมาย ก็เข้าไปนั่งพัก พร้อมทานอาหารเช้าของรีสอร์ท ด้วยเมนูพื้นเมือง 'หมูตำ และ ข้าวเหนียว' ที่ขอบอกว่า อร่อยมาก :p

หลังจากซัดหมูตำเสร็จ ก็ได้เวลาเอาของเข้าไปเก็บ และด้วยความดีใจของพี่เน็ต เจ้าของเฮินไต ก็อนุญาตให้พวกเราได้เช็คอินก่อนเวลา เพราะเมื่อคืนไม่มีคนมาพัก เย่ จากนั้นเราก็ได้เริ่มต้นทริปเขียวๆ เป็นวันแรกด้วยการรบกวนพี่เน็ตให้จ้างชาวบ้านพาเที่ยวที่แม่ลาน้อยในราคา 1,600 บาททั้งวัน (คุ้มมาก)

เดย์ 1 เริ่มต้นขึ้นแล้วว..

  • จุดแรกของการเดินทางวันนี้ คือ ข้างทาง ไม่รู้เรียกว่าอะไร แต่สดชื่นมาก เป็นไหล่เขามองไปกว้างๆ มีวิวภูเขาเขียวๆ มีหมอกลอยเย็นๆ พร้อมฝูงควายเล็มหญ้า หรือบางตัวก็แอบอึแบบงงๆ  

     

  • จุดต่อไป คือ จุดชมวิวทะเลหมอก ซึ่งเราจะต้องปีนรั้วไม้ออกไป หมอกเยอะมาก เทาไปหมด ถ้ามองดีๆ จะมีต้นถั่วเหลืองประปราย ตามไหล่เขา ยืนรับลมเย็นๆตรงนี้ซักพักใหญ่ก็ไปต่อที่

 
  • โครงการหลวงแม่ลาน้อย ตอนมาถึงก็จะเจอกลุ่มชาวบ้านนั่งคัดผักที่เพิ่งเก็บมา ในโครงการหลวงจะมีแปลงปลูกผักหลายชนิด ถ้าไปบางวันจะมีเก็บผักมาขาย ตอนนั้นพี่เน็ตบอกว่า เราสามารถซื้อแล้วเอาลงมาทำกินที่รีสอร์ทได้ด้วยนะ และความเก๋คือผักที่นี่ส่งให้ร้านซิสเลอร์ด้วยนะจ้ะ เดินเลยเข้าไปอีกจะเป็นในส่วนของนาขั้นบันได (สวยมาก) พี่คนขับรถก็จะพาลงไปเดินดู นาใกล้ๆด้วย จากที่เห็นก็เริ่มจะมีรวงข้าวออกมาจ๊ะเอ๋ให้เห็นกันประปรายแล้ว เดินจนอิ่มหนำกับแปลงข้าวแล้วก็ไปต่อ.. 

  • ระหว่างทางลงไปบ้านกาแฟห้วยห้อม เราก็ผ่านโรงเรียนเล็กๆ ซึ่งทริปนี้เรามีพี่ผญ.กับผช.ที่เป็นแฟนกันหารรถกันขึ้นมาด้วย พี่ๆเอาของบริจาคพวกถุงเท้ากับอุปกรณ์การเรียนมาให้น้องๆที่นี่ เลยแวะมอบของกันนิดหน่อย แล้วก็ได้เจอเด็กๆพร้อมภาพเหล่านี้มา 

  • บ้านกาแฟห้วยห้อม เป็นหมู่บ้านเลี้ยงแกะ แล้วก็ปลูกกาแฟ (ส่งร้าน Starbuck & Amazon) และแล้วความหิวก็มาเยือน ก็เลยแวะกินมื้ออาหารกลางวันแบบชาวบ้านๆ ซึ่งบ้านจะเป็นแบบสมัยก่อน จำได้ว่าเดินทั่วบ้านเหมือนเป็นบ้านตัวเองเลย 55 ส่วนข้าวก็จะคิดในราคาหัวละ 70 บาท พร้อมกับเมนู ปลาทับทิมทอด (ที่จับสดๆข้างหลังบ้าน แต่อร่อยจนต้องขออีกตัว), ผัดผักกูด, ต้มยำปลาทับทิม แล้วก็ผัดยอดฟักแม้ว ถ้าใครกินอิ่มแล้ว สามารถให้ชาวบ้านพาไปดูแกะแล้วก็ต้นกาแฟต่อได้ แต่ต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 15 นาที แต่ด้วยความที่พกแม่มาด้วยก็เลยตัดสินใจไม่เดินขึ้นกัน ตบด้วยช็อปปิ้งเมล็ดกาแฟสตาร์บัค ในราคาถุงละ 100 บาทไปซะ 5 ถุง!

  • ถ้ำแก้วโกมล (ที่สุดท้าย) : ถึงตอนนี้พวกเราก็งงๆว่าจะ 16.00 แล้ว (เวลาผ่านไปไวมาก) ที่นี่พวกเราจะต้องขึ้นรถกระบะสองแถวของทางถ้ำขึ้นไปอีกต่อนึง และเสียค่าเข้าชม 40 บาท โดยมีกฎคือ ห้ามถ่ายรูป ห้ามใส่หมวก ห้ามให้แสงจากหน้าจอมือถือโดนแร่ ห้ามสัมผัสแร่ เพราะว่าแร่จะเสื่อม ภายในถ้ำสวยมาก เหมือนแรร์ไอเท็มที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ แนะนำว่าใครเป็นโรคหัวใจ ไม่ควรไป เพราะอากาศน้อยแล้วก็บันไดชันแอนด์ลึกมาก จำได้ว่า ตอนขาขั้นขานี่แทบสั่น

หลังจากเราเที่ยวจนอิ่มในวันแรก ก็ได้เวลาเดินทางกลับรีสอร์ทไปพักผ่อน และใช้เวลาในช่วงเย็นๆ กับการนั่งมองนาข้าวที่รีสอร์ทพร้อมรับลมเย็นๆ โดยที่มีวิวพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกลงไปในภูเขา ก่อนจะปิดวันด้วยการกินข้าวเย็นด้วยเมนูเด็ดๆหลายเมนู :) 

อ้อ ก่อนที่เราจะเข้านอน เราก็ได้นัดแนะถึงทริปวันที่ 2 ด้วยการไป อ.ขุนยวม (อำเภอถัดไปจากแม่ลาน้อย) โดยมีผู้นำเที่ยวกิตติมศักดิ์เป็น พี่เน็ต เจ้าของรีสอร์ท ที่ดันค่อนข้างว่างในวันพรุ่งนี้พอดี เลยอาสาพาไปเที่ยวซะเลย!

เดย์ 2

วันนี้เรานัดแนะกับพี่เน็ตกันในเวลา 9.30 น. นั่งกินอาหารเช้าซักแปป ก็ได้เวลาออกเดินทางไปขุนยวมกัน โดยพาหนะที่ใช้เดินทาง คือ รถกระบะของพี่เน็ต แต่ขออาสานั่งที่พิเศษด้านหลังกระบะ เพื่ออรรถรสในการรับลมได้อย่างเต็มที่ แต่ก่อนเราจะออกเดินทาง พี่เน็ตก็เอาหมอนอิงพร้อมเสื่อแล้วก็ถังน้ำแข็งพร้อมน้ำ มาไว้ข้างหลัง (แจ่มมากก ไม่เคยนั่งหลังกระบะที่สบายแล้วก็สดชื่นขนาดนี้มาก่อนเลย 55) 

  • ก่อนพูดถึงที่เที่ยว ขอบอกเลยว่า ข้างทางตอนไปขุนยวม "สวยมาก" การนั่งข้างหลังกระบะเหมือนเวลาผ่านไปเร็วมาก กับการที่ได้ดูวิวข้างทางกับลมเย็นๆแล้วก็แดดอุ่นๆ

  • สำหรับจุดแรกในเช้าวันที่ 2 คือ ดอยอูคอ ซึ่งปกติคนจะเยอะมากในฤดูกาลดอกบัวตองบานเต็มภูเขาตอนเดือนพฤศจิกายน แต่สำหรับเรา ขนาดยังไม่มีดอก ก็สวยมากๆแล้ว วันนี้ที่นี่เงียบมาก ไม่มีใครเลย ทุกอย่างเขียวขจีไปหมด พวกเราอยู่บนนี้กันพักใหญ่ก่อนจะรีบเดินทางต่อไปที่น้ำตกแม่สุรินทร์

 
  • น้ำตกแม่สุรินทร์ จะต้องขับเลยดอยอูคอเข้าไปอีกพักนึง ความจ๊าบของน้ำตก คือ เป็นน้ำตกชั้นเดียวที่สวยและสูงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย วันที่ไปไม่มีคนและรถซักคัน ทำให้ได้ยืนฟังเสียงน้ำตกชัดๆแล้วก็เต็มตา ยืนดูน้ำตกเพลินๆเสร็จแล้วก็ออกเดินทางย้อนกลับไปที่ น้ำพุร้อนบ้านหนองแห้ง ซึ่งก่อนถึงที่นี่ พี่เน็ตพาแวะซื้อไข่ 10 ฟองที่โรงแรมยุ้น แล้วก็เสวนาพูดคุยกับเจ้าของซึ่งเป็นเพื่อนพี่เน็ตซักแปป ก็ไปต่อ.. แต่ว่าก่อนที่จะถึงน้ำพุร้อน พี่เน็ตผู้ใจดี บอกว่า ไหนๆก็มาแล้ว เดี๋ยวพาไปดูหมู่บ้านเมืองปอน ซึ่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ที่ยังคงมีบ้านที่ทำหลังคาด้วยใบตองตึงอยู่ เลี้ยวเข้าไปปุ้ป เราก็ได้เจอกับ แผงขายเห็ดดอย เลยจัดการสอย เห็ดไปทำกินที่รีสอร์ทซะเลย

  • น้ำพุร้อนบ้านหนองแห้ง เป็นน้ำพุร้อนแรร์ไอเท็มที่ถือว่า วิวดีมาก ตอนไปถึงฝนยังไม่หยุดตก เลยไปยืนรอประมาณ 5 นาที ฝนก็เป็นใจหยุดตกซะงั้น ที่นี่จะคิดค่าบริการในการแช่น้ำพุร้อน 40 บาท(ถ้าจำไม่ผิด) แต่ว่าถ้าแช่แค่เท้าหรือแค่ลวกไข่จะไม่คิดตัง ซึ่งจะแบ่งเป็นโซนอย่างชัดเจน ทั้งบ่อลวกไข่ ที่นั่งแช่เท้า ห้องแช่ตัว หรือ สระว่ายน้ำที่เป็นน้ำพุร้อนผสมน้ำเย็นด้วย แต่เนื่องด้วยเวลาไม่ทัน เราก็เลยจัดการแค่ลวกเท้าและไข่พอ และด้วยความฟินของหมอกที่ลอยอยู่ตรงภูเขาหลังฝนตก ทำให้ไข่อร่อยเป็นพิเศษ 55

         ก่อนปิดวันที่ดื่มด่ำกับธรรมชาติ พวกเราก็ย้ายเข้าไปนั่งด้านในรถ เพราะมีฝนลงเป็นระยะอีกครั้ง ระหว่างทางกลับก็ชวนพี่เน็ตคุยไปเรื่อยๆ 55 ไปจนถึงรีสอร์ท ทุกคนก็แยกย้าย ละมาเจอกันอีกทีตอนทานข้าวเย็นกับเมนูที่รอคอย ผัดเห็ดดอย และ ต้มเห็ดดอย ที่พี่เน็ตให้แม่ครัวทำมาแบ่งให้กินด้วย (ใจดีจังง) กินเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็กลับเข้าห้องก่อนจะอาบน้ำ แล้วก็ออกมาเดินดูดาวเล่นๆ ก่อนนอน :)

          และแล้วก็ถึงวันสุดท้าย วันที่ต้องกลับไปซบอกกรุงเทพฯอีกครั้ง วันนี้พวกเราใช้เวลาอยู่ในรีสอร์ท นั่งเล่นนอนเล่นตามจุดต่างๆ พอตกเย็นก็เอาจักรยานปั่นออกไปจุดชมวิว แล้วก็ผงะกับทางขึ้นทีเ่ป็นทางขึ้นเขา เลยตัดสินใจกลับรีสอร์ท เหมาะเจาะกับที่พี่เน็ตมาพอดี เลยขับรถออกไปส่งจุดชมวิวแล้วเลยไปซื้อของ (ใจดีอีกแล้ว) ตรงจุดชมวิวแม่ลาน้อย จะมีโรงเลี้ยงแกะด้วย เดินเล่นอยู่ซักพัก ก็ตัดสินใจเดินกลับรีสอร์ทไปเก็บของแล้วก็เตรียมตัวกลับบ้าน.. 

          จบทริปครั้งนี้ด้วยการที่พี่เน็ตขับรถออกมาส่งตรง สมบัติทัวร์ (ฝั่งตรงข้ามเทศบาล) ขากลับเมารถนิดหน่อยเลยต้องซัดยาแก้เมารถตอนจอดที่แม่สะเรียง หลังจากนั้น.. ก็หลับยาวจนถึงกรุงเทพฯ

สำหรับความประทับใจในครั้งนี้ อย่างแรกเลยคือ 'รีสอร์ทเฮินไต' ที่ชิวเหมือนเป็นบ้าน ทั้งพี่กบ(ยิ้มเก๊งเก่ง มีให้กล้วยกับขนมก่อนกลับด้วย) พีเน็ต ที่ใจดี๊ใจดี ทำแทบทุกอย่างเองหมด ทั้งขับรถรับส่ง รับออเดอร์ เสิร์ฟอาหาร พาไปเที่ยว ดูแลทุกคนแบบทั่วถึง บวกกับบรรยากาศรีสอร์ทกับห้องพักที่ไม่ผิดหวังเลย ใครที่มาเป็นกรุ๊ปสามารถบอกพี่เน็ตได้ว่าจะปิ้งหมูกระทะ หรือจุดกองไฟชมบรรยากาศยามค่ำคืน ทั้งดาวทั้งหิ่งห้อย ในส่วนของการ ปิดท้ายความประทับใจทั้งหมดทั้งมวล คือ แม่ลาน้อยและแม่ขุนยวม ขอบคุณที่มีธรรมชาติเขียวๆแล้วก็สดชื่นขนาดนี้ให้ได้สัมผัส การมาครั้งนี้รู้สึกอิ่มใจและปอดมาก สัญญาว่าจะกลับไปอีกแน่นอนนะ รอเราก่อน.. :)

 

...

อิ่มสุข / อิ่มปอด / อิ่มท้อง / อิ่มใจ

ขอบคุณนะแม่ฮ่องสอน