นุ่งซิ่นเดิน...ถิ่นอัมพวา
หลายๆคนอาจเคยได้ยินชื่ออัมพวา..อัมพวา...อัมพวา มานานเเล้ว.. เราเองก็เช่นกัน ได้ยินมาหลายๆทาง ทั้งรายการทีวี ทั้งจากปากเพื่อนบ้างล่ะมาเล่าให้ฟัง ว่ามันฟินอย่างนู้นอย่างนี้อย่างนั้น นั่งดูหิ่งห้อยบ้างเอย นั่งเรือล่องเเม่น้ำบ้างล่ะ เเถมของกินเพียบโน้นนี่นั่น ขนมโบราณๆ ที่ใครไม่ไปอัมพวา ก็หายากที่จะได้กิน ไม่เคยสงสารคนฟังบ้างเล้ยยยยยย ซึ่งเราไม่เคยไปมาก่อน ก็ทำให้อยากโหยหาที่จะไป
เมื่อถึงวันที่เรามีโอกาสได้ไปเยือนถิ่นอัมพวา...เราจึงอยากเเชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆได้ดูว่า มันจะจริงเหรอ เราเคยอ่านประสบการณ์เเชร์เที่ยวอัมพวามาหลายที่เลยนะ เชื่อว่าหลายๆคนก็คงจะตะขิดตะขวนใจว่ามันจะจริงเหรออย่างที่ใครๆรีวิว การเที่ยวครั้งนี้ของเราเป็นประมาณเที่ยวลัดเลาะ..จุดหมายจริงๆเลย คือ อัมพวา เเต่ไม่รู้ว่าไปโผล่นครปฐมได้ยังไง 5555 เเวะเเล้วก็เเวะเลย..เลยเเวะกินซะก่อนละกัน
ร้านเเรกที่นึกถึง ลูกชิ้นเต็กกอ...ตำนานขุนเเผนเมืองนครปฐม มีเมีย 13 คน เป็นที่เลื่องลือ ไม่ต้องเเปลกใจนะ..ถ้าจะเจอร้านลูกชิ้นเต็กกอหลายๆสาขา อิอิ เป็นร้านอาหารที่มีเบรนลูกชิ้นเป็นของตัวเอง เเละก็อร่อยดีนะ "ทอดมันลูกชิ้นเต็กกอ" เมนูนี่ถ้าได้ไปต้องลองกันนะคะ...หอมอร่อยตั้งเเต่ทอดอยู่ในกะทะเลยล่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง...เเต่ตอนนี้ท้องจะเเตกเเล้ว...ทั้งอร่อยทั้งอิ่ม ^^พูดถึงจังหวัดนครปฐม ก็มีที่เที่ยวหลายที่เลยนะ ทั้ง ตลาดน้ำดอนหวาย พระปฐมเจดีย์ พิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้นผึ้ง พระราชวังสนามจันทร์ ตอนเเรกก็คิดๆกันว่าจะไปไหนดี ถ้าเป็นสมัยเด็กๆก็จะมาทัศนศึกษาจังหวัดนี้บ่อย เลือกไม่ถูกเลยทีเดียวที่จะไปซ้ำ 555 คิดไปคิดมาตกลงกันว่าจะไปพระราชวังสนามจันทร์ เพราะผู้ร่วมทริป 6 คน เคยไป 2 คน ที่เหลือไม่เคยไปเลย (รวมทั้งตัวเราด้วยอ่ะ)
พระราชวังสนามจันทร์ เป็นพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่6 เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชวังที่มีเนื้อที่กว้างขวาง เเละข้างในมีความร่มรื่น มีต้นไม้ใหญ่ๆอายุเป็นร้อยปีคอยให้ร่มเงาอยู่มาก ตอนนี้อยู่ในการควบคุมดูเเลของสำนักพระราชวัง อัตราค่าบริการการเข้าเยี่ยมชมถ้าเป็นคนไทยคนละ 30 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท เเต่ทริปเราตาไว...เห็นป้าย AIS คนที่ใช้ระบบเครือข่ายเอไอเอสเข้าฟรีนะคะ..เเต่ไม่เเน่ใจว่าโปรโมชั่นถึงเมื่อไหร่เนื่องจากอย่างที่บอกไว้ พระราชวังสนามจันทร์อยู่ในความดูเเลของสำนักพระราชวัง เพราะฉะนั้นการเเต่งกายก็ต้องเเต่งกายให้เหมาะสม ให้เกียรติสถานที่ ไม่ใส่กางเกงขาสั้น ไม่ใส่เสื้อเเขนกุด เเต่สำหรับคนที่บังเอิญจริงๆ ทางเข้าซื้อบัตรมีผ้านุ่งขาย ผืนละ 80 บาทค่ะ
พระราชวังสนามจันทร์...หลักๆเเล้วมีตึกใหญ่ๆด้วยกันอยู่ 3 หลัง หลังเเรกจะเป็นเรือนไม้ รูปเเบบตามสมัยโบราณไทย เรือนที่สองเป็นเรือนหลังใหญ่ มีสะพานเชื่อมทางเดินเรือนสองเรือนไปมาหาสู่กันซึ่งรูปเเบบจะค่อนข้างตกเเต่งเเเบบทรงไทยผสมโซนยุโรป..เเละเรือนที่สาม เป็นเรือนหลังใหญ่..มีข้าวของเครื่องใช้ของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเเสดงอยู่ตามห้องต่าง (วิทยากรบอกว่า มีทั้งที่เป็นของพระองค์ท่านจริงๆ บางส่วนก็จำลองมา)รูปปั้นนี้เราเชื่อว่ามีหลายคนสงสัยว่าทำไมถึงเป็นสุนัข...สุนัขตัวนี้มีชื่อเรียกว่า "ย่าเหล" ย่าเหลเป็นสุนัขของรัชกาลที่6 ที่ท่านทรงรัก เเต่ตายเพราะโดนวางยา จึงได้สร้างไว้เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงสุนัขในสมเด็จท่าน
ในบริเวณพระราชวังสนามจันทร์ จะมีองค์พระพิฆเนศประดิษฐานอยู่กลางสวนของพระราชวัง ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะบูชาของเด็กศิลปกร ส่วนใหญ่ จะมาขอพร ให้ประสบความสำเร็จในชีวิต เขาว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์นะคะ
พวกเราออกจากพระราชวังสนามจันทร์กันประมาณบ่ายโมงกว่าๆ กว่าจะถึงอัมพวาก็บ่ายสาม มุ่งหน้าเข้าที่พักที่จองไว้ เราเชื่อว่า การหาที่พัก รีสอร์ท ไม่ใช่เรื่องยากที่ใครๆก็ทำได้ ที่ที่เราไปพักก็เหมือนกันค่ะ...คือ เราไม่รู้หรอกว่าที่พักที่เราพักมันจะสะอาด มันจะดีสักเท่าไหร่ การหาที่พักราคาไม่เเพงมาก เเละถูกใจ เชื่อว่าหลายๆคนค้นหาทาง Google (เราก็เช่นกัน) ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าที่พักที่เราเลือกนั้นมันจะดีจริงหรือไม่จริง ได้เเต่ภาวนาว่า...ขอให้สภาพมันดีเหมือนที่โปรโมทในเว็บไซต์ หรือ ดีเหมือนที่รีวิวด้วยเถ้อออออ 55555
..บ้านสวนปริ่มน้ำ... เป็นที่พักที่พวกเราเลือกอาศัยหลับนอนสำหรับค่ำคืนนี้ บรรยากาศเเรกเมื่อก้าวลงจากรถ ทุกอย่างดูเงียบสงบ ไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆเลย เฮ้ย!!! อะไรจะดีขนาดนั้น กับการพักผ่อนที่มีเเต่กลุ่มพวกเรา คุณป้าเจ้าของรีสอร์ทก็น่ารัก ให้บริการต้อนรับเราเป็นอย่างดี (อันนี้ไม่ได้ค่าโปรโมทรีวิวจากรีสอร์ทนะคะ)พวกเราพักบ้านหลังนี้ค่ะ "บ้านเรือ" เป็นหลังเดียวที่มีในรีสอร์ท อยู่ติดริมเเม่น้ำ มีพื้นที่ไว้สำหรับให้เรานั่งเม้าท์มอย วิวดี มุมดี มีความเกิดความประทับใจค่ะ ^^ ราคาก็ไม่ถูกเเละไม่เเพงมากค่ะ หลังนี้ 3,000 บาทพักได้ 4 คน เเต่จะพักเกินก็ได้ค่ะ ที่รีสอร์ทจะคิดเตียงเสริมเพิ่มท่านละ 600 บาท มีอาหารบริการสำหรับมื้อเช้าค่ะ
ภาพบรรยากาศบริเวณรีสอร์ทค่ะ....ทางเลือกอีกทางหนึ่งถ้าเราไม่อยากนั่งทานอาหารบนบ้านพัก ทางรีสอร์ทเค้าจะมีที่นั่งไว้ให้บริการ สัมผัสอย่างใกล้ชิดริมเเม่น้ำค่ะ
หลักจากดูดดื่มกับวิวบริเวณรีสอร์ทได้สักพักหนึ่ง จุดหมายของเราคือ การเดินไปตลาดอัมพวา เพราะจากข้อมูลที่ทราบมา รีสอร์ทนี้อยู่ห่างจากตลาดน้ำ ประมาณ 400 เมตร เเต่เจ้าของรีสอร์ทเเนะนำเราให้ไปทางเรือจะดีกว่า สะดวกรวดเร็ว เเละตบท้ายด้วยการนั่งเรือชมหิ่งห้อยอัมพวา ซึ่งช่วงเดือนสิงหาเค้าว่ากันว่า เป็นเดือนที่มีหิ่งห้อยเยอะที่สุด เเต่เราก็ไม่รู้หรอกว่า หิ่งห้อยจริงหรือไม่จริง เพราะเคยอ่านๆดูหลายคนบอกว่าเป็นเเสงไฟที่เค้าเอามาเเต่งไว้ พวกเราตกลงเหมาเรือไปตลาดอัมพวา 700 บาทไทย โชคดีที่มาหลายคน หารๆกันเเล้วก็ยังอุ่นใจ ^^
เมื่อเรือเเล่นมาถึงตลาดอัมพวา คนขับเราอัธยาศัยดี๊ดี....นัดเเนะเรา ให้เดินตลาดน้ำ เเล้วเวลา 1 ทุ่ม เขาจะมารับเราไปล่องเรือชมหิ่งห้อย...ว้าวววววว
ตลาดน้ำอัมพวา หลายๆคนอาจจะมองว่า ก็เหมือนตลาดน้ำทั่วไปๆ...เเต่เราชอบอย่างนึงตรงที่ว่า ในมุมบางมุม มันยังคงไว้ซึ่งความเป็นชนบท ที่ทำให้เราระลึกย้อนถึงในช่วงวัยที่เรายังเป็นเด็ก ขนมไข่จิ้งจก หมากฝรั่งบุหรี่เเมวดำ หรือเเม้เเต่ของเล่นที่เราเคยเล่นเมื่อ 20 ปีที่เเล้ว 5555 นึกไม่ออกเลยจริงๆว่า ตอนนั้นเรามีความสุขมากเเค่ไหนกับความสุขเล็กๆของเด็กน้อย เสน่ห์อีกอย่างนึงของอัมพวา คือ เรือขายของ ขายทุกอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นอาหาร ก๋วยเตี๋ยวเรือ นี่สิก๋วยเตี๋ยวเรือจริงๆ อัมพวาจะมีชานริมน้ำ ให้ลูกค้าสั่งอาหารเเล้วกินริ่มฝั่งได้เลย หรือ ถ้าบางคนคิดว่ามันลำบาก ก็มีร้านอาหารที่ตกเเต่งสวยๆ ให้หลงๆเข้าไปทาน (เเต่ราคาก็สูงอยู่นะซึ่งไม่เหมาะกับเราเอาเสียเลย 555 )ร้านบางร้าน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ชาวบ้านดั้งเดิมของที่นี่ ตกทอดกันมาเป็นรุ่นๆ ขนมโบราณอะไรที่เราไม่เคยเจอ หาทานได้ยาก ถ้าอยากทานก็ต้องชวนกันมาที่นี่ล่ะค่ะ
บางร้านก็เป็นนายทุนที่มาซื้อที่บริเวณนี้เเล้วเปิดร้านอาหาร เปิดที่พักให้นักท่องเที่ยว คือเรามองว่า ตามยุคสมัย มันก็ต้องเปลี่ยนเเปลงไป เป็นการผสมผสานระหว่าง 2 ยุค ที่เป็นเสน่ห์อีกเเบบหนึ่ง ร้านภวัตส้มตำไก่ย่าง นี้เป็นร้านที่ขายดิบขายดี...อันนี้ได้ข้อมูล มาจากคนขับเรือนำเที่ยว เขาเเนะนำมา ก็เลยจัดให้รู้เรื่องสักหน่อย ^^
เดินกันเพลินๆ เเวะร้านนั้นร้านนี้ซื้ออาหารตุนไว้สำหรับเสบียงในค่ำคืนนี้ ก็ปาเวลาเกือบจะทุ่มตรงพอดีที่นัดหมายกับคนขับเรือไว้ ซึ่งเขาจะไปเราล่องเรือไปชมหิ่งห้อยอัมพวา ตอนเเรกยอมรับเลยว่าเราไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการไปดูหิ่งห้อย เพราะหลายๆคนบอกว่า สมัยนี้ไม่มีเเล้วหิ่งห้อย บางก็ว่ามีน้อย บางก็ว่ามีเเต่ไฟคริสมาสต์ เเต่พอเรือเเล่นไปได้ช่วงระยะหนึ่ง คนขับเรือเขาดับเครื่อง เเล้วให้มองไปที่ต้นลำพู เริ่มเห็นหิ่งห้อยบินวนเวียนอยู่ใต้ต้น พอเข้ายิ่งเเล่นเรือออกไปเรื่อยๆ เริ่มมีหิ่งห้อยเยอะขึ้นๆ พวกเราก็อดคิดเสียไม่ได้ เค้าเอาไฟมาประดับหรือป่าว หลอกเราเเน่ๆ ไม่ใช่หิ่งห้อยจริงหรอก สนทนาขอสงสัยกันซะเสียงดังลั่น 555 คนขับเรือเขาคงลำคาญ...รีบชี้เเจงให้ฟังพร้อมพิสูจน์เลยว่า ผมจะพิสูจน์ให้ดู ว่าเป็นหิ่งห้อยจริงหรือไม่จริง เขาค่อยๆร่องเรือไปใกล้ๆต้นลำพู เเล้วควักน้ำใส่ต้นลำพู โอ้โห!!! ของจริงแฮะ หิ่งห้อยบินหนีกันเป็นเเถวเลย..หลังจากได้รับการพิสูจน์เเล้ว ความตื่นเต้นก็กลับมา พวกเราไปช่วงเดือนสิงหาคม เค้าบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่มีหิ่งห้อยเยอะที่สุด เพราะว่าเป็นช่วงผสมพันธุ์ของมัน จริงค่ะ เยอะมากจริงๆ (แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้นะคะ คือถ่ายนะ แต่ถ่ายไม่เห็นค่ะ เพราะต้องใช้ความมืดจริงๆ)
พอได้ชมหิ่งห้อยเสร็จ พวกเราก็เดินทางกลับที่พัก เเล้วก็ถึงเวลาสังสรรค์ อาหารที่เราตุนไว้ กับความหิวโหยที่เก็บไว้ มารวมกันเเล้ว ณ ที่นี้ ลงมือ!!!! กินเเละคุย ^^ ลืมไม่ลงจริงๆว่า เสียงหัวเราะ บทสนทนาที่เราคุยกัน มันมีความสุขมากเเค่ไหน
"อรุณสวัสดิ์...อัมพวา" รีบตื่นเเต่เช้าเพื่อมารับเเสงเเรกที่ท่าน้ำ อาบน้ำเเต่งตัว ทำจิตใจให้เเจ่มใส เเล้วก็ตักบาตรตามวิถีพุทธค่ะ ^^ ไม่ต้องกังวลนะค่ะ เรื่องอาหารใส่บาตร เราเเค่เเจ้งไว้กับรีสอร์ท เค้าจะเตรียมไว้ให้เราเลยค่ะอาหารเช้าของทางรีสอร์ทถูกใจพวกเราเป็นอย่างยิ่งค่ะ...อาหารดูสะอาด น่ารับประทาน ไม่ใช่เเค่เท่าที่เห็น ยังมีข้าวต้มหม้อใหญ่ๆ รับรองไม่ต้องกลัวค่ะว่าจะไม่อิ่ม อิ่มเเน่นอน ^^
พวกเราออกจากที่พักก็สายๆละ.....มองหาที่เที่ยวที่ระเเวกอัมพวา เเวะเที่ยว สวนรัชกาลที่ 2 เป็นพิพิธภัณฑ์บ้านทรงไทย ในยุคสมัยรัชกาลที่ 2 ด้านในจะมีทั้งโบราณวัตถุ เเละ หุ่นจำลองเเสดงถึงวิถีชาวบ้านในสมัยรัชกาลที่ 2 ก่อนกลับบ้าน...เลยเเวะซื้อปลาทูเเม่กลองที่ "ตลาดร่มหุบ"...เดี๋ยวเขาจะหาว่ามาไม่ถึงอัมพวา 555 โชคดีของพวกเราเจอคนท้องถิ่นแถวนั้นเเนะนำร้านปลาทูให้..ตอนเเรกก็เเปลกใจว่า ทำไมปลาทูตัวเล็กจัง เคยมีคนซื้อไปฝากตัวใหญ่เบ่อเร้อ เเม่ค้าบอกว่า ถ้าเป็นปลาทูตัวใหญ่ๆ เป็นปลาทูอินโดนีเซีย ถ้าปลาทูเเม่กลองของเเท้ ตัวจะเล็กๆไม่ใหญ่เท่านั้น ถึงบางอ้อเลยค่ะ!!
ด้วยความบังเอิญเหมาะ..เราไปเดินตลาดกันในช่วงเวลาที่รถไฟเข้าสถานีพอดี... เลยมีโอกาสได้เห็นการใช้ชีวิตประจำวันของเเม้ค้าตลาดร่มหุบ...ร่มหุบสมชื่อ... ถือได้ว่าเป็น unseen thailand จริงๆค่ะ
คุ้มค่าจริงๆ กับการเดินทางในครั้งนี้ ได้เห็นอะไรที่เราไม่เคยเห็น ได้รู้อะไรที่เราไม่เคยรู้ ได้มีพื้นที่เล็กๆของวัยเด็ก วิถึชนบทที่ได้รับการกล่าวขาน วันนี้ได้รู้ได้เห็น เกิดความประทับใจ เเละถ้ามีโอกาสเราจะกลับมาใหม่อีกนะ "อัมพวา"
ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางทุกคน ที่สร้างสีสัน สร้างเสียงหัวเรา ไม่รู้เลยจริงๆว่าจะจำความสุขนี้ได้ไปอีกนานเท่าไหร่ ^^
ฝากติชมกันได้นะค่ะ กับเพจน้อยๆของเค้าเอง กับเพจ "ขอแค่ได้เที่ยว" ค่ะ