ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
นอนโฮมสเตย์ กินซีฟู้ด ออกบามหมึก ที่.. อ่าวคราม จ.ชุมพร [700 บาท = ที่พัก + ซีฟู้ด 3 มื้อ + บามหมึก] อำเภอสวี (Sawi District) จ.ชุมพร
    • โพสต์-1
    CHAILAIBACKPACKER •  มิถุนายน 12 , 2560

    อ่าวครามโฮมสเตย์ อ.สวี จ.ชุมพร [700 บาท = ที่พัก + ซีฟู้ด 3 มื้อ + บามหมึก]

    นั่งรถไฟ.. ไปนอนอ่าวครามโฮมสเตย์ อ.สวี จ.ชุมพร [700 บาท = ที่พัก + ซีฟู้ด 3 มื้อ + บามหมึก]

     

    หลังจากที่ไม่ได้ไปเยือน “ชุมพร” มาเป็นระยะเวลานานหลายปี ทริปนี้ผมได้มีโอกาสไปเยือนชุมพร..อีกครั้ง โดยในครั้งนี้ได้ไปพักผ่อนที่โฮมสเตย์ริมทะเล อ่าวคราม อ.สวี ที่มีชื่อว่า “อ่าวครามโฮมสเตย์”

    อ่าวครามโฮมสเตย์ เป็นโฮมสเตย์บรรยากาศแบบเรียบง่ายในหมู่บ้านชาวประมงริมทะเลอ่าวคราม อ.สวี จ.ชุมพร อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่รายล้อมไปด้วย ภูเขาและต้นไม้ ชาวบ้านในหมู่บ้านประกอบอาชีพประมง มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมและเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของอ่าวคราม ซึ่งการมาพักที่อ่าวครามโฮมสเตย์นี้ ถือได้ว่าเป็นการมาพักผ่อนอย่างแท้จริง โดยวันๆ ไม่ต้องทำอะไร นั่งๆ นอนๆ มองทะเลไปเรื่อยเปื่อย ลมพัดเย็นสบาย บรรยากาศชิลมากๆ ธรรมชาติก็ดูอุดมสมบูรณ์ อาหารการกินก็จัดเต็มสุดๆ ซีฟู้ดทุกมื้อ ได้กินอาหารแบบสดๆ จากทะเลกันเลย (700 บาท/คน = ที่พัก 1 คืน + ซีฟู้ด 3 มื้อ + ทริปบามหมึก) ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ได้มาพักผ่อน แถมได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวประมงที่นี่ด้วยครับ!


    ติดตามการเดินทางทริปอื่นๆ ของผมได้ที่..
    FB : https://www.facebook.com/chailaibackpacker/

     

    ไปทำอะไรที่อ่าวครามมาบ้าง?

     

     

    • ไปนอนโฮมสเตย์


    อ่าวคราม อ.สวี จ.ชุมพร จะมีโฮมสเตย์ที่เปิดให้พักอยู่ 2 ที่ คือ อ่าวครามโฮมสเตย์ (ที่ผมจะพักในทริปนี้) และ แดนโดมโฮมสเตย์ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ทั้ง 2 โฮมสเตย์ จะเป็นที่พักแบบเรียบง่ายอยู่ติดริมทะเล แลดูดิบๆ ไร้การปรุงแต่ง ซึ่งอาจจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย.. ห้องนอนเป็นห้องเล็กๆ ที่สามารถนอนได้ 2 คน (ห้องน้ำรวม) หรือ ถ้าอยากได้บรรยากาศก็สามารถออกมาปูเสื่อกางมุ้งนอนรับลมทะเลที่ชานบ้านก็ได้.. ลมพัดเย็นสบาย พักผ่อนชิลๆ..


    อ่าวครามจะมีอยู่ 2 โฮมสเตย์ ครับ

    แดนโดมโฮมสเตย์ 0869417046

    อ่าวครามโฮมสเตย์ 0847455278

     

    • ไปกินซีฟู๊ด


    กินซีฟู้ดสดๆ จากทะเล ซึ่งที่โฮมสเตย์จะมีอาหารซีฟู้ดให้ 3 มื้อ แล้วแต่ความต้องการว่าจะให้จัดมื้อใดบ้าง เช่น มื้อกลางวัน-มื้อเย็น-มื้อเช้า หรือ มื้อเย็น-มื้อเช้า-มื้อกลางวัน แล้วแต่ความสะดวก (ซึ่งส่วนใหญ่มักจะขอจัดหนักสุดในมื้อเย็นกัน) ส่วนเมนูอาหารทะเล ก็จะหมุนเวียนไปตามวัตถุดิบที่มีในแต่ละวัน แต่รับรองว่าได้กินเมนูที่หลากหลายแน่นอน..

     

    • ไปบามหมึก


    กิจกรรมยามค่ำคืน ด้วยการออกไปจับหมึก ด้วยวิธีการ "บามหมึก" ที่เขาว่ากันว่า.. มีแค่ที่เดียวในประเทศไทย จะได้ไปกิน “หมึก” แบบสดๆ กันกลางทะเลก็งานนี้แหละ!

     

    • ไปดำน้ำเกาะกุลา

    เกาะกุลา เกาะขนาดเล็ก หนึ่งในหมู่เกาะทะเลชุมพร อ.สวี จ.ชุมพร อยู่ห่างจากฝั่งอ่าวครามแค่ 20 นาที เท่านั้น ก็จะได้พบกับทะเลสวยๆ บรรยากาศดีๆ เป็นธรรมชาติ น้ำทะเลใสแจ๋วน่าลงไปแหวกว่าย ทะเลชุมพรสวยงามไม่แพ้ที่ใดเลย..


    โปรแกรมการเดินทาง


    วันแรก : เดินทางมาถึงโฮมสเตย์ ก็ รับประทานอาหารเที่ยง(มื้อที่ 1) พักผ่อน นั่งเล่น นอนเล่น ตกเย็น รับประทานอาหารเย็น(มื้อที่ 2) และ ช่วงหัวค่ำ ออกเรือไป “บามหมึก”

    วันที่สอง : ช่วงเช้า รับประทานอาหารเช้า(มื้อที่ 3) เสร็จแล้วก็ เหมาเรือไปดำน้ำ เกาะกุลา (ไม่รวมอยู่ในแพคเกจ สามารถเหมาเรือไปเที่ยวได้ในราคา 1000/ลำ) จากนั้น ช่วงเที่ยง ก็กลับมาเก็บของเช็คเอาท์ และเดินทางกลับ กรุงเทพฯ

    เป็นการเดินทางไปพักผ่อนในวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ สบายๆ มีเวลาแค่ 2 วัน ..ก็เที่ยวได้ครับ!


     


    การเดินทาง จาก กรุงเทพฯ ไป อ่าวครามโฮมสเตย์

    ขาไป จาก กรุงเทพฯ มา อ.สวี นอกจากการเดินทางด้วยรถส่วนตัวแล้ว ก็สามารถเดินทางมาได้ทั้ง รถทัวร์ และรถไฟ แต่น่าสะดวกที่สุดก็คงจะเป็น.. รถไฟ สามารถมาลงที่ สถานีรถไฟสวี ด้วย ขบวนด่วนพิเศษ 39/41 ออกจาก สถานีกรุงเทพฯ เวลา 22.50 น. ถึง สถานีรถไฟสวี เวลาประมาณ 6.30 น. ซึ่งจะเป็นเวลาเช้าพอดี

    จาก สถานีรถไฟสวี สามารถหาเหมารถรับจ้าง หรือ วินมอเตอร์ไซค์ให้เข้าไปส่งที่โฮมสเตย์ได้ ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 200-300 บาท/เที่ยว หรือ จะให้ทางโฮมสเตย์เอารถกระบะออกมารับก็ได้ มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 300 บาท/เที่ยว

    หรือ อาจจะใช้บริการรถสองแถว แต่ไม่ได้เข้าไปส่งถึงโฮมสเตย์ วิ่งผ่านเส้นลาดยางเท่านั้น ซึ่งต้องให้โฮมสเตย์ออกมารับอีกที(ไม่แน่ใจรอบรถสองแถวเหมือนกันครับ รู้สึกต้องใช้เวลารอพอสมควร)

    ขากลับ จาก สถานีรถไฟสวี กลับเข้ากรุงเทพฯ ก็สามารถเลือกนั่งกลับได้ตามต้องการ(ตามภาพตารางการเดินรถไฟ) ทั้งนี้ขากลับอาจจะขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำในวันนั้นๆ และความต้องการของแต่ละคน ว่า.. อยากกลับเร็ว หรือ อยากจะอยู่เที่ยวต่อในบริเวณใกล้เคียงอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับเข้ากรุงเทพฯ..

     

    • โพสต์-2
    CHAILAIBACKPACKER •  มิถุนายน 12 , 2560

    DAY #0 BANGKOK - SAWI

    18.30 น. เย็นวันศุกร์ จาก กรุงเทพฯ สู่ สวี

     

    เริ่มต้น.. ออกเดินทางจาก สถานีกรุงเทพฯ ซึ่งก่อนหน้านั้น.. ผมได้นัดหมายวันเวลาการเดินทางกับเพื่อนผู้ร่วมเดินทางในระยะเวลาที่กระชั้นชิดไปหน่อย ทำให้แต่ละคนไม่สามารถเดินทางไปในขบวนเดียวกันได้ ต่างกระจายไปตามขบวนต่างๆ ที่มีเวลาแตกต่างกันไป.. ซึ่งขบวนที่ดูเวลาเหมาะเจาะที่สุด ก็คือ ขบวนด่วนพิเศษ 39/41 ออกจาก สถานีกรุงเทพฯ เวลา 22.50 น. ถึง สถานีรถไฟสวี เวลาประมาณ 6.30 น. ซึ่งจะเป็นเวลาเช้าพอดี แต่สำหรับของผมนั้น.. เป็น ขบวน 167 ออกจาก สถานีกรุงเทพฯ เวลา 18.30 น. ถึง สถานีรถไฟสวี เวลาประมาณ 4.00 น. ไปถึงปลายทางก็ยังคงมืดอยู่เลย!

     

    เย็นวันศุกร์ รถอาจจะติดหน่อย จึงทำให้มาถึง สถานีรถไฟกรุงเทพฯ อย่างหวุดหวิด มาถึงก็เดินหาขบวนรถของตัวเอง ขบวน 167 กรุงเทพฯ – กันตัง ซึ่งจะลง สวี ตอนประมาณตีสี่ วันนี้คนเดินทางค่อนข้างเยอะ ผมจึงได้ตั๋ว ชั้น 2 (พัดลม) นั่งไปเรื่อยๆ สบายๆ รับลมเย็นๆ อยู่ริมหน้าต่าง..

    ยังไม่ทันได้กินข้าวเย็นมาก่อนขึ้นรถไฟ ก็ต้องจัดการมื้อเย็นกันซะก่อน ซึ่งบนรถไฟก็มีคนเดินขายของกันเยอะแยะ ทั้ง ข้าวกล่อง ขนม เครื่องดื่ม และของฝากต่างๆ สำหรับมื้อเย็นนี้ก็ได้.. ข้าวกระเพราหมูไข่ดาว(40 บาท) กับ น้ำเปล่า (10 บาท) มาใส่ท้องก่อนที่จะงีบหลับ(แบบหลับๆ ตื่นๆ) ไปตลอดการเดินทาง..

    • โพสต์-3
    CHAILAIBACKPACKER •  มิถุนายน 12 , 2560

    DAY #1 SAWI, CHUMPHON

    04.00 น. สวัสดี สวี.. วี๊.. วี..

     

    รถไฟค่อนข้างจะตรงเวลา.. ประมาณตีสี่กว่าๆ ผมก็มาถึงจุดหมายที่ สถานีรถไฟสวี ซึ่งเป็นสถานีรถไฟเล็กๆ แต่สวย และ ดูคลาสสิคมาก ผมต้องนั่งรอเพื่อนผู้ร่วมเดินทางที่จะมาสมทบ ใน ขบวน 39/41 ซึ่งจะมาถึงในเวลาประมาณ 6.30 น. ก็เลยได้นั่งๆ นอนๆ อยู่ในสถานีรถไฟสวี จนฟ้าสว่างเลยทีเดียวล่ะ.. ดังนั้น ถ้าอยากมาให้เช้าพอดีก็ต้องเป็น ขบวน 39/41 นะครับ

     

    ยามเช้าที่ สวี บรรยากาศดีมากๆ อากาศสดชื่น เย็นสบาย ซึ่งที่เห็นอยู่นั่น ก็.. ไม่ใช่ควัน แต่อย่างใดนะ เพราะที่จริงมัน คือ หมอกยามเช้าครับ

    ตรงข้าม สถานีรถไฟสวี จะเป็นตลาดเล็กๆ และ ตอนเช้าแบบนี้ก็ มีตลาดนัด มีของกินมาขาย สามารถมาหากินอะไรง่ายๆ ในตอนเช้าแบบนี้ก็ได้ครับ อย่าง ปาท่องโก๋ กาแฟ ข้าวต้ม โจ๊ก อะไรทำนองนี้ครับ รองท้องกันเบาๆ กับ มื้อเช้า..


    ตรงหัวมุมถนน ที่อยู่ตรงข้ามกับ สถานีรถไฟสวี จะมี ร้านขายต้มเลือดหมู และ โจ๊ก อยู่ครับ ก็เลยจัดต้มเลือดหมูร้อนๆ กับข้าวสวยไปครับ อร่อยดีเหมือนกัน.. ใช้ได้เลย!

     

    เนื่องจากการเดินทางในครั้งนี้.. มีหนึ่งในผู้ร่วมเดินทางเป็นคนชุมพร และมีรถส่วนตัวสำหรับใช้ไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบายอยู่แล้ว ผมและเพื่อนที่มาทางรถไฟ จึงไม่ต้องหารถจาก สถานีรถไฟสวี เพื่อต่อไปยัง “อ่าวครามโฮมสเตย์” ซึ่ง.. ถ้าหากใครเดินทางมารถไฟก็สามารถหารถรับจ้าง หรือ วินมอเตอร์ไซค์ หน้าสถานีรถไฟ ให้เข้าไปส่งที่โฮมสเตย์ได้ ค่าโดยสาร 200-300 บาท/เที่ยว หรือ จะให้ทางโฮมสเตย์เอารถกระบะออกมารับก็ได้ มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 300 บาท/เที่ยว

     

    08.00 น. ไหว้พระธาตุสวี

    เมื่อเจ้าบ้านชุมพรหนึ่งในผู้ร่วมเดินทางขับรถมารับ ตามเวลานัดหมาย โดยก่อนที่จะเข้าไปที่ อ่าวครามโฮมสเตย์ ก็ขอไปไหว้ พระธาตุสวี เพื่อความเป็นสิริมงคลกันเสียก่อน ซึ่งวัดพระธาตุสวีก็อยู่ไม่ไกลจาก สถานีรถไฟสวี เท่าใดนัก..

    วัดพระธาตุสวี เป็นวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดชุมพร ภายในเป็นที่ตั้งของพระธาตุสวี สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองสวี

    พระธาตุสวี เป็นพระธาตุเก่าแก่องค์ใหญ่อายุกว่า 700 ปี ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ..เป็นที่สักการะของชาวบ้านสวี และจังหวัดใกล้เคียง

     

    • โพสต์-4
    CHAILAIBACKPACKER •  มิถุนายน 12 , 2560

    ถึงแล้ว.. อ่าวครามโฮมสเตย์!!

    11.00 น. อ่าวครามโฮมสเตย์

    หลังจากไหว้ พระธาตุสวี เพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ก็เดินทางเข้าไปที่ อ่าวครามโฮมสเตย์ ครับ ซึ่งถนนหนทางรถทุกชนิดสามารถเดินทางเข้าไปถึง แต่จะมีแค่ช่วงท้ายๆ เท่านั้น.. ที่ถนนเป็นทางลูกรัง และค่อนข้างชัน ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับรถกันสักหน่อย โดยจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากตัวอำเภอสวี ก็มาถึง "อ่าวครามโฮมสเตย์"

     

    เมื่อเข้ามาถึง.. ก็ได้บรรยากาศความสงบเงียบ และเป็นธรรมชาติ

     

     

    บริเวณโฮมสเตย์.. ที่นี่จะเป็นหมู่บ้านชาวประมง มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย

    บ้านเรือนของชาวประมงจะตั้งเรียงรายอยู่ริมทะเล โอบล้อมด้วยภูเขาและต้นไม้ในอ่าวครามนี้ และ บ้านริมทะเลหนึ่งในนั้น ก็คือ.. ที่พักของผมในคืนนี้ ครับ

    ผมได้รับการต้อนรับจาก “ป้าภี” เจ้าของอ่าวครามโฮมสเตย์แห่งนี้ และป้าภีก็ให้ลูกสาวพาเดินขึ้นไปชมบนโฮมสเตย์ ซึ่งเป็นบ้านไม้ยกสูงอยู่ริมทะเล มีชานบ้าน หรือ ระเบียงขนาดใหญ่ สามารถนั่งชมวิว รับลมทะเลได้อย่างสบาย..

    บรรยากาศท้องทะเลหน้าโฮมสเตย์ ดูเงียบสงบ.. น่าพักผ่อน..

     

     

    อีกหนึ่งมุม.. ที่สามารถมานั่งเล่น และ นั่งทานข้าวได้ในบรรยากาศสบายๆ

     

    บริเวณปิ้งย่างริมน้ำ สามารถนำอาหารทะเลสดๆ มาปิ้งย่าง บาร์บีคิว กันได้

    ห้องนอน ของที่นี่จะเป็นแบบเรียบง่ายๆ มีห้องขนาดเล็กอยู่ประมาณ 4-5 ห้อง ภายในห้อง มีที่นอน หมอน ผ้าห่ม และ มุ้งไว้กันยุง ซึ่งยุงก็ไม่ได้มีเยอะอย่างที่คิดนะ อาจมีบางนิดหน่อยในช่วงหัวค่ำ แต่ดึกๆ นี่ไม่มีเลยครับ อ๋อ.. ถ้ากลัวจะร้อน ก็มีพัดลมให้ด้วย..

    หรือ ถ้าหากใครอยากใกล้ชิดธรรมชาติ ก็สามารถลากที่นอน มากางมุ้งนอน รับลมทะเลที่ชานบ้าน ก็ได้ อากาศปลอดโปร่ง.. เย็นสบาย..

    มาที่นี่ไม่ต้องห่วง.. เรื่องปากท้อง ได้กินของทะเลสดๆ กันแน่นอน.. ซึ่งอาหารทะเลทั้งหลายเหล่านี้ ก็ได้มาจากการทำประมงภายในชุมชนนี่เอง เมื่อออกไปจับสัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา มาได้ ก็เตรียมนำมาประกอบอาหารต่อเลย เรียกได้ว่า.. สดจากเรือประมงเลยทีเดียวครับ..
     

     

    อาหารการกินในทุกมื้อจะมาจากฝีมือของ ป้าภี เอง ซึ่งแต่ละมื้อ.. ก็จะได้กินอาหารหลากหลายเมนูวนเวียนกันไป ตามแต่วัตถุดิบที่มีในแต่ละวัน ทำให้ได้กินอาหารที่มีเมนูไม่ซ้ำกันเลย.. หรือ ถ้าอยากลองทำอาหารเอง ที่โฮมสเตย์ก็มีครัว และอุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ เตรียมไว้ให้อีกด้วย
     

     


    12.00 น. มื้อแรก ที่.. อ่าวครามโฮมสเตย์


    นั่งเล่นชมบรรยากาศกันสักพักก็ได้เวลามื้อเที่ยง ซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกของการเข้ามาพักที่นี่ โดยรวมๆ แล้วก็.. อร่อยทุกอย่าง โดยเฉพาะ ปูผัดวุ้นเส้น ที่ปูเนื้อแน่น และ สดมากครับ..

     

    เมื่อจัดการกับมื้อเที่ยงเสร็จ.. ก็มานั่งๆ นอนๆ ให้อาหารย่อยกันสักหน่อย ตอนอิ่มๆ ในบรรยากาศยามบ่ายอย่างนี้ มันชวนให้อยากงีบหลับซะจริงๆ เลย มีให้เลือกทั้งนอนเปลริมน้ำ หรือ จะปูเสื่อ ลากที่นอนมาหามุมนอนก็ตามแต่สะดวกเลย..

    ระหว่างที่นั่งๆ นอนๆ ริมทะเล ก็จะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวประมงในอ่าวคราม..


    ถ้าสังเกต.. จะเห็น เสาที่ปักเป็นกลุ่มๆ อยู่กลางทะเล กระจายไปทั่วในอ่าวคราม แรกๆ อาจจะสงสัยว่าเขาเอาไว้ทำอะไรกัน? ซึ่งเสาไม้ที่ปักเป็นกลุ่มอยู่กลางทะเลเหล่านั้น เป็นเครื่องมือในการจับสัตว์น้ำอย่างหนึ่งที่เขาเรียกว่า “บามหมึก” และ คืนนี้ผมก็จะได้ออกไปบามหมึกกับชาวประมงที่นี่ด้วย(ทริปบามหมึกตอนกลางคืนจะรวมไปกับแพคเกจแล้วครับ)

    ออกเดินเล่นดูผู้คนในชุมชนนี้กันบ้าง ซึ่งวิถีชีวิตก็เกี่ยวพันกับท้องทะเล..


    แวะมาดูวิธีการถนอมอาหาร

     

    พอเข้าช่วงเวลาเย็น บรรยากาศจะดีมาก นอนชิลๆ ดูพระอาทิตย์ตก จากหน้าโฮมสเตย์ได้เลย

    "แสงสุดท้าย" ในยามเย็น.. ก่อนดวงตะวันจะลาลับไป..

    19.00 น. มื้อเย็นซีฟู้ดจัดหนัก!


    ความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุม.. เมื่อมองไปยังท้องทะเลยามนี้ จะเห็นแสงไฟดวงน้อยใหญ่ ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ทั้งดวงที่ลอยอยู่นิ่ง และเคลื่อนไหวไปมาคล้ายว่าเป็นแสงไฟจากเรือประมงที่แล่นอยู่กลางทะเล.. ซึ่งถือว่าช่วงนี้เป็นเวลาของการทำประมงของที่นี่ครับ

    นั่งมองทะเลสีดำยามค่ำคืนสักพัก.. อาหารมื้อเย็นก็เริ่มทยอยเสิร์ฟมา มื้อนี้รู้สึกว่าจะจัดหนักมาก หน้าตาดูน่ากินทุกอย่างเลย โดยเฉพาะปูนึ่งตัวโตดีจัง!

    เมนู : ผัดผักรวมมิตรทะเล


    เมนู : ปลาทะเลสามรส


    เมนูนี้ชอบมาก!! “หมึกไข่ผัดหวาน” หมึกไข่ นี่แบบว่า.. ไข่แน่นๆ เต็มท้องทุกตัว รสจะออกหวานๆ หน่อย ต้องจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ด นี่..เข้ากันดีเลยครับ

    และ ขาดไม่ได้ ปูนึ่ง.. ปูที่นี่สดจากทะเล เนื้อแน่นๆ เด็ดมากเลย!


    มื้อนี้.. จึงเป็นมื้อที่มีความสุขในการกินกันมาก อาหารสด และ อร่อยทุกอย่าง ชอบทุกเมนูครับ

    หลังจากอิ่มก็นั่งพักให้อาหารย่อยกันสักหน่อย ก่อนที่จะไปทำกิจกรรมต่อไป คือ นั่งเรือออกไป “บามหมึก” กัน!

     

    • โพสต์-5
    CHAILAIBACKPACKER •  มิถุนายน 12 , 2560

    "บามหมึก" .. หนึ่งเดียวในประเทศไทย!

    21.00 น. ออกเรือไปบามหมึก!


    การ "บามหมึก" ที่เขาว่ากันว่า.. มีหนึ่งเดียวในประเทศไทย ก็คือ.. ที่ อ่าวคราม แห่งนี้ ซึ่งจะว่าไปก็คล้ายการยกยอนะครับ แต่วิธี บามหมึก นั้นเขาจะใช้อวนตาข่ายขึงกับเสาไม้ทั้ง 4 เสาที่ตั้งปักอยู่กลางทะเล ขึงตาข่ายให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส จากนั้นก็ใช้แสงไฟจากถังแก๊สที่ห้อยไว้ด้านบน เป็นตัวล่อให้หมึกเข้ามาเล่นไฟ เมื่อได้เวลาก็หมุนรอก.. ให้เชือกดึงตาข่ายอวน ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แล้วก็เอาสวิงตัก.. ขึ้นมาก็เรียบร้อย.. เมื่อได้หมึกสดๆ มาแล้ว อาจจะลองกินแบบดิบๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ด ก็หนึบๆ หวานๆ ดีเหมือนกัน.. หรือจะนำกลับไปย่างไฟอ่อนๆ ก็แจ่มใช้ได้!

     

    ตามเวลานัดหมายสามทุ่ม ได้เวลาออกไป “บามหมึก” ผมเดินลงไปนั่งในเรือลำเล็กที่จอดอยู่ข้างโฮมสเตย์ ออกเรือฝ่าความมืดมิด โดยมีจุดหมายที่ดวงไฟดวงหนึ่งในหลายๆ ดวงที่ลอยอยู่เหนือน้ำกลางทะเล ซึ่งไฟที่เห็น ก็คือ.. ถังแก๊ส จุดไฟส่องสว่างที่ผูกติดกับคานไม้ โดยด้านล่างผิวน้ำเป็นอวนที่ขึงและผุกเชือกทั้ง 4 มุมกับ เสา แต่ละต้น


    เมื่อได้เวลาที่พอเหมาะ.. ก็จะหมุนรอกที่ขึงกับเชือกทั้ง 4 มุม ให้อวนตาข่ายค่อยๆ ยกขึ้นเหนือผิวน้ำ หมึก และสัตว์น้ำต่างๆ ที่มาเล่นแสงไฟ ก็จะถูกขังอยู่ในอวนตาข่าย ทำให้จับได้อย่างง่ายดาย.. ซึ่งในคืนหนึ่ง จะสามารถออกมา "บามหมึก" ได้ประมาณ 3-5 รอบ

    ใช้สวิงในการช้อนตักสัตว์น้ำต่างๆ ที่จับมาได้
     

     

    บรรดา หมึก และ ปลา ชนิดต่างๆ ที่จับได้ .. ซึ่งปลาบางชนิดที่ไม่ต้องการ หรือ ตัวไหนที่ยังมีขนาดเล็กอยู่ก็จะถูกคัดออกและปล่อยคืนสู่ทะเล

    หมึก ที่จับมาจากทะเลแบบสดๆ ตัวก็จะดูใสๆ ยังเต้นตุบๆ อยู่เลย..

     


    จะให้ได้รสชาติก็ต้องลอง.. กิน หมึก แบบสดๆ.. จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ด หวานๆ หนึบๆ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ!

    กินแบบสดๆ ..มันก็จะแซ่บๆ หน่อยครับ

    กลับมาจาก บามหมึก ..เมื่อถึงฝั่งก็จะได้รับแบ่งหมึกบางส่วนติดไม้ติดมือกลับมาด้วย ซึ่งหมึกที่ได้รับแบ่งมาก็ไม่พ้นที่จะมาย่างกินที่โฮมสเตย์ หมึกย่างหอมๆ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด เด็ดอีกแล้ว!

     

     

    • โพสต์-6
    CHAILAIBACKPACKER •  มิถุนายน 12 , 2560

    DAY #2 KOH KULA, CHUMPHON

     

    07.00 น. ยามเช้า ณ อ่าวคราม

     

    วันนี้.. ตื่นเช้ามากับบรรยากาศที่สดใส เหมาะแก่การนั่งเรือไปเที่ยวเกาะอย่างยิ่งครับ ซึ่งวันนี้มีโปรแกรมไปดำน้ำตื้นที่ “เกาะกุลา” กัน (เกาะกุลา ไม่รวมอยู่ในแพคเกจ แต่สามารถเหมาเรือจากโฮมสเตย์ไปเที่ยวได้ครับ)

     

    ก่อนไปเที่ยวเกาะ.. ก็ต้องกินมื้อมื้อเช้ากันก่อน.. อาหารเช้าแบบเบาๆ “ข้าวต้มหมึก” อากาศสบายๆ ยามเช้าแบบนี้ นั่งกินข้าวต้มร้อนๆ ก็ฟินดี หมึกสดมาก แถมได้เยอะอีกด้วยครับ..


    08.00 น. นั่งเรือไปเที่ยวเกาะกุลา


    เกาะกุลา เกาะขนาดเล็ก หนึ่งใน หมู่เกาะทะเลชุมพร อ.สวี จ.ชุมพร อยู่ห่างจาก อ่าวครามโฮมสเตย์ แค่ 20 นาที เท่านั้น เป็นเกาะที่มีความสวยงาม บรรยากาศดีๆ เป็นธรรมชาติ น้ำทะเลใสแจ๋ว และมีแนวปะการังที่สวย โดยสามารถเหมาเรือจากโฮมสเตย์ไปเที่ยว “เกาะกุลา” ได้ในราคา 1000 บาท/ลำ พร้อมอุปกรณ์ดำน้ำ

     

    วันนี้อากาศดีมากท้องฟ้าแจ่มใส.. เหมาะแก่การออกไปเที่ยวทะเล ผมเริ่มออกเดินทาง ลงเรือที่มีขนาดกะทัดรัด(นั่งได้ไม่เกิน 10 คน) แหวกผืนน้ำมุ่งหน้าสู่ เกาะกุลา ซึ่งขณะนั่งเรือบรรยากาศรอบด้านก็จะพบกับเกาะน้อยใหญ่ต่างๆ

     

    ไม่นานก็เดินทางมาถึง เกาะกุลา เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีความสวยงาม น้ำทะเลใส จนมองเห็นถึงข้างล่างเลย

     

    เมื่อขึ้นเกาะมาแล้วก็ต้องจ่าย ค่าบริการของอุทยานฯ เสียก่อนนะ

    ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะนิยมมาเที่ยวแบบครึ่งวัน หรือ ชิลๆ หน่อยก็จัดไปเต็มวัน โดยไม่จำเป็นต้องพักค้าง เพราะอยู่ใกล้ฝั่งแค่นี้เอง.. กิจกรรมบนเกาะ ก็จะเป็น การดำน้ำตื้นดูปะการัง ซึ่งน้ำที่นี่ก็ใสน่าโดดลงไปเล่นมาก มีหาดให้ลงเล่นน้ำอยู่ 2 หาด เป็นชายหาดเล็กๆ อยู่ติดๆ กัน เดินไปมาระหว่างทั้ง 2 หาดได้อย่างสบายๆ หรือ การพายเรือคายัค ที่สามารถนำเรือไปพายได้อย่างฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ถ้าฟิตๆ หน่อยก็สามารถพายชมธรรมชาติรอบเกาะเล็กๆ นี้ได้เลย!


    ชายหาดตรงท่าเรือ หลังจากขึ้นจากเรือมาแล้วก็สามารถลงเล่นน้ำที่หาดตรงนี้ได้เลย เป็นชายหาดเล็กๆ แต่น้ำใสมาก

     

    กิจกรรม ดำน้ำดูปะการัง ซึ่งเกาะกุลาแห่งนี้ มีแนวปะการังอยู่รอบเกาะ

     

    บริเวณโดยรอบก็มีต้นไม้ที่ดูร่มรื่น ไว้นั่งพัก หลบแดด บางมุมก็สามารถ นอนเปล ปูเสื่อ หลบนอนใต้ต้นไม้ได้อีกด้วยครับ..

     

    จาก หาดตรงท่าเรือ เดินมาอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะพบอีกหนึ่งหาด ซึ่งหาดตรงนี้จะดูสงบกว่า..

    ลองเปลี่ยนมาดำน้ำที่หาดนี้กันบ้าง ซึ่งก็มีแนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลให้ดูเช่นกัน (ณ จุดนี้รู้สึกพลาดนิดนึง ที่ไม่ได้หยิบกล้องถ่ายใต้น้ำมาด้วย ก็เลยไม่ได้เก็บภาพมาครับ)

    หาดนี้จะมีที่พักของทางอุทยานฯ ไว้บริการด้วย มีทั้งบ้านพักเป็นหลัง อยู่ 3 หลัง ราคาหลังละ 1,200 บาท พักได้ 4-5 ท่าน นอกจากนี้ยังมีลานกางเต็นท์ไว้รองรับอีกด้วย(ไฟฟ้ามีให้ใช้ตั้งแต่เวลา 18.00 - 24.00 น.) สำหรับผู้ที่พักบนเกาะ ก็มีอาหารไว้บริการ คิดราคาคนละ 600 บาท(ทั้งหมด 3 มื้อ)


     

    ช่วงเวลาที่เหมาะสม ควรมาเที่ยว เกาะกุลา ในช่วงเดือน มกราคม – พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำใสที่สุดครับ


    พายเรือคายัค ที่สามารถนำเรือไปพายได้อย่างฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม..

     

    ฟ้าสวย น้ำใส บรรยากาศสงบ เหมาะที่จะมาพักผ่อน นั่งเล่น นอนเล่น สบายๆ อยู่ได้ทั้งวัน..

    เกาะกุลา สามารถเดินทางมาเที่ยวได้อย่างง่ายๆ ใช้เวลาเดินทางไม่นาน สามารถมาพักผ่อน เล่นน้ำได้ตามต้องการ มีเวลาเที่ยวแค่ครึ่งวันก็เพียงพอแล้วครับ..

     

     

    12.00 น. ลาแล้ว.. อ่าวคราม!


    นั่งเรือกลับมาจาก เกาะกุลา ถึงโฮมสเตย์ ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยง และ.. เพราะความหิว ก่อนจะเช็คเอาท์ จึงได้สั่งอาหารมื้อเที่ยงเพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษอีกมื้อ(เพิ่มอีกคนละ 50 บาท) กับ เมนูน่ากิน อย่าง ผัดรวมมิตรทะเลลูกเหรียง รสจัดจ้าน กับ ไข่เจียว ที่ไม่ใช่ไข่เจียวธรรมดา แต่อัดไปด้วย เนื้อปูล้วนๆ เป็นมื้อที่อร่อยอีกมื้อ.. ส่งท้ายก่อนเดินทางกลับ..

    ทริปนี้.. จึงเป็นทริปแห่งการพักผ่อนในวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ มีเวลาแค่ 2 วันก็เที่ยวได้ เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวแบบเรียบง่าย ได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ และได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนไปในตัว เป็นประสบการณ์ที่ดีเหมือนกัน.. ซึ่งโดยรวมๆ ก็นับว่าคุ้มค่ามากครับ

    ถ้าใครอยากลองมาพักผ่อน นอนโฮมสเตย์ชาวประมงท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ ..สักครั้ง ก็ขอแนะนำเลยครับ!

     

     

     

    ติดตามการเดินทางทริปอื่นๆ ที่..

     

    การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

    Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

    Instagram : CHAILAIBACKPACKER

    Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9