"เรื่องไม่ลับที่ลับแล" ปั่นจักรยานคนเดียว เที่ยวลับแล
ทริปนี้เกิดจากหน้าหนาวปีที่แล้วนู่น เพิ่งมีโอกาสมาเขียน ดองรีวิวไว้นานเกิน เราแค่อยากปั่นจักรยาน อยากหาทริปปั่นจักรยานสักทริป ไปคนเดียว นี่แหละ หาข้อมูลไปมา ลองไปจังหวัดที่ไม่ค่อยมีคนไปดีกว่า วันสองวันก็ตัดสินใจไปเลย เคลมเร็วอีกแล้ว เที่ยวคนเดียวบ่อยก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่า อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ที่เราสนใจ จะเป็นเมืองจักรยาน เขารณรงค์กันให้เป็นแบบนั้น เหมือนเดิม เรานั่งรถไฟไป รถไฟชั้น 3 นี่แหละ คาดการณ์เวลาแล้วใช้เวลาไม่นาน ไม่ใช่รถไฟฟรี แต่เป็นชั้น 3 ซื้อตั๋ว 192 บาท นั่งกลางคืนจะได้ถึงตอนเช้าพอดี เพราะหากนั่งรถฟรีขึ้นเหนือ เราจะไปค้างเติ่งอยู่สถานีรถไฟอุตรดิตถ์น่ะสิ เพราะมันจะถึงช่วงกลางดึก มาถึงเช้ามาก หนาวจับใจ หิวก็หิว ซื้อมาม่าที่สถานีรถไฟก่อนเลย เรื่องต่อรถ คิดทีหลัง แล้วค่อยถามคนอื่นว่าจะต่อรถเข้าลับแลตรงไหน ความจริงอ่านรีวิวมาบ้างแล้วแหละ คนรีวิวลับแลน้อยเหมือนกันนะ หาข้อมูลยากมากเลยเวลาจะมาเที่ยวที่นี่ เลยแบบ งั้นมาตามมีตามเกิด หาประสบการณ์เองแล้วกัน เหมือนเดิม อุตรดิตถ์ยังอยู่ในเขตภาคเหนือ มาถึงนี่ต้องพูดเหนือ จะได้รับความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมาอีกนิดนึง ตลอดทริปนี้เราเลยใช้ภาษาเหนือในการสื่อสารทั้งหมด ตี 5 ต้องมารอรถสองแถวเข้าลับแล ลุงคนขับก็บอกให้รอคนก่อน ไม่มีใครเลย เราอ่านรีวิวมาบ้างว่าถ้าไม่มีคนเนี่ยต้องเหมาเข้า 200 เลย ความจริงห่างจากตัวเมืองแค่ 5-6 กม.นะ ถ้ามีรถเช่าแถวนี้เราคงไปเองแล้ว แต่ก็รอจน 6 โมงไม่มีคนเลย ลุงเลย "ปะ ขึ้นรถ" บอกว่าไม่มีคนเลยนะ จะรอต่อไหม (ใจจริงอยากหาตัวหารค่ารถอยู่) งั้นก็ได้ ไปก็ไป แล้วเหมือนเหมาสองแถวมาคนเดียวเลยอ่ะ แต่ก็มาพร้อมกับเนื้อบดหลังรถ ลงรถปุ๊บถามราคาเท่าไหร่ ลุงบอก 50 บาท โอย...โคตรเกรงใจ จะให้ 100 นึง ลุงบอก 50 พอ ใจดีอ่ะ ความจริงหน้าลุงดูเป็นคนเคี่ยวด้วย เหมาสองแถวลุงมาคนเดียว 50 บาท ทั้งที่มันต้อง 200 บาท แถมลุงขอเบอร์ไว้อีกจะกลับวันไหน เดี๋ยวลูกชายจะไปเอาผลไม้บนดอยจะให้แวะรับ นึกว่าพูดเล่นเลยบอกไปว่า เดี๋ยว 5 โมงวันกลับหนูโทรบอก(ขอเบอร์ลุงไว้และลุงก็ขอเบอร์เราไว้อีก) นอกจากอากาศเย็นแล้ว ยิ่งตอนเช้าก็ยังมีแดดอุ่นๆด้วย อากาศดีมาก ความจริงถ้าจะให้ไปส่งถึงโฮมสเตย์เลยต้องเหมาเข้าไปอีก เราเลยรอแถวพิพิธภัณฑ์ ถ่ายรูปรอ จนท.เปิดบริการรถจักรยาน ใช่ค่ะ เอาบัตรประชาชนแลกก็ได้จักรยานไปปั่นฟรีเลย ดีต่อใจมาก เรามาวันธรรมดาก็จะเงียบเหงาหน่อย แต่วันเสาร์อาทิตย์นี่ได้ข่าวว่าครึกครื้นเลย มีถนนคนเดินตรงนี้ด้วย นี่แหละค่ะ สัญลักษณ์ของความลึกลับของลับแล อนุสาวรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองแม่หม้าย แอบกลัว รูปปั้นนี้มีที่มา ลองไปหาอ่านในเน็ตดูเรื่องสนุกมากเลย คือที่บอกว่าเป็นเมืองแม่หม้ายและเป็นเมืองที่รักษาวาจา ไม่ชอบคนพูดโกหก เมืองนี้จึงไม่มีผู้ชาย ต้องขับไล่ผู้ชายออกจากเมืองหมด วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งตกหลุมรักหญิงเมืองนี้พาไปอยู่ที่เมืองลับแล จนมีลูกด้วยกัน วันหนึ่งลูกร้องไม่หยุด ชายคนนี้จึงโกหกว่า "แม่มาแล้ว" พอหญิงสาวรู้เรื่องจากปากแม่ของหญิงสาวว่าลูกเขยโกหกจึงถูกขับไล่ออกไป และใส่แง่งขิงในย่ามเต็มถุง แต่หนักเกินไปชายหนุ่มจึงทิ้งระหว่างทางจนกลับถึงหมู่บ้านเดิมเหลืออันเดียวควักออกมาจากถุงกลายเป็นทองคำ ไปตามหาที่ทิ้งไว้ก็โตเป็นต้นขิงธรรมดา และหาทางเข้าเมืองลับแลไม่เจออีกแล้ว ต้องลองไปอ่านดู เรื่องสนุกดีค่ะ 8 โมงแล้ว เจ้าหน้าที่มาแล้ว ดีใจอ่ะดีใจ ได้จักรยานแล้ว จนท.ดูแลดีมากเลย แนะนำ ให้แผนที่ เช็คสภาพจักรยานให้ มีเอกสารให้แต่แทบไม่ได้ดูเลย ใช้ปากถามทางตลอด ได้จักรยานแล้ว สายแล้ว คงเป็นอะไรไปไม่ได้เลยตอนนี้นอกจาก "หิวค่ะ" ปั่นไปหาตลาดกันเถอะ มันต้องมีสิ มันต้องมีตลาดแถวนี้ แล้วก็มีจริงๆด้วย กรี๊ดดดดดดดด ตลาดต่างจังหวัด ของกินเพียบ น่ารักดีนะ ไปตรงไหนก็มีป้ายเตือนว่าที่นี่ห้ามพูดโกหกนะ เหมือนไปทางไหนก็จะมีแต่คนซื่อสัตย์อ่ะ แล้วสายๆก็เริ่มปั่นจักรยานไปแม่พูล ที่พักของเราคืนนี้ แต่ 12 กิโลนะ ด้วยจักรยานแม่บ้านไม่มีเกียร์ และเป็นทางชันนิดนึงด้วย เก็บบรรยากาศสายๆของลับแลไปเรื่อยเปื่อยตลอดทาง มีทางจักรยานนะ แต่ถนนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถนนแคบไปหน่อย รถวิ่งเยอะ แต่ส่วนใหญ่เป็นรถของชาวบ้าน รถมอเตอร์ไซค์ ปิคอัพ ไม่ค่อยมีพวกสิบล้อเยอะ ค่อยๆปั่นกันไป คลำทางไปเรื่อยเปื่อยจริงๆ เป็นจังหวัดแรกที่ปั่นเยอะสุดและถามทางเยอะสุด ขึ้นชื่อว่าเมืองลับแลแล้ว สมชื่อจริงๆ หลงหนักมาก แต่ผู้คนก็ใจดีมาก ถามไถ่กันใหญ่ มาคนเดียวเหรอ เก่งจัง บอกทางไปทางนั้นทางนี้ อัธยาศัยดีมากๆ น่ารัก กว่าจะหาเจอ โฮมสเตย์ต้องติดต่อผ่านหมู่บ้านซึ่งเราเลือกบ้านไม่ได้ ต้องลุ้นว่าจะได้นอนหลังไหน หลายหลังไม่ว่าง เพราะยังอยู่ช่วงเทศกาลปีใหม่และลูกหลานก็กลับมาเยี่ยมบ้าน บรรดาตา ยาย ลุงป้า ก็ต้องอยู่ต้อนรับ เราได้อยู่บ้านยายส่วนค่ะ ใครสนใจติดต่อที่เพจ Home stay Lablae - ลับแลโฮมสเตย์อุตรดิตถ์ ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะมีคนแนะนำเราเองค่ะ ถึงแล้วบ้านยายส่วน หน้าบ้านขายของด้วย ถามมาตลอดทางจริงๆ เหนื่อยสายตัวแทบขาด ปั่นมา 12 กิโล มาถึงแล้วโล่งเลย พูดคุยกับยายเสร็จ ยายก็บอกให้เราไปอาบน้ำพักผ่อน นี่แหละค่ะที่ซุกหัวนอนคืนละ 200 บาทของเรา นอนยังไงก็ได้อยู่ได้หมด แต่ยายไม่ให้นอนไม้บนบ้านนี่สิ คงเป็นห้องใหญ่ เรามาคนเดียวได้ห้องเล็กข้างล่าง เป็นปูนชั้นล่างเลย อากาศเย็นมาก ก่อนอื่นก็แกะไก่ที่หิ้วมาจากตลาดก่อน ยายพาชมรอบบ้านด้วยนะ ก็เหมือนบ้านต่างจังหวัดทั่วไป อบอุ่นดี ตอนแรกงง ไม่รู้ว่าคืออะไร อ่อ...เขาเอาไว้เล่นเปตองกันตอนหัวค่ำนั่นเอง ก่อนหน้านั้นคนที่เป็นผู้ประสานงานของที่นี่บอกแล้วว่า กิจกรรมอาจจะไม่มีอะไร นอกจากจะตามเจ้าของบ้านไปทำกิจกรรมต่างๆเช่นไปวัดยายบอกว่าที่นี่มันไม่มีอะไรนะ กลัวจะไม่สนุก ช่วงนี้มีแต่กิจกรรมแลกของขวัญ กิจกรรมของคนแก่ บอกยายว่าไม่เป็นไรค่ะ หนูตั้งใจมาปั่นจักรยานเที่ยวแถวนี้แหละ ยายก็แนะนำนั่นนี่ให้ โดยเฉพาะเรื่องการเที่ยววัด เราเลยพักผ่อนก่อน แล้วก็ออกไปปั่นจักรยานเล่น ที่นี่น้องหมาเยอะมากเลยนะ ใครกลัวก็ต้องใจแข็งหน่อย เดี๋ยวจะโดนแง่มขาเข้าให้ระหว่างปั่น วัดดอนคำ วัดแรกๆที่เห็นหลังจากปั่นออกมาจากโฮมสเตย์ เห็นห้อยระย้าลงมาขนาดนี้ สวยดี เลี้ยวเข้าไปถ่ายรูปสักหน่อย แต่ไม่ได้เข้าไปลึก วัดเงียบมากเลย จากที่ทราบข้อมูลมาคร่าวๆ ลับแลเป็นอำเภอเล็กๆก็จริง แต่มีวัดมากกว่า 40 วัด เชื่อเลยว่าเยอะมากๆ มีทุกๆ 200 ม. ปั่นไปตรงไหนก็เจอวัด ใครจะมาทำบุญ 9 วัดนี่แนะนำเลย เป็นวัดต่างจังหวัดที่เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย ดูเป็นวัดต่างจังหวัดที่ไม่เน้นธุรกิจเหมือนในเมืองกรุง เดินทั่วแล้วยังไม่เจอพระเลย เงียบมาก เลยทำให้แต่ละวัดไม่กล้าสำรวจเยอะ ค่อนข้างกลัวนะ เงียบเกิน แต่นี่แหละที่เขาเรียกว่าวัด ที่เราควรมาสงบจิตใจกัน วัดดอนสักนี่ยายแนะนำว่าต้องมานะ วัดเก่า โบราณ ขึ้นชื่อเรื่องเป็นไม้สักแกะสลักนี่แหละ เงียบเหมือนกัน เงียบมาก เงียบจนกลัว คือวัดต่างจังหวัดถ้าไม่มีช่วงเทศกาล งานบุญก็จะอารมณ์นี้กันหมดเลย พูดถึงประวัติอาจจะต้องไปทาง google นะ ไม่แม่นข้อมูลวัดจริงๆ วัดเงียบเหมือนเดิม ไม่มีใครเลย กว่าจะหาทางมาได้ ปั่นเข้าซอยด้วย ถามมาตลอดทางเลย ชาวบ้านก็รู้จักหมด ทั้งๆที่วัดเยอะมาก ปั่นจนทะเบียนรถหลุด ทางก็ไม่ค่อยดี 55555 กลัวปั่นเข้าซอยแล้วหลงอ่ะ เลยปั่นถนนใหญ่ไปมาอยู่นั่นแหละ น่องระบมหมดพอดี ปั่นไปดูทุ่งนาชาวบ้านบ้าง แต่ไม่ใช่ฤดูทำนาแล้ว เป็นฤดูปลูกกระเทียม คิดดูว่าถ้าฤดูทำนาคงสวยเนาะ พื้นที่ตรงนี้ติดถนนใหญ่เลย ดดแรงนะ แต่มันเป็นช่วงหน้าหนาวก็ไม่เปรี้ยงมาก ลมพัดตึงดี ให้สังเกตช่วงถนนและร้านตรงนี้ให้ด๊นะคะ เพราะตรงนี้เป็นทางขึ้นไปม่อนจำศีล ที่ที่น่ากลัวที่สุดของเราวันนี้ แล้วยังขึ้นไปคนเดียวอีก ปั่นจักรยานผ่านไปมาหลายที เพราะม่อนจำศีลอยู่ติดถนนใหญ่ทางไปแม่พูล เราจึงมาแวะสักหน่อย แต่เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว ด้วยความที่ไม่มีข้อมูลอะไร เลยเดินดุ่มๆมาเลย คล้ายๆเหมือนปรับเป็นสวนรุกขชาติ จุดพักผ่อนหย่อนใจของคนที่นี่นะ แต่พอขึ้นไปนี่ เฮ้ย! ไม่มีคนเลย มีแต่กิ่งไม้แห้งที่ร้างคนมากวาดนานแล้ว ข้างบนก็มีรูปปั้นหัวยักษ์ ศิลปะสมัยก่อน ที่ค่อนข้างน่ากลัวมาก มีพระพุทธรูปให้ไหว้ ตอนแรกขึ้นมาครึ่งทางกำลังจะกลับแล้ว เพราะเห็นรูปปั้นยักษ์ยกลำตัวพญานาคนี่แหละ เริ่มอึดอัด รู้ว่าไม่ธรรมดาละ รีบขึ้นไปละรีบลงมาดีกว่า 150 ขั้น กึ่งวิ่งกึ่งเดิน เหมือนมีคนมองไง เพราะความเก่านี่แหละที่ทำให้กลัว ขนลุกไปหมด น้ำตาจะไหล เหมือนกลัวอะไรก็ไม่รู้ ลงมาข้างล่างมีทางไปถ้ำอีกนะ เดินไปเรื่อยๆเริ่มเปลี่ยวลงทุกทีเลยเปลี่ยนใจกลับ ใจคอไม่ดี ถ้าปรับปรุงใหม่จะสวยและคนมาเที่ยวเยอะ เพราะดูมีความขลังเอามากๆ หลายๆวัดที่นี่อย่างที่รู้กันเป็นวัดต่างจังหวัด บางวัดเราเดินเข้าไปสำรวจไปเรื่อยๆ จนออกมาก็ยังไม่เห็นใครเลย เงียบมากถึงมากที่สุด ผ่านกลางคืนมีหลอนอ่ะ เพราะตะวันตกดินที่นี่ก็เงียบมากๆ มาถึงสาระกันบ้าง ทำไมถึงแอบกลัวล่ะ ก็ดูประวัติซะก่อนว่าที่นี่ไม่ธรรมดาเลย ประวัติม่อนจำศีล เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร เจ้าผู้ครองเมืองลับแลองค์แรก(พุทธศักราช 1513) ใช้เป็นที่บำเพ็ญศีลภาวนา เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2444 (ร.ศ.120) เป็นที่ตั้งพลับพลารับเสด็จรัชกาลที่ 5 ในคราวเสด็จประพาสเมืองลับแล เคยเป็นที่ตั้งของที่ทำการเมืองลับแล เมื่อปีพุทธศักราช 2444 พุทธศักราช 2450 รัชกาลที่ 6 เสด็จเมืองลับแลและได้พระราชนิพนธ์ ไว้ดังนี้ ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวเมืองลับแลออกจากที่พักที่อุตรดิตถ์แล้วได้เลยไปที่เขาม่อนจำศีล บนยอดเขานี้ แลดูเห็นแผ่นดินโดยรอบได้ไกล มีทุ่งนาไปจนสุดสายตา แลเห็นเขาเป็นทิวเทือก ซ้อนสลับเป็นชั้นราวกับกำแพง น่าดูหนักหนา เหมืองฝายในเขตลับแลนี้ พระศรีพนมมาศ ได้จัดทำขึ้นไว้มาก เป็นประโยชน์ในการเพาะปลูกมาก เพราะมีน้ำใช้ตลอดปี ที่ลับแลบริบูรณ์มาก ทั้งไร่นา และสวนผลไม้ต่างๆ.......อันนี้คัดสาระมาจากแผ่นป้ายหินบนม่อนจำศีลค่ะ.. เห็นป้ายแล้วบ้าจี้จะเดินไปถ้ำด้วยนะ แต่ก็ต้องถอย เพราะยุงตัวเท่าช้างและเข้าป่าไปทุกที ไม่ปลอดภัยแน่ เลยต้องหยุดความเผือกของตัวเองไว้ ขึ้นชื่อว่าอำเภอลับแล หลายคนที่ได้ยินเรื่องราวคร่าวๆคือเป็นเมืองแม่หม้าย เป็นเมืองที่ห้ามพูดโกหก แค่ชื่ออำเภอก็มีความลึกลับจนน่าค้นหาหรือน่ากลัวสำหรับใครอีกหลายคน ที่นี่มีวัดเยอะมากๆ ตั้งแต่ที่เราบอกไปตอนต้น ปั่นไปทางไหนก็เจอ การที่มีวัดเยอะขนาดนี้เราว่านี่แหละที่เป็นเสน่ห์และจุดขายของคนที่นี่ เพราะการที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองห้ามพูดโกหก เป็นสิ่งที่หล่อหลอมกันมาตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย จนสู่ลูกหลาน สู่การเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีต่อไปในอนาคต จึงทำให้ลับแล มีวัดมากมายขนาดนี้ แล้วยังปั่นไปตลาดเช้าอีกรอบ คือมั่นใจว่ามีตลาดเช้าแล้ว ใจกลางแบบนี้ยังไงก็ต้องมีตลาดเย็น ปั่นไปอีกครึ่งทางน่าจะแป๊บเดียว ไม่กี่กิโลน่า เลยไปไปหาอะไรกิน มีเซเว่นก็รอดตายแล้วอ่ะจริงๆ ยังมีอารมณ์มาดูพระอาทิตย์ลับของฟ้า ใจเย็นสุดอะไรสุด ปั่นไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก เย็นแล้วของจริง จักรยานแม่บ้านต้องปั่นอีก 12 กิโล ใช้เวลาเป็น ชม. เริ่มมืดทุกที จักรยานนักปั่นก็เริ่มมาปั่นตอนเย็นและแซงเราไปทุกคัน ปั่นจักรยานเข้าไปในอำเภอ 12 กม. ถ่ายรูป ชมนกชมไม้เพลิน จนลืมไปว่าต้องปั่นกลับ 12 กม. กลับมาถึงก็ทุ่มนึง มืดตึ๊บ! ยายยืนรอแถวหน้าร้านขายของแถวบ้าน บอกว่ารออยู่ กลัวเป็นอะไรไป ต้องออกมายืนรอริมถนน กลัวหลงแล้วเรามองไม่เห็นแก แกแอบบ่น "โอ้ยไปไหนมา หาเบอร์กันวุ่นเลย นึกว่าหลงแล้ว" นี่ก็แก้ตัวอีก "ก็รถหนูไม่มีเกียร์กับไฟ ปั่นมาช้าๆ เย็นแล้วรถก็เยอะด้วย" แล้วยายก็พามากินข้าวในบ้าน รู้สึกผิดอีกคือ ตายายเค้ารอเรากินข้าวอ่ะ ละแบบโอ้ยยยยยย....เราซื้อกับข้าวมาแค่ 2 อย่าง นึกว่ากลับมาต้องกินคนเดียว กลับมาแกคงเข้าบ้านนอนหมดแล้ว แต่ตากับยายทำให้กินแล้วรอกินด้วย รู้งี้ซื้อกับข้าวดีๆมาให้แกกินด้วยก็ดี แกกินแต่ผักหมดเลย กับข้าวบ้านๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไอ้เราก็ดันซื้อมาแต่แกงผักกับน้ำพริกอ่องที่ตัวเองชอบ เพราะชอบกินผัก ก็มีแต่ผักไปอิ๊ก เห็นแล้วนึกถึงยายที่บ้านเราต่างจังหวัดเลย รู้สึกผิด แต่ก็ดีใจ...อุตส่าห์หิ้วน้ำเต้าหู้จากในอำเภอมาฝาก ตายายแกก็รีบกินหลังอาหารเย็นเลย น้ำตาจะไหล และนี่ก็เป็นกิจกรรมเปตองลานหน้าบ้านยายอย่างที่บอก ตื่นสายของอีกวัน (ความจริงมันก็ไม่สายมาก) ตื่นมาก็ว่าทำไมยายกวาดบ้านนาน ที่ไหนได้ แกฆ่าเวลารอเราออกมากินข้าวด้วย โอย....ที่พักจ่ายแค่ 200 บาท แต่ได้น้ำใจงามขนาดนี้ก็บุญแค่ไหนแล้ว ตอนแรกไม่รู้เลยว่ามีอาหารให้ทุกมื้อ กะออกไปหากินเองหมด ตอนเย็นเมื่อวานซื้อข้าวมา ยายหุงข้าวให้แต่เราควักข้าวเหนียวที่ซื้อมาเองกินใหญ่เลยจ่ะ มาเหนือก็ต้องกินข้าวเหนียว เมื่อวานตอนเย็นยายถาม (เป็นภาษาเหนือนะ) "อ้าวหนูกินข้าวเหนียวเหรอ" พอเช้าวันรุ่งขึ้นยายเลยจัดข้าวเหนียวให้ 1 กระติ๊บคนเดียว คงนึกว่าอยู่ กทม.นานไม่กินข้าวเหนียวแล้ว ยายยังถามอีก "อ้าว! กินผักชีด้วยเหรอ" "โหยยยย..หนูตัวกินผักเลย กินผักทุกอย่าง" ยิ่งเจออาหารบ้านๆ ผักเยอะๆยิ่งกินเก่ง ยายบอกเมื่อก่อนก็มีผู้หญิง 2 คนมาพักที่นี่ เป็นคนหนองคายกับคนภูเก็ตนัดกันมาพักที่นี่ ต้มผักให้กิน ดีใจใหญ่เลย ยิ้ม 55555 ไม่คิดว่าจะชอบกินผัก เม้าท์มอยกับยายเป็นภาษาเหนือเพลินเลย อาหารเช้าก็เพลิน ผักเยอะ กินเสร็จช่วยเขาล้างจาน กวาดบ้านอีก ดีจัง นี่จ่าย 200 ไม่คิดว่าจะมีให้กินข้าวกับเจ้าของบ้านด้วย อาหารก็พื้นบ้านธรรมดาแต่เรากินได้หมด ไม่เรื่องมากเลย เป็นน้ำใจที่เขาทำให้นะ เช้าวันนี้ยายแนะนำให้ไปดูพระธาตุกลับหัวที่วัดท้องลับแล เฮ้ย! มีด้วยเหรอ มีเหมือนลำปางเลย สารภาพว่าไม่ได้หาข้อมูลเรื่องนี้มาเลย แต่เมื่อเราได้พูดคุยกับคนท้องถิ่น มันก็เป็นข้อดีแบบนี้แหละ ได้รู้อะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะที่เที่ยวแปลกใหม่ ก็ได้เรียนรู้จากคนในท้องถิ่น ปั่นไปกันเลย แต่ก่อนไป ขอคั่นเวลาเล่าเรื่องข้าวพันผัก ของดีของเด็ดเมืองลับแล ไม่กินเหมือนมาไม่ถึง เมื่อคืนยายก็ให้กินที่ร้านแถวบ้านแล้วยังเอาแบบแผ่นให้เคี้ยวเล่นอีกด้วย อาหารที่ดีที่สุดของแต่ละจังหวัดไม่ใช่ร้านอาหารหรู แต่มันคืออาหารจากคนท้องถิ่น ที่ไปแล้วก็ต้องกินเหมือนเค้าให้ได้ ถ้าอิดออด เรื่องเยอะ อะไรก็ไม่กิน ยากค่ะ ที่คุณจะแบคแพคเที่ยวเองแบบลุยๆได้ "ข้าวพันผัก" เห็นเค้าบอกว่ามาถึงแล้วก็ต้องกินให้ได้ ของดีที่นี่เค้า ก็ไม่ได้อะไรหรอก คือมันมีขายตลอดทางเลย เรางงมาก เกิดมาไม่เคยเห็นไง ไม่เคยเห็นที่ไหนกินกัน ต้องกินซะหน่อย แต่ดันอร่อยมาก ถ้าเห็นในอัลบั้มรูป จะเห็นแป้งเป็นแผ่นๆที่ชาวบ้านตากไว้หน้าบ้าน ปั่นจักรยานเล่นนี่เจอเกือบทุกบ้านที่ทำขายเลย ข้าวพันผักก็อารมณ์เรากินผัดไทย เป็นแบบแป้งนุ่ม ส่วนแป้งแผ่นตากแห้งเอาไว้เคี้ยวเล่น ข้าวพันผักเสิร์ฟเป็นจาน เป็นแป้งห่อผัก วุ้นเส้น เต้าหู้ อะไรก็ใส่ไปแล้วแต่ชอบ มีเครื่องปรุงก๋วยเตี๋ยว คนที่นี่กินผักเก่งเนอะและโชคดีที่เราเป็นคนกินผักเก่งเช่นกัน กินของแปลกๆได้ เค้าให้กินอะไรก็กิน ยายเจ้าของโฮมสเตย์บอก แผ่นที่เค้าตากไว้อ่ะ พอแห้งแล้วก็กินเปล่าๆได้เลย ยายยื่นให้เรากินฟรีตั้งหลายอัน เกรงใจ ความจริงเราซื้อก็ได้ ข้าวพันผักก็ถูกมาก ราคา 25 บาท อร่อย อิ่ม เป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ หลังจากที่ไปปั่นจักรยานกลับมาจนค่ำ คนเขารู้กันทั้งซอยเลยจ้า ตอนไปซื้อข้าวพันผักกิน ป้าเจ้าของร้านบอก "อ๋อ...คนนี้ใช่มั้ยที่ปั่นจักรยานมาคนเดียวอ่ะ เมื่อคืนยายเค้ายืนรอเราหน้าบ้านรู้รึเปล่า กลัวเราหลง เข้าบ้านไม่ถูก ปั่นมาจะได้เห็นยาย ยายเค้าก็มีลูกสาว ยายเค้าก็เป็นห่วง บอกว่าหอบกระเป๋ามาแล้ว กระเป๋าอะไรก็ยังอยู่ จะไปไหนได้ ต้องกลับมา" ป้าพูดซะรู้สึกผิดมากเลย "ก็รถหนูไม่มีเกียร์ ปั่นช้าอ่ะ" นี่ก็แถหนักเช่นกัน เรียกได้ว่ามีแทบทุกบ้านที่เอาแผ่นแป้งมาตากหน้าบ้านแบบนี้ ทั้งทำขายและกินเองด้วย รวมถึงอย่างอื่นที่ตากเต็มไปหมด อยู่กันแบบชาวบ้านจริงๆ อยู่กรุงเทพก็ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้หรอก หาอยู่นานเหมือนกัน ถามทางไปวัดท้องลับแลตลอดทาง เข้าซอยไปอี๊ก โอ๊ยถึงแล้ว หายเหนื่อย วัดเงียบมาก เจอหลวงพี่ก็ถามหาหลวงพ่อ จะขออนุญาตเข้าไปดูภาพกลับหัว หลวงพ่อบอกรอแป๊บนะ ท่านมีกิจอยู่ น่ารักอ่ะน้องหมาวิ่งดุ๊กดิ๊กรอกินข้าวเต็มเลย หลวงพ่อใจดีมากอ่ะ ตอนแรกก็เกรงใจ มาดูคนเดียว ปฏิบัติตัวตอนอยู่กับพระสงฆ์ไม่ถูก ไม่ค่อยได้ทำบุญที่วัด แต่จะชอบเข้าไปถ่ายรูปในวัดมากกว่า ภาพเบลอละ แสงน้อย เพราะต้องปิดประตูและหน้าต่างทุกบาน ตื่นเต้นมาก ท่านให้หลับตาก่อนด้วยเพื่อปรับสายตาแล้วค่อยๆมอง แล้วภาพวาดข้างในนี้ก็สวยมากด้วยนะ ค่อยๆจ้องไปพื้นที่ว่างเปล่า โหยยยยย ตื่นเต้น งี้เลยเหรอ งี้เลย ภาพใหญ่ ดูได้ใกล้มากๆ ถ้ากล้องดีๆคงถ่ายได้ชัดกว่านี้ ลำปางก็มีที่พระธาตุลำปางหลวงค่ะ อันนี้เป็นการหักเหของแสงที่เกิดจากความบังเอิญ แต่ลำปางห้ามผู้หญิงเข้าไปดู แต่ที่นี่ผู้หญิงดูได้ ยกเว้นคนมีประจำเดือนห้ามเข้า ลองมาดูข้างนอกบ้างว่าของจริงที่กลับหัวเป็นยังไง ขอบคุณหลวงพ่อ แล้วก็ออกมาถ่ายรูปบริเวณวัดนิดหน่อย พร้อมกับเสียงน้องหมาที่เห่าเราตลอดเวลา จากที่ดูข้อมูลในเน็ต เขาบอกว่าวัดนี้ไม่พบที่มาว่าสร้างขึ้นเมื่อใดด้วย ทั้งแปลกทั้งลึกลับไหมล่ะ ลับแล เป้าหมายสุดท้ายของบ่ายนี้ก่อนกลับรถไฟเย็นนี้ น้ำตกแม่พูล ซึ่งนั่นก็หมายความว่าต้องปั่นย้อนกลับไปโฮมสเตย์อีกแล้ว ปั่นวนอยู่แค่นี้ แวะชมระหว่างทาง เจออะไรที่ชอบก็ถ่ายมา ความจริงห่างจากที่พักเราแค่ 2-3 กม. แต่ก็ปั่นมาวัดก่อน น้ำไม่ค่อยเยอะนะ ไม่ใช่ฤดูน้ำตก ไปสูดบรรยากาศให้สดชื่นแล้วปั่นกลับ ปั่นจนน่องระบม ทั้งฝุ่น ทั้งเหงื่อ ทั้งเพลีย ร่างกายต้องการความหวาน หลังจากลงจากน้ำตกแม่พูลมา เจอร้านกาแฟสดสะพานสองพอดี แวะซื้อโกโก้ปั่นแก้วละ 30 บาท จะกินกาแฟเย็นก็ไม่ได้ไง นี่เลิกกาแฟเย็นอยู่ น่าจะเป็นร้านเดียวที่ใหญ่สุดละแวกนี้ละ แต่ก็ยังดูเล็กอยู่ดี ตกแต่งสีลูกกวาดมาก อ้าว! ข้างล่างลงไปนั่งได้เหรอ มีที่ให้นั่งด้วย แต่ถอดรองเท้านะ เอาเท้าลงน้ำแป๊บเดียวก็ต้องเอาขึ้น ปลารุมเร็วมาก จั๊กจี๋ เท้าสกปรกมากจริงๆ ปลาตอด น้ำก็เย็น ปลาก็แทะนิ้วจนจะหายอยู่ละ #ขออภัยที่โพสต์รูปเท้าไม่สุภาพ อ่อ...ข้างๆก็ทำเป็นที่พักด้วย จำไม่ผิดชื่อพลอยพนานะ ที่พักได้บ้านเป็นหลังเลย หลังละ 500 ทำนองนี้ ถูกมากๆ มีแค่ 2 หลังด้วย ติดกันก็เป็นร้านกาแฟนี่แหละ เหมือนใครไม่เน้นมาปั่นก็มาพักชิลล์ๆ ที่พักริมลำธาร ใกล้ป่าเขาติดร้านกาแฟ อันนี้ไม่มีเบอร์ให้นะจ๊ะ ไปหากันเอง พักขาแล้วก็ต้องรีบกลับ กะเวลาไปเก็บของ ปั่นไปอีก 12 กม. เอาจักรยานไปคืน ไปรอรถเข้าสถานีรถไฟ ต้องเผื่อเวลาหลายอย่างเลย ไปเก็บของที่บ้าน แล้วได้เวลา ลาตากับยาย ท่านผูกข้อมือให้พรด้วย เราน้ำตาจะไหล น้ำตาคลอจริงๆเหมือนไม่อยากไป ยายบอกว่าเคยมีผู้หญิงมาจากภูเก็ตและหนองคายเหมือนนัดกันมาพักที่นี่เหมือนกัน มีคนแวะเวียนมาเรื่อยๆตายายก็ไม่เหงาดีนะ แต่ลูกแกก็เปิดร้านขายของหน้าบ้านนั่นแหละ เป็นประสบการณ์ปั่นจักรยานสุดโหด การค้นพบความลับที่ไม่ลับอีกต่อไปในเมืองนี้ที่น่าจดจำจริงๆ ยายบอกเขียนให้หน่อย ลองอ่านดู มีแต่คนประทับใจหมดเลย รู้สึกเหมือนบ้าน ปั่นไปอีกไกลค่ะงานนี้ ลานโล่งๆเมื่อวานที่เรามาถ่ายรูปเล่นตรงนี้ เนรมิตรเป็นลานจอดรถขายของตลาดนัดไปแล้ว ใจอยากแวะนะ แต่ไม่ทันแน่ กลัวตกรถไฟ เลยปล่อยผ่านไป ยังจำลุงคนที่เราเล่าวันแรกได้ไหม พอถึงวันกลับแกโทรมาด้วยนะตอนที่กำลังจากออกจากบ้าน 4 โมงลุงโทรมา อยู่ไหนแล้ว? ลุงเอารถมาซ่อมจะได้กลับด้วยกัน "โอ๊ย..ยังอยู่แม่พูลอยู่เลย กว่าจะปั่นจักรยานถึงในอำเภอตั้งชั่วโมง ลุงไปก่อนเลย เกรงใจ" ลุงแบบ...จะไปคนเดียวได้ยังไง ผู้หญิงมาคนเดียว เดี๋ยว 5 โมงโทรหา พอเอาจักรยานไปคืนที่ศูนย์นักท่องเที่ยว โทรมาจริงๆจ้า บอกว่ารอหน้าประตูเมืองเดี๋ยวมา ก็มาจริงๆ ปัดฝุ่นให้ด้วย เบาะเป็นฝุ่นแดงเหมือนไปทุ่งนามา ตะโกนเรียกเรา "เอิ้ว!" แล้วลูกสาวแกขับ มอเตอร์ไซค์มาพอดี "เออนี่ซ้อนมอไซค์ไปเลยละกัน เดี๋ยวลูกสาวไปส่ง" เวลารวดเร็วไม่ทันคิดเลย ขึ้นมอไซค์พาแว้นไปสถานีรถไฟเลยจ้า น้องบอกแล้วแต่จะให้ เลยให้ค่ารถไป 50 บาท คนที่นี่พอเจอเราจะพูดภาษากลางหมด เพราะดูเป็นคนแปลกหน้า แต่พอทักเป็นภาษาเหนือ ดูเค้าใส่ใจเรามากขึ้น สนิทเราเร็วขึ้น ไว้ใจกันเร็วขึ้น เวลาเที่ยวเหนือ พูดเหนือได้ให้พูดค่ะ เอาตรงๆอย่าดัดฯพูดกลาง แล้วจะรู้ว่าคนเหนือน่ารักขนาดไหน คนที่นี่น่ารักมาก พูดไม่เก่ง เราต้องชวนเค้าคุยเยอะๆ เค้าจะคุยจ้อเลย ประทับใจที่สุด สมบุกสมบันสุดๆ ตอนขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วคิดว่าควรถ่ายรูปลุงไว้รูปนึงเก็บไว้ ตอนเจอแกครั้งแรกดูแกเป็นคนเคี่ยว แต่ที่ไหนได้ ใจดีมาก ยิ้มส่งตอนเรากลับด้วย แนบภาพปลากรอบ ระหว่างลูกสาวแกแว้นไปส่งที่สถานีรถไฟ เม้าท์มอยกันไปตลอดทาง ดีใจอ่ะ มาที่นี่เจอแต่คนใจดีเต็มไปหมด อ้าว...หิวอีกแล้ว กินอะไรรองท้องก่อนรถไฟมาเถอะ อะไรก็ได้ เดินเจออะไรก่อนก็กิน มาเร็วดีกว่ามาช้า ไม่อยากตกรถไฟ ตกแล้วตกเลยจริงๆ ตอนนี้ลับแลก็อยู่ในแคมเปญเมืองต้องห้ามพลาด ที่คิดว่าอีกหน่อยต้องมีนักท่องเที่ยวเยอะมากแน่ๆ เสาร์อาทิตย์ก็จะมีถนนคนเดินและสวนน้ำจัดให้นักท่องเที่ยวด้วย ยิ่งนักท่องเที่ยวเยอะมากเท่าไหร่ เรากลับยิ่งกลัวว่าเสน่ห์ของที่นี่จะหายไปทุกที ขอแค่อย่างเดียวจริงๆ พัฒนาเรื่องการท่องเที่ยวแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้เสน่ห์ในท้องถิ่นไม่หายไปคงจะเริ่มจากตัวของนักท่องเที่ยวอย่างเราๆเท่านั้นที่จะช่วยกันได้ เที่ยวในแบบที่กลมกลืนไปกับคนท้องถิ่น มันสนุกที่สุดแล้วนะเราว่า วันนี้อุตรดิตถ์และเมืองลับแลคงจะไม่ใช่ทางผ่านสำหรับหลายๆคนอีกต่อไป ความลับต่างๆในเมืองนี้เราออกมาเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ ออกเดินทางให้มากกว่าการออกมาเที่ยวแล้วเก็บไปแค่ภาพถ่ายสวยๆอย่างเดียว ความหมายของชีวิตยังมีอยู่รอบตัวเราจริงๆค่ะ ค่าเสียหาย รถไฟ ไป-กลับ 192+192 = 384 บาท ค่าที่พัก 200 บาท ค่าสองแถว+มอเตอร์ไซค์ เข้าออกอำเภอ 50+50 = 100 บาท รวม 684 บาท ที่เหลือค่ากินจุกจิก ไม่ได้กินร้านอาหารแพง มื้อละ 30-40 บาท ตีไป 300-500 บาท ก็ว่ากันไป อาจจะไม่ถึงพันหรือพันนิดๆเองค่ะทริปนี้ คุ้มแล้วกับการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆแบบนี้ ใครชอบเที่ยวคนเดียว เราคือเพื่อนกัน คุยกันได้ในเพจ "จะเที่ยวคนเดียว" เหมือนเดิมนะคะ