ช่วงบ่าย เรานั่งเรือไปที่หาดไร่เลย์ ไปยังร้านที่ให้บริการปีนหน้าผา เจ๊เจ้าของร้านถามพวกเราก่อนเลยว่า “มีใครไม่อยากปีนไหมคะ” พวกเราได้แต่ยืน งงๆ ยิ้มๆ เจ๊เลยสรุปว่า “โอเค อยากทุกคนนะคะ” จากนั้นเจ๊ก็จัดแจงอุปกรณ์ให้พวกเรา
เจ๊ให้เราบอกขนาดเท้าของเรา เพื่อเลือกรองเท้าปีนหน้าผาให้ ซึ่งควรจะขนาดพอดีเท้า ไม่หลวม เพราะรองเท้าพวกนี้มันจะทำให้นิ้วเท้าเรางุ้มนิดหน่อย และมียางแบบพิเศษที่เกาะผาได้ดี เหมาะกับการปีนผาที่จะต้องใช้ปลายเท้าเกาะที่หน้าผา จากนั้นเจ๊ก็ให้สวมอุปกรณ์อื่นๆ แล้วก็ห้อยถุงแป้งคนละใบ ไว้ใช้ทามือกันลื่นระหว่างปีน
จุดปีนผาไร่เลย์จะต้องเดินฝ่าโรงแรมไปอีกฝั่งหนึ่ง จะเห็นคนปีนกันหลายคน ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งหน้าผาแผ่นเดียวติดๆกันนี่แหละครับ แต่จะใช้เส้นทางปีนต่างกัน ก็ทำให้ความยากง่ายต่างกันมากเลยทีเดียว
และช่วงปีน ถ้าเป็นมือใหม่ จะมีเชือกมัดเราไว้ และมีคนดึงอยุ่ข้างล่างเพื่อความปลอดภัย
แต่แม้กระนั้น… อ้วนๆ อย่างตู ห้อยบนเชือกเส้นเดียว.. มันจะเอาอยู่หรอว้าาาาT-T
ตรงนี้จะมีผาเล็กๆให้ลองปีนด้วย ใครไม่ชิน หรืออยากวอร์ม ก็ลองตรงนี้ได้เลย ซึ่งระหว่างรอเพื่อนปีนหน้าผาใหญ่ ผมลองปีนดู เออ ก็ปีนได้นี่หว่า ค่อยมีกำลังใจปีนผาใหญ่หน่อย(นึง)
ผมให้เพื่อนปีนผาใหญ่กันให้หมดก่อน ขอเป็นคนสุดท้าย คือ ไม่ได้กลัวนะ แต่แมนๆไง ตามนโยบาย “เพื่อนต้องมาก่อนเสมอ”
แต่รู้สึกว่าคิดผิด เพราะเพื่อนปีนกันถึงทุกคนเลย แม้แต่เพื่อนผู้หญิง..
“ตายหละฉัน กดดันละถ้าตรูไปไม่ถึง อายเลยนะเว้ยๆ” คิดในใจเงียบๆ พร้อมก้มหน้าเศร้าๆ ยืนเอามือกุมเป้า
พอถึงคิวเราปีน..
ช่วง2-3 เมตรแรก ไม่สูง ชิลๆ มีที่วางเท้าพอควร มีที่ให้มือจับได้เต็มมือ
กระเถิบไปอีกหน่อย 5-7 เมตร เริ่มจะหวั่นใจ ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวแทน และยืนด้วยปลายเท้า
ที่สำคัญ เริ่มเมื่อยขาครับ.. ในใจก็คิดว่าทำไมพี่แกไม่พามาปีนผาก่อนไปปีนเขาหงอนนาคว้าาา
บางช่วงมันต้องแหกขากว้างๆ แล้วถีบดันตัวเองขึ้นไป คือ ไอ้เราก็เคยแต่ทำท่า squat แบบเต็มเท้า (ท่าลุกนั่งๆ) ไม่เคยจิกปลายเท้าทำเลย แต่นี่ฉันต้องยันตัวขึ้นด้วยปลายเท้าตลอดการปีนหรอนี่ โอ้ยยย.. (ระหว่างที่คิด อยู่ในท่าแหกขาร้อยองศา และน่องกำลังสั่นกะพรือ)
อุปสรรคอีกอย่าง ไกด์ที่คอยรั้งเชือกเซฟเราอยู่ข้างล่าง จะตะโกนบอกเส้นทางปีนอยู่ตลอด ซึ่งก็ดีมากครับ ไม่ต้องคลำเอง
แต่ๆๆ.. ตรงนั้นก็มีไกด์ของทีมอื่นด้วย น่าจะร่วมสิบ คราวนี้เสียงมันตีกันปนเปเลยครับ ทั้งภาษาไทย อังกฤษ จีน
“เอ๊ะ นั่นเสียงไกด์ตรูหรือเปล่าวะ”
“เอ๊ะ ทำไมตอนแรกบอกซ้าย ทำไมอีกทีบอกขวา”
คือ จะเหลือบตาลงไปมองก็เสียว จะเหลียวหน้าหันไปมองก็จกร่วง
ต้องพยายามจำเสียงไกด์ตัวเองให้ได้ แล้วไม่ตื่นเต้น
ตอนใกล้จะถึงจุดปลายทาง เป็นช่วงที่ค่อนข้างยาก
“เท้าขวายืนตรงเท้าซ้ายเลยๆ” ไกด์ตะโกนมา
ไอ้เราก็ก้มลงไปมอง มีแง่งหินเล็กๆ ประมาณ 1×1 นิ้ว
“เอ้ย มัน ยืนไม่ได้ว่ะ ยืนแล้วร่วงๆ”
“ได้ดิพี่ ลองดูๆ เท้าขวายืนตรงเท้าซ้ายๆ”คิดในใจ “เมิงจะให้กรูเอาเท้าขวายืนเหยียบบนเท้าซ้ายหรอวะ!..”
ตอนนั้นเลยต้องถอยเท้าซ้ายออก ไขว้เท้าขวามายืนแทน แล้วแหกเท้าซ้ายไปเหยียบที่อื่น (ที่คิดว่าไม่น่ายืนได้ แต่รองเท้ามันเจ๋งมาก มันเกาะหนึบเลย) แล้วใช้มือเกาะหิน ดึงตัวพร้อมๆกับยืดขาด้วยปลายเท้า
นี่ตรูฝึกเป็นแพะภูเขาอยู่ใช่ไหม…
ในที่สุดก็ทำได้..
ช่วงขาลง ไม่ต้องปีนลง แต่ห้อยตัวลงมาเลย ผมว่ามันเสียวกว่าตอนขึ้นอีกนะ หวิวๆ
แต่พอลงไปสักระยะ เออ สนุกดีอ่ะ ฮ่าๆ
จบจากการปีนผา คราวนี้เราไปต่อกันที่โรยตัวจากหน้าผา
ซึ่งต้องเดินอ้อมกลับไปทางหน้าหาดไร่เลย์ และเข้าไปในถ้ำ
ในถ้ำแสงเข้าไม่ถึง แม้ระยะทางไม่ไกล แต่ต้องปีนบันไดสูงและชัน ต้องพกไฟฉายคาดหัวไปด้วย
ณ ปากถ้ำตรงจุดโรยตัว วิวอ่าวไร่เลย์อย่างสวยเลยครับท่านผู้ชม โปรดดูตามภาพประกอบ
และ ณ จุดนี้เช่นกัน โรยตัวลงไปก็โครตเสียวเลยครับ
เพราะเราไม่รู้ว่าข้างล่างมีอะไรบ้าง มันจะไม่เหมือนตอนที่เราปีนเองแล้วโรยตัวลงมาเอง
จบกิจกรรมสามเสียว ก็หกโมงพอดี ได้ทันเห็นพระอาทิตย์ตกที่ไร่เลย์ ก่อนกลับ
คืนนั้นเรากางเต๊นท์นอนที่หน่วยอุทยานแห่งชาตินพรัตน์ (อยู่ตรงทางไปท่าเรือ) ซึ่งผมก็รู้ว่าเปิดให้นอนได้ เป้นทางเลือกอีกทางที่ไว้ไปนอนแบบประหยัดค่าโรงแรม
ทริปนี้ทุกคนปลอดภัย และเป็นการไปเที่ยวกระบี่มุมมองใหม่ของผมจริงๆ
ต้องขอบคุณพี่ดี้ผู้นำทริป และเพื่อนทุกคนที่ไปสนุกและคอยช่วยเหลือกันและกันครับ
ขอบคุณภาพจาก พี่ดี้, มิ้น, กุ๊ก, ยุ, พี่หนุ่ม, แอม ด้วยครับ
ปล. ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเดินป่าปีนเขาแบบเดิมดีกว่า ปีนหน้าผาดูจะไม่ใช่แนว ฮ่าๆ เสียววุ้ย