แอบอิงพิงริม “โขง” เลาะโขงเจียมเลียบถึงสามพันโบก
เริ่มจากความคิดว่า หากปีนี้ยังไม่ได้ไปก็อย่าเรียกตัวเองว่าคนรักการเดินทางอีกเลย เพราะตั้งเป้าจะเที่ยว “สามพันโบก” มาหลายปีดีดัก สุดท้ายเลื่อนตลอดยังไม่ได้ไปสักที เคยมีโอกาสโฉบไปแถวนั้นเรื่องการงานก็ดันเป็นช่วงฤดูฝนน้ำนองเต็มตลิ่ง ปีนี้จึงตั้งเป้าว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ต้องไปให้ได้ ยิ่งประกอบกับย้ายจาก กทม. มาอยู่โคราช การเดินทางจึงย่นระยะตั้งเยอะ
พอตัดสินใจแบกเป้ไปสามพันโบกแล้วก็ต้องหาข้อมูล ค้นไปค้นมาพบว่าในตัวเมืองอุบลมีร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ร้านหนึ่งชื่อ เจเจ รถเช่า โทรศัพท์ไปสอบถามค่าเช่าวันละ 250 บาท มัดจำอีก 1,000 บาท อ่านเพจของเขาในเฟซบุ๊คแล้วโอเคดี เข้าทางเลยสิเพราะแหล่งท่องเที่ยวเลียบน้ำโขงของอุบลนั้นจะเที่ยวให้ทั่วโดยไม่มีรถถือเป็นเรื่องลำบากทีเดียว
ผมไปคนเดียวไม่ต้องมีอะไรมาก ยัดเสื้อผ้าใส่เป้ กล้อง ขาตั้ง เต็นท์อีกหนึ่งหลังแบกไปหาที่นอนเอาดาบหน้า เดินทางด้วยรถไฟฟรีขบวนท้องถิ่น 421 นครราชสีมา-อุบลราชธานี เที่ยวเช้า 6.10 น. กำหนดเวลาตามหน้าตั๋วคือหกชั่วโมง ขึ้นต้นทางแบบนี้ก็หาที่นั่งสบายเลย
จากโคราชไปอุบล นึกภาพแผนที่แว้บขึ้นมาคือผ่าน บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อนาคตคงได้มาเที่ยวจังหวัดพวกนี้บ้างแหละ และเหลือเชื่อครับเพราะไม่ได้เจอ รฟท. ตรงเวลาขนาดนี้มานานแล้ว ถึงสถานีอุบลราชธานีเลยเวลาตามตารางแค่ห้านาที สุดเซอร์ไพรส์จริงๆ (ฮา...)ได้ความรู้ใหม่ว่าสถานีรถไฟอุบลอยู่อำเภอวารินชำราบ ไม่ใช่อำเภอเมือง แต่ไม่ต้องตกใจอะไรหรอก เพราะตัวอำเภอวารินกับตัวเมืองอุบลติดกันนั่นแหละ แค่ตั้งคนละฝั่งของแม่น้ำมูล สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่ามีสองแถวจากตลาดเทศบาลวารินต่อเดียวถึงสี่แยกวัดแจ้ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ หรืออีกวิธีถ้าไม่อยากเดินจากสถานีรถไฟไปตลาดวารินคือนั่งสองแถวสีขาวหน้าสถานีเข้าตัวเมืองแล้วค่อยต่อรถสายอื่น ผมเลือกแบบแรกครับเดินไปขึ้นรถที่ตลาด 700-800 เมตร เห็นจะได้
ยี่สิบนาทีรถสองแถวหวานเย็นก็พาผมเข้าเมืองผ่านโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ (คนที่นี่เรียกว่าโรง’บาลใหญ่) สถานีตำรวจภูธรเมืองอุบลราชธานี มาถึงสี่แยกวัดแจ้ง ร้านเจเจมอเตอร์ไซค์เช่าอยู่แถวแยก เดินแค่ไม่กี่สิบเมตร เจรจาพาทีกันแป๊บเดียวก็ได้พาหนะสำหรับทริปนี้มาครอบครอง ทางร้านยิ้มแย้มบริการดี ร้านนี้ไม่ได้มีแค่มอเตอร์ไซค์นะครับ รถเก๋ง อีโคคาร์ มีหมดรับรถได้ที่สนามบินด้วย
ผมตั้งใจเที่ยวเป็นสามเหลี่ยมคือจากตัวเมืองไปอำเภอโขงเจียม เลาะแม่น้ำโขงจนถึงอำเภอโพธิ์ไทร สามพันโบก แล้วตีรถกลับเมืองอุบล เริ่มต้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ เขื่อนปากมูล โขงเจียม ระยะทางจากตัวเมืองสัก 80 กิโลเมตร เส้นทางง่ายๆ คือจากตัวเมืองไปอำเภอวารินชำราบ (ย้อนกลับไปสถานีรถไฟ) เข้าอำเภอพิบูลมังสาหาร จนถึงอำเภอโขงเจียม เริ่มแว้นออกตัวใกล้บ่ายสอง ผ่านอำเภอพิบูลมังสาหาร เจอป้ายสถานที่ท่องเที่ยวแก่งสะพือ ขอโฉบแวะสักนิด เป็นแก่งหินกลางแม่น้ำมูล พื้นที่จัดทำเหมือนสวนสาธารณะให้นักท่องเที่ยวประชาชนมาพักผ่อนหย่อนใจ ผมถ่ายรูปอยู่สักพักก็ไปต่อถนนจากพิบูลมังสาหาร สู่โขงเจียมค่อนข้างดี ขี่มาเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอป้ายบอกสู่อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะเองแหละ เลี้ยวตามป้ายสักพักจะพบเขื่อนปากมูล ขี่รถข้ามสันเขื่อนไปได้เลย ทะลุออกมาแล้วเลี้ยวซ้ายนิดเดียวเป็นอันถึงที่ทำการอุทยานฯ
แก่งตะนะเป็นแก่งหินกลางแม่น้ำมูลช่วงก่อนไหลลงแม่น้ำโขงไม่ไกล หน้าแล้งแบบนี้เขื่อนปากมูลกักน้ำ บริเวณนี้จึงกลายเป็นแก่งหินสวยงาม ผมเคยมาครั้งหนึ่งตอนหน้าฝนจะไปเห็นอะไรเล่า ต้องแบบคราวนี้สิถึงจะเรียกว่ามาถึงที่และถูกเวลา
ในอุทยานฯ มีร้านอาหารขายถึงห้าโมงเย็น ผมกางเต็นท์นอนก็ตามสูตรคือต้องสั่งใส่กล่องไว้ก่อน มีเต็นท์ผมหลังเดียว ห้องน้ำห้องท่าโอเค ตกค่ำมีเจ้าหน้าที่มานอนดูแลความปลอดภัยอยู่ที่อาคารบริการนักท่องเที่ยว เข้าไปชาร์ตแบตข้างในได้ คืนนี้ดาวพราวฟ้ายังไม่ทันไรผมก็ยอมแพ้สลบเหมือดแล้วล่ะ ตอนเช้าตื่นมาเดินถ่ายรูปชมแก่งตะนะให้ฟินสมใจอีกสักรอบ ผมชอบแดดช่วงสายมากกว่าตอนบ่าย แก่งหินงามมาก น้ำนิ่ง นักท่องเที่ยวน้อย บรรยากาศสงบเงียบ มองจากแก่งตะนะจะเห็นสะพานแขวนข้ามไปเกาะกลางแม่น้ำชื่อว่าดอนตะนะ ทางไปสะพานแขวนอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานฯ และบ้านพักนักท่องเที่ยว ไปชมวิวกันได้ครับ นอกจากแก่งตะนะกับสะพานแขวน ในอุทยานฯ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติสั้นๆ ชื่อว่าลานผาผึ้ง ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร ไปกลับก็ 3 กิโลเมตร ระหว่างทางมีทางแยกไปถ้ำพระ กับน้ำตกรากไทร ซึ่งเป็นเหมือนน้ำใต้ดินไหลย้อยมาตามรากไทรที่ยึดติดกับหน้าผา ลักษณะจริงไม่ได้เหมือนน้ำตกหรอกครับ ส่วนถ้ำพระเป็นถ้ำแบบชะง่อนผาขนาดเล็ก จากชื่อคงพอรู้ว่ามีการค้นพบพระพุทธรูปต่างๆ เมื่อก่อนเคยมีพระสงฆ์ธุดงค์จำวัดที่นี่ ผมนั่งคุยกับท่านอยู่นานเป็นชั่วโมง แต่ตอนนี้ท่านไม่อยู่แล้วครับ อุทยานฯ ไม่อนุญาต ส่วนลานผาผึ้งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่ช่วงนี้หน้าแล้งสภาพลาญหินกว้างๆ แลดูร้อนระอุอย่างที่เห็นครับ ช่วงเหมาะเที่ยวต้องเป็นปลายฝนต้นหนาว พวกดอกไม้ป่าจะพากันออกดอกให้สดชื่น สำหรับหน้าร้อนถ้าไม่อยากอาบแดดไม่ต้องขึ้นมาก็ได้นะ (ฮา...) ออกจากอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ เป้าหมายต่อไปคืออุทยานแห่งชาติผาแต้ม ระหว่างทางแวะชมน้ำโขงที่ตัวอำเภอโขงเจียมสักหน่อย ตรงนี้เป็นจุดชมวิวแม่น้ำสองสี หมายถึงแม่น้ำมูลไหลบรรจบแม่น้ำโขง ช่วงหน้าน้ำแม่น้ำมูลยังคงค่อนข้างใส ส่วนแม่น้ำโขงมีสีขุ่นแดง จึงเกิดคำเรียกว่าโขงสีปูนมูลสีคราม แต่มาช่วงนี้เราเห็นสีเดียวครับเพราะมูลก็ใสโขงก็ใส ผาแต้มอยู่ห่างจากตัวอำเภอโขงเจียมไม่ถึง 20 กิโลเมตร บิดมอเตอร์ไซค์แป๊บเดียว ภารกิจแรกเมื่อไปถึงคือกางเต็นท์ เขามีลานกางเต็นท์อยู่ก่อนทางขึ้นหน้าผา ส่วนบริเวณหน้าผาอนุญาตให้กางเต็นท์เฉพาะวันส่งท้ายปีเก่าเท่านั้น ข้าวปลาอาหารก็เหมือนเดิมครับคือซื้อข้าวกล่องเตรียมไว้ได้เลย ไฟฟ้ามีให้ชาร์ตแบตที่อาคารศูนย์บริการ ไม่ไกลจากลานกางเต็นท์มีเสาเฉลียงกลุ่มหนึ่งตั้งอยู่ อยู่ริมถนนจอดรถแล้วแชะภาพได้ เอาล่ะ จากนั้นขึ้นไปชมผาแต้มสักหน่อย ที่นี่เป็นอีกแห่งซึ่งผมเคยมาเที่ยวหน้าฝนแถมเป็นตอนฝนตกหนัก ครั้งนี้จึงถือว่ามาแก้ตัว เราสามารถจอดรถด้านบนได้เลย เดินอีกนิดเดียวก็ถึง ผมใช้เวลาอ้อยอิ่งชมวิวแถวหน้าผานี่แหละ ส่วนเส้นทางชมภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เวลาผมเหลือเฟือ นอกจากเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ผาแต้มยังมีมุมชมพระอาทิตย์ตกด้วยนะครับ อยู่ด้านหลังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว วันถัดมาตีห้าปุ๊บก็กระเด้งออกจากเต็นท์ปั๊บ ขี่รถขึ้นมารอถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าผา ยามเช้าวันนั้นสวยสมใจทุกคนครับ มีนักท่องเที่ยวมารอชมเกือบร้อยอยู่นะ ช่วงสาย หลังจัดการธุระส่วนตัวและหาข้าวกินเสร็จสรรพค่อยเดินชมเส้นทางภาพเขียนสี ระยะทางวงกลมครบรอบประมาณ 4 กิโลเมตร มีภาพเขียนสี่จุดคือ ผาขาม ผาแต้ม ผาหมอน ผาหมอนน้อย แต่หากใครคิดว่าไกลเกิน อย่างน้อยควรเดินให้ถึงจุดที่สองซึ่งเป็นภาพไฮไลท์แล้วย้อนกลับทางเก่ารวมระยะประมาณ 1.5 กิโลเมตร ส่วนผมแน่นอนว่าต้องเอาให้ครบ ทางเดินเลาะชะง่อนผาอย่างดีครับ ชมภาพเขียนแต่ละจุดมาเรื่อยๆ พ้นจุดที่สามผาหมอน ทางเดินวกขึ้นกลับไปบนหน้าผา ถ้าอยากชมภาพกลุ่มสุดท้ายที่ผาหมอนน้อยจะมีทางแยกเข้าไป ทางแคบนิดนึงระมัดระวังกันล่ะ จากนั้นเดินย้อนสู่จุดเริ่มต้น ใกล้ถึงลานจอดรถจะพบหน้าผากว้าง เขาเรียกจุดนี้ว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช เพราะเคยเป็นที่ถ่ายทำหนังฮอลลีวู้ดเรื่องดังกล่าว เป็นจุดชมวิวสวยที่สุดของผาแต้มครับ หากไม่เดินวนมาถึงตรงนี้จะเดินจากผาด้านล่างขึ้นมาก็ไม่ไกลนะ เห็นกันอยู่นิดเดียวนี่เองประมาณบ่ายโมงก็ได้ฤกษ์เก็บเต็นท์เก็บเป้มัดท้ายรถลงจากผาแต้ม เป้าหมายคือผาชะนะไดซึ่งใครก็ต้องเคยได้ยินชื่อ ผาชะนะไดอยู่ในเขต อช.ผาแต้มนี่แหละ แต่ทางขึ้นลำบากกว่าเยอะเพราะเป็นลูกรังล้วนๆ ผมสอบถามเจ้าหน้าที่หลายคนมาจนแน่ใจว่านอกจากโฟร์วีลแล้วมอเตอร์ไซค์ก็ขึ้นได้ชัวร์ แบบนี้จะรออะไรล่ะ
จากผาแต้มขี่มอเตอร์ไซค์มาเรื่อยๆ พบป้ายบอกทางสู่ผาชะนะได หรือป่าดงนาทาม เลี้ยวตามป้ายมาทีละโค้งในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงนี้ครับ
จากนี้คือทางขึ้นสู่ผาชะนะได ลูกรังล้วนๆ 15 กิโลเมตร ผ่านพลาญหิน ผืนทราย ทุ่งหญ้า ลูกรังดินแดง ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้เราพบกับความลำบาก (ใครอยากดูเส้นทางเต็ม มีคนทำคลิปในยูทูปไว้ คลิก > http://bit.ly/1phLB3A) ย้ำนะครับว่ารถที่ขึ้นได้มีเพียงโฟร์วีล กระบะยกสูง และมอเตอร์ไซค์ ใครไม่มีรถให้ไปติดต่อรถชาวบ้านหรือ อบต.นาโพธิ์กลาง กันเอาเองเป็น 15 กิโลเมตรที่ยาวนานมาก อาจไม่ใช่ทางโหดสุดที่ผมเคยขี่ แต่เพราะเป็นมอเตอร์ไซค์เช่าจึงต้องระวังเคลื่อนที่ให้ช้าเป็นพิเศษ จากจุดเริ่มต้นบ่ายสองโมง ผมขึ้นไปถึงอาคารบริการนักท่องเที่ยวตอนบ่ายสามเศษๆ ตรงนี้เป็นจุดลานกางเต็นท์ด้วย ห้องน้ำมีแต่ใช้น้ำประหยัดหน่อยเพราะเขาเก็บจากน้ำฝน บนนี้ไม่มีแหล่งน้ำจืดอื่น ส่วนไฟฟ้าเป็นโซลาร์เซลส์ เปิดให้ใช้ช่วงค่ำๆ ถึงเช้าตรู่
บนนี้มีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดเวลา แต่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยจะมีนักหรอก แน่นอนว่าผมเป็นคนเดียวในวันนี้
หน้าผาชะนะไดอยู่ห่างจากลานกางเต็นท์ประมาณ 400 เมตร เดินไปก็ได้ มอเตอร์ไซค์ก็ได้ มาคราวแรกผมขอเดินดีกว่า เพราะบอกตรงๆ ขี่มอเตอร์ไซค์จนเหนื่อยแล้วล่ะ (ฮา...) เดินมาถึงแล้วก็ได้แต่ร้องโอ้ ได้ยินชื่อมาทั้งชีวิต ในที่สุดก็ได้มายืนตรงนี้สักที เห็นน้ำโขงไหลทอดยาวสุดสายตา การเป็นนักท่องเที่ยวคนเดียวที่นี่บอกเลยว่าเงียบสงบ มีแต่เสียงลม เสียงใบไม้ เสียงธรรมชาติ ที่อยู่เป็นเพื่อนกันก็เห็นจะเป็นมวลหมู่ดาวนี่แหละนะ ก่อนสว่างวันรุ่งขึ้น สารภาพเลยว่าไม่มีครั้งใดในชีวิตที่หัวใจเต้นแรงอยากถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นมากกว่านี้อีกแล้ว ยังไม่ตีห้าครึ่งก็บิดมอเตอร์ไซค์มายืนรอตรงผาชะนะไดเรียบร้อย เช้าวันพิเศษ 29 กุมภาพันธ์ มีผมเพียงลำพังที่ได้ยลพระอาทิตย์แรกของแดนสยาม... โคตรฟิน ที่ป่าดงนาทาม นอกจากผาชะนะไดยังมีจุดน่าสนใจอีกหลายแห่ง แต่เพราะช่วงนี้หน้าแล้งป่าบนภูหินทรายย่อมมีสภาพห่อเหี่ยว ผมเลยเลือกดูอีกแค่จุดเดียวคือเสาเฉลียงคู่ มีป้ายบอกทางอยู่ครับ ห่างจากลานกางเต็นท์ 4 กิโลเมตร เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกด้วยนะ แต่เส้นทางโหดใช่ย่อย เมื่อวานตอนเย็นผมเลยต้องขอบายเพราะกลัวอันตราย ถ้ามีโอกาสคราวหน้าคงขอเที่ยวป่าดงนาทามให้เต็มที่ ช่วงเหมาะก็ปลายฝนต้นหนาวครับ มีทั้งดอกไม้ป่า และที่ผาชะนะไดอาจจะเจอทะเลหมอกด้วยขาขึ้นลำบากยังไง ขาลงก็ลำบากอย่างนั้น ถึงข้างล่างประมาณเที่ยงหาข้าวกินพักรถสักหน่อย ใกล้บ่ายแล้วค่อยไปต่อ จุดหมายอยู่ที่สามพันโบก เป็นสถานที่ที่อยากไปมากแต่ผ่านมาหลายวันยังไม่ถึงสักที (ฮา...) ทว่าระหว่างทางไปสามพันโบกเจอป้ายจุดท่องเที่ยวบ้านผาชัน มันอดใจเลี้ยวเข้าไปไม่ได้จริงๆ
อุว้าว... บ้านผาชันถือเป็นอีกจุดซึ่งแนวแม่น้ำโขงยามหน้าแล้งสวยงามมาก แต่ก่อนถึงน้ำโขงเราจะผ่านเสาเฉลียงยักษ์ ซึ่งถือเป็นเสาเฉลียงใหญ่ที่สุดของบ้านเรา ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ครับ
จากนั้นไปสุดหมู่บ้านถึงท่าเรือริมน้ำโขงจึงพบแนวหน้าผาที่เรียกว่าผาชัน แน่นอนว่าหน้าผาสูงแบบนี้จะเห็นก็ตอนน้ำลด อาจไม่มีแก่งหินหรือโบกหินสวยๆ แต่ภาพรวมผมว่าที่นี่โดดเด่นมากครับ เดินเลาะแนวหน้าผาถ่ายรูปเล่นเพลินเลย ที่สำคัญคนยังมาเที่ยวไม่เยอะมากลังเลอยู่พักใหญ่ว่าจะกางเต็นท์นอนแถวนี้ (ตรงทางลงมีร้านขายของและศาลาอยู่น่าจะไปหาทำเลกางได้) หรือไปนอนสามพันโบก คิดไปคิดมาก็ตกลงใจไปสามพันโบกดีกว่า อยากเห็นที่นั่นใจจะขาด อีกแค่ประมาณ 20 กิโลเมตรเท่านั้นเอง
ก่อนมาสามพันโบกผมสงสัยตลอดแหละครับว่ามันเป็นยังไง จะเที่ยวยังไง ข้อมูลหลายแห่งไม่แน่ชัด บางคนนั่งเรือ บางคนนั่งรถ ผมขออธิบายง่ายๆ ว่าบริเวณที่เรียกว่า “สามพันโบก” กว้างใหญ่มากกินพื้นที่กว่า 10 ตารางกิโลเมตร แต่จุดท่องเที่ยวสำคัญตั้งอยู่ในตำบลเหล่างาม ตรงนั้นมีที่พักแห่งเดียวคือ “ครัวสามพันโบก”เขาเน้นลานกางเต็นท์เป็นหลักแต่มีห้องพักดัดแปลงจากบ้านอยู่อาศัยสองห้อง จากครัวสามพันโบกเดินลงไปคือจุดแลนด์มาร์ค ทั้งหินหัวสุนัข โบกมิกกี้เม้าส์ โบกหัวใจคู่
ที่พักแห่งอื่นๆ ไม่ได้อยู่ตรงจุดนี้ บางแห่งอยู่ริมถนนใหญ่ บางแห่งอยู่ที่ตำบลสองคอน บางแห่งอยู่ที่หาดสลึง หากพักที่เหล่านั้นเราจะต้องนั่งเรือหรือรถเพื่อมาเที่ยวสามพันโบกตรงจุดที่ครัวสามพันโบกตั้งอยู่ทั้งสิ้น ผมไม่ได้บอกว่าครัวสามพันโบกดีที่สุดนะครับ แต่ถ้าจะมาชมสามพันโบกที่นี่คือจุดเที่ยวของเขาเลย
จุดลงไปเที่ยวสามพันโบกอีกแห่งเป็นจุดซึ่ง อบต. ทำไว้ ห่างจากครัวสามพันโบกสักครึ่งกิโลเมตร เราไปจอดรถที่นั่นก็ได้แต่จะต้องเดินหรือนั่งสองแถวคิดราคาคนละสิบบาทไปยังจุดที่ใกล้กับครัวสามพันโบกนั่นแหละ
ที่รู้แบบนี้เพราะตอนถึงสามพันโบกครั้งแรก ผมไปตรงจุดชมวิวของ อบต. และสิ่งที่ผมเห็นมันต่างจากที่นึกจินตนาการ หรือเคยเห็นภาพในถ่ายมากทีเดียว มันดูแบบว่า... ไม่ใช่อ่ะ มันยังไม่ใช่นะ ผิดพลาดเป็นครู ไม่เป็นไรครับเพราะผมมีเวลาเหลือเฟือ ประกอบกับฟ้ายามเย็นไม่ค่อยแจ่มใส เลยเดินเล่นเรื่อยเปื่อยพลางๆ ไม่ค่อยสนใจถ่ายรูปเท่าไหร่
ใกล้มืดจึงค่อยขี่รถไปทางครัวสามพันโบกเพื่อกางเต็นท์นอน เขาคิดค่ากางเต็นท์คนละ 40 บาท หากไม่ได้เอามาก็มีให้เช่า ห้องน้ำที่นี่มีเยอะอยู่ มีไฟฟ้าให้ชาร์ตหลายจุด ร้านอาหารเปิดถึงห้าหกโมงเย็น สั่งไว้ก่อนได้ หรือถ้ามาเป็นกลุ่มใหญ่จะลงไปกางที่โบกก็ได้นะ แต่ผมคนเดียวคงไม่ขอทำอย่างนั้น
พื้นที่กางเต็นท์ครัวสามพันโบกโอเคนะ แต่บังเอิญตอนเย็นจู่ๆ ก็มีลมหอบมาแรงระดับ 180 ดีกรี เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกางเต็นท์ในสภาพนี้ ผมเลยมาแอบหลบอยู่ด้านข้างร้านอาหาร
คืนนี้ก่อนพระจันทร์ขึ้นดาวสวยเชียว แต่ลมแรงเหลือเกินเลยขอนอนอุ่นๆ ในเต็นท์ดีกว่า เก็บแรงไว้ตอนเช้า ซึ่งเพราะยังไม่เคยมาเดินจุดไฮไลท์ของสามพันโบกนั่นแหละ ผมเลยไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน เช้านี้ต้องเลือกถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นตรงจุดที่ตัวเองเคยเห็นก่อน ก็พอสวยอยู่นะฟ้าสว่างค่อยได้ฤกษ์แก้มือมาสำรวจสามพันโบกที่แท้จริงกันดีกว่า ไม่รู้จะบรรยายอะไรดี แค่อยากบอกว่ามันสวยมาก งามมาก อัศจรรย์มาก และร้อนมาก (ฮา...) ไม่อยากเชื่อครับว่าทั้งหมดทั้งมวลนี่จมอยู่ใต้น้ำในฤดูฝน และเกิดจากพลังอันไม่มีขีดจำกัดของธรรมชาติ
เดินเที่ยวสามพันโบกต้องปีนป่าย เหมือนไปเที่ยวภูเขาอย่างไงอย่างงั้น ยิ่งปีนก็ยิ่งสนุก ปีนไปเรื่อย เดินไปเรื่อย หันหลังอีกทีมาไกลเป็นกิโลแล้วเว้ยเฮ้ย มันเพลินจริงๆ ครับ ความอยากรู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรผลักดันให้เดินไปไม่หยุดเลย
สักประมาณเที่ยงผมกลับมากินข้าวที่ครัวสามพันโบก ชั่งใจว่าจะไปแก่งชมดาว อำเภอนาตาล ซึ่งตอนนี้กำลังฮิตดีหรือเปล่า อยู่ห่างออกไปแค่สิบกว่ากิโลเมตร ทว่าลำพังสามพันโบกผมยังเดินไม่ทั่วเลย สุดท้ายตัดใจไม่ไปแก่งชมดาว แต่ก่อนจะเดินเที่ยวสามพันโบกอีกรอบขอไปหาดสลึง ที่บ้านสองคอน อยู่ใกล้ๆ
ปีนี้ระดับน้ำโขงถือว่าค่อนข้างเยอะกว่าช่วงเดียวกันของทุกปีเพราะจีนมีการปล่อยน้ำจากเขื่อนเป็นระยะ หาดสลึงที่บ้านสองคอนเพิ่งโผล่ขึ้นมานิดเดียว แลดูไม่ยิ่งใหญ่เหมือนที่คาดไว้
การมาหาดสลึงทำให้ได้รู้ว่าใกล้กันนี้มีที่น่าสนใจชื่อว่าผาวัดใจ อยู่ถัดไปอีกหมู่บ้าน ปกติคนเขาจะนั่งเรือไปแต่มอเตอร์ไซค์ก็ขี่ไปได้ครับ ถามทางคนในหมู่บ้านอยู่สี่ห้าครั้งในที่สุดผมก็ไปถึง ลักษณะของหน้าผาคล้ายกับที่บ้านผาชัน แต่โดดเด่นตรงมีชะง่อนผาแหลมๆ ยื่นออกมาเรียกว่าผาวัดใจนี่แหละ เสียวใช้ได้เลยแฮะ สักบ่ายแก่ๆ ผมกลับไปสามพันโบก เริ่มเดินเที่ยวอีกครั้งในโซนไม่ซ้ำที่เดิม เห็นชัดครับว่าภูมิประเทศที่นี่สวยอัศจรรย์ จะตรงไหนก็สวยไปหมด ไม่มีทางที่เราจะเที่ยวทั่วด้วยการเดิน แต่ขอบอกว่ายิ่งเดินไกลเท่าไหร่ ขยันเดินมากเท่าไหร่ หรือสนุกกับการเดินมากเท่าไหร่เราจะได้เห็นความงามมากขึ้น หรือถ้าจะล่องเรือเที่ยวก็ยิ่งดีครับ เสียดายว่าผมมาคนเดียวเลยต้องขอบายคืนนี้ลมไม่แรงแล้วแต่ผมปล่อยเต็นท์ให้อยู่ที่เดิมนั่นแหละ มีก๊วนช่างภาพห้าหกคนลงไปกางกันที่โบกถ่ายภาพดาวตอนกลางคืน น่าจะระดับมือโปรทีเดียว
วันถัดมาตื่นตีห้าเหมือนเดิม ถือไฟฉายเดินไปที่โบกรอถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้น คราวนี้รู้จุดแล้วเลยจัดเต็มไม่ให้พลาด แลนด์มาร์คต้องเป็นตรงหินหัวสุนัข เป็นอีกเช้าที่น่าประทับใจครับ
วันนี้ตัดสินใจพอแล้วล่ะน่าจะได้เวลาปิ๊กบ้าน แก่งชมดาวหรือหาดชมดาวเก็บไว้เป็นหมุดหมายครั้งต่อไปแล้วกันจะได้มีแรงกระตุ้นให้กลับมาอีก ถึงแม้จริงๆ ไม่ต้องมีที่ไหนอื่นผมก็อยากกลับมาเที่ยวเส้นทางสายน้ำโขงนี้อยู่แล้ว นี่ผมยังไม่ได้เล่าถึงน้ำตกมากมายรายทางที่หากมาปลายฝนต้นหนาวจะสวยมาก น้ำตกทุ่งนาเมือง น้ำตกแสงจันทร์ น้ำตกสร้อยสวรรค์ (ผมเคยมาตอนหน้าฝนทั้งหมด) แต่ตอนนี้เป็นหน้าแล้ง น้ำตกย่อมเหือดแห้งเป็นธรรมดา เรียกว่าจะมาฝน ร้อน หรือหนาว ที่นี่ก็เที่ยวได้ตลอดครับ
ขากลับรถไฟออกจากสถานีอุบลราชธานีเที่ยวเที่ยงครึ่ง ผมขี่มอเตอร์ไซค์กลับทางอำเภอโพธิ์ไทร ผ่านอำเภอตระการพืชผล ถึงตัวเมืองอุบลสักสิบเอ็ดโมงกว่าๆ คืนรถไม่มีปัญหาอะไรเพราะถึงจะใช้งานหนักแต่ไม่มีส่วนใดผุพังเสียหาย รับมัดจำคืนรวดเร็วดี เสร็จแล้วนั่งสองแถวตรงวัดแจ้งมาลงตลาดวารินชำราบ เดินไปสถานีรถไฟทันรถไฟทันเวลา
หกวันห้าคืนบนถนนเส้นโขงเจียมถึงโพธิ์ไทร เป็นหนึ่งในทริปสุดวิเศษ ได้เห็นอะไรมากมาย รู้ว่าแม่น้ำโขงยามหน้าแล้งอัศจรรย์ขนาดไหน ความยิ่งใหญ่เช่นนี้ทำให้แม่น้ำสายนี้เต็มไปด้วยตำนานเรื่องราวมากมาย แต่ไม่ว่าใครจะบอกว่าที่นี่เลิศเลอเพียงใด เชื่อเขาได้เพียงครึ่งเดียวเหมือนเช่นเชื่อผมได้เพียงครึ่งเดียวครับ เพราะคุณไม่มีทางรู้ถึงพลังอลังการของมันอย่างแท้จริงหรอก ถ้าสักครั้งในชีวิตไม่ได้มาเห็นด้วยสองตาของตัวเอง...
----------------------------------------------------------------------------------
ใครอยากคุยกับผมเรื่อยเปื่อยเรื่องท่องเที่ยว สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) หรือชวนเที่ยว ยินดียิ่งนะครับ
www.facebook.com/alifeatraveller
หรือ
----------------------------------------------------------------------------------
และปิดท้ายกับคลิปวีดีโอความสวยงามของแม่น้ำโขงยามหน้าแล้งมาฝากกันครับ
↓
↓
↓
↓