โม้มาตั้งนานนะคะ เข้าเรื่องได้ซักที คุณพี่โฟล์วีลที่มารับเราเมื่อวาน เข้ามารับเราที่บ้านอาชิ 8.30 ตามที่นัดกันไว้
ขอเล่าเรื่องช่วงเวลาก่อน 8.30 ก่อนก็แล้วกันค่ะ อย่างที่รู้กันว่าบนเขาที่เราจะไปนอนกันนั้น ไม่มีห้องน้ำที่ถูกต้องตามหลักอนามัย พวกเราเลยตกลงกันว่าต้องเอาอนาคอนด้าออกไปเพื่อให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้ไปปวดด้านบน ฮ๋าๆ หลังจากกินข้าวกันเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายเลยค่ะ ห้องน้ำของใครของมัน ใครไม่ปวดก็ต้องไปนั่งเพื่อบิ้วให้มันออกมา ฮ่าๆๆ ใครเสร็จก่อน ก็ออกไปรอก่อน ฮ่าๆๆๆๆ แล้วก็ไลน์ในกรุ๊ป รายงานสถานการณ์ของแต่ละคนว่ามันออกมารึยัง ฮ่าๆๆๆๆ และไม่ได้มีความเกรงเพื่อนคนอื่นที่อยู่ในกรุ๊ปเลย ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรนะ แต่พอมาคิดย้อนหลัง มันทำให้เรานั่งยิ้มคนเดียวจนแม่หาว่าเราบ้า ฮ่าๆๆๆ เราเชื่อว่าทุกคนกับเพื่อนๆต้องเคยทำเหมือนกันแน่ๆ
8.30 เรานั่งรถไปที่ร้านลุงแกละ เป็นการเจอลุงแกละครั้งแรก และในรูปทุกใบที่ถ่ายมาทั้งทริปไม่มีรูปลุงแกละเลย ลุงไม่สูงเท่าไร เป็นคนมีเนื้อมีหนัง มีหนวดเคราเยอะค่ะ แต่ไม่ค่อยมีผม ฮ่าๆๆ
ลุงแกละชี้แจงโน่นนี่ แจกข้าวกลางวันที่ต้องไปกินระหว่างทาง แล้วก็แนะนำทีมงานให้รู้จัก ถามว่าจำได้หรือ จริงๆก็จำได้นะคะ มีลุงดำเป็นคนนำทาง ลุงแก้วเป็นพ่อครัว แล้วก็มีคุณพี่ลูกหาบที่เราจ้างมาเพิ่ม 1 คน คนนี้แหละ เราจำชื่อไม่ได้ เพราะตลอดทางเราตั้งชื่อให้เค้าใหม่ค่ะ เพราะว่าหน้าตาพี่แกเหมือนกับหัวหน้าที่เป็นคนญี่ปุ่นที่บริษัทที่ชื่อ คาซึยะ ฮ่าๆ เลยเรียกแกว่าที่คาซึยะ ค่ะ ฮ่าๆ
ลุงแกละแกไม่ได้ขึ้นไปกับเราด้วย แกทำหน้าตาแบบจริงจังแล้วก็พูดว่า กลางทางอ่ะ ห้ามฉี่นะ เราก็คิดในใจเลยเห้ยยย อะไรว่ะ แล้วถ้าปวดขึ้นมาจะทำยังไงอ่ะ เรากับเพื่อนนี่แบบว่าทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกเลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วแกก็พูดขึ้นมาว่า กลางทางอ่ะ คนเขาเดินกันเยอะ ถ้าปวดให้ไปข้างทาง ฮ่าๆๆๆ พวกเราก็อ๋ออออ แล้วก็หัวเราะกัน แหม่ มาเจอลุงแกละครั้งแรก ลุงก็ยิงไป 1 นัดด้วยมุขพื้นๆ ที่เราตามไม่ทัน ถือว่าเป็นการเริ่มเดินขึ้นเขาที่ดี
นอกจากเรา 4 คนแล้วยังมี สมาชิกอีก 3 คน ที่จะนั่งรถและเริ่มเดินไปกับเรา เมื่อสมาชิกพร้อมก็ขึ้นรถได้เลยค่ะ พวกเรา 4 คนขอนั่งหลังเพื่อขอสัมผัสบรรยากาศให้เต็มที่ แล้วก็ให้ลุงแก้วกับลุงดำเข้าไปนั่งด้านในสบายๆ
เราใส่เสื้อยืดบางๆ กางเกงเลกกิ้ง เพื่อให้เหมาะแก่กางเดินป่า แต่หารู้ไม่ว่าระหว่างทางที่ต้องนั่งรถไปที่จุดเริ่มเดินแม่งโคตรหนาวเลย ต้องผ่านหมอก และลม โอ่วโหว นั่งตัวเป็นกุ้งต้มสุกเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
พวกเรานั่งรถไปที่จุดเริ่มเดินเด่นหญ้าขัดค่ะ เส้นทางมี2 แบบค่ะ แรกๆ จะเป็นถนนราดยาง หลังๆเป็นถนนที่ไม่ได้ราดยาง ไม่เหมือนลูกรังเหมือนบ้านนอกแถบอีสานนะคะ เอาเป็นว่าอธิบายไม่ถูก ไว้ไปลองสัมผัสเองนะคะ แต่ต้องบอกเลยว่าถือว่าเป็นการวอร์มเอวไปในตัว
พอไปถึงจุดเริ่มเดิน มีต้นนางพญาเสื้อโคร่งเรียงรายอยู่ตรงทางเข้าพอดี สวยงามมากค่ะ ไม่รอช้าค่ะ พวกเรารีบไปถ่ายรูปกันเลยค่ะ และถ่ายกันนานจนลุงแกต้องเรียกให้ไปได้แล้วเด่วไปถึงด้านบนช้าาา ฮ่าๆ
เริ่มเดินกันได้แล้วนะ ระหว่างทางขอแนะนำให้นำกล้องของคุณออกมาStand by ไว้เลยนะคะ คือมันสวยมากๆ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน สวยมากจริงๆ ทางก็เดินง่ายมากค่ะ ไม่ชันมาก แต่ก็มีจุดที่เรียกว่าเหนื่อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็ถือว่าชิวๆนะคะ ระหว่างทางอย่าลืมหันมามองด้านหลังด้วยนะคะ เพราะว่าฉากด้านหลังสวยมากกกกก โดยเฉพาะ ตรงเขาสามที่น้อง เขาพีระมิด สวยสุดๆ วิวดี แสงได้ ภาพก็สวยค่ะ
เดินชมวิวมาเรื่อยๆ เราก็มาเจอกับสามแยกอ่างสลุง เป็นสามแยกที่แยกออกไปสามทาง (จะย้ำทำไม ฮ่าๆ) คือเด่นหญ้าขัดที่เราเดินมา ตรงไปเป็นอ่างสลุง ถ้าเลี้ยวขวาจะเป็นปางวัวซึ่งเป็นทางลง ใครจะลงไปทางปางวัวแล้วก็ขึ้นมาใหม่ก็ได้นะ ฮ๋าๆ มาถึงจุดนี้ เราก็กินข้าวกันเลยค่ะ อาหารที่ลุงแกละเตรียมไว้ให้ เป็นข้าวเหนียว ไส้อั่ว หมูทอด แล้วก็น้ำพริกปลาร้า มันอร่อยค่ะ อร่อยมากๆค่ะ งง ทำไมน้ำพริกธรรมดาๆ ถึงได้อร่อยขนาดนี้ ฮ๋าๆๆ
เดินมาอีกนิดก็เจอกับนี่ค่ะ เขาสามพี่น้อง ถ้าเรามองจากยอดดอยหลวงเชียงดาวแล้วจะอ๋อ ตรงนี้นี่เอง
ด้านหลังนี่ก็ยอดเขาพีระมิดค่ะ ตอนนี้ยืนพักเหนือยอยู่ใต้ต้นสนค่ะ แล้วก็ยืนนานเลยค่ะ ที่นานไม่ใช่อะไร ยืนถ่ายรูปค่ะ ถ่ายวนไปค่ะ จนกว่าจะครบ 4 คน แล้วไม่ใช่แค่คนละรูปนะ ฮ่าๆๆๆ จนพี่ลูกหาบบอกย้ำหลายรอบว่าใกล้จะถึงที่พักแล้วนะ
เราไปถึงที่พักกันประมาณบ่ายสองครึ่งค่ะ ก็แบบเดินชิวๆ ไม่รีบ ก็จะช้าประมาณนี้แหละค่ะ ทริปนี้เน้นถ่ายรูปค่ะ
จริงๆแล้วเรามีความตั้งใจจะรีวิวห้องน้ำด้วย ฮ่าๆๆ แต่จากสภาพแล้วถ้าไปเก็บรูปด้านในด้วยจะหลอนเอา เพราะด้านในมีอนาคอนด้า ใหญ่มากด้วย นางส่งกลิ่นด้วย เลยเอาเป็นว่าถ่ายแค่ด้านนอกละกันเนาะ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมไปด้วยถ้าจะไปเข้าห้องน้ำ
1.ทิชชูเปียก
2.ไฟฉาย(ถ้าไปเข้าตอนกลางวันก็ไม่ต้องเอาไปนะคะ เพราะด้านบนมันเปิดโล่ง)
วิธีการก็ง่ายๆ ถอดกางเกง ทำธุระไม่ว่าจะหนักหรือเบาก็จัดมันตรงนี่แหละค่ะ แล้วก็เช็ด แล้วก็ทิ้งลงหลุมนั่นแหละค่ะ แล้วก็ใส่กางเกง แล้วก็ออกมา
คำแนะนำเพิ่มเติมคือ
1. ถ้ามีเพื่อนไปด้วยก็ให้เพื่อนดูต้นทางให้ แต่ถ้าไม่มีแล้วได้ยินเสียงเหมือนคนมา ก็ตะโกนบอกเขาว่าเราอยู่ในนี้นะ ไม่งั้นเวลาไปเจอกันที่อื่นจะนึกถึงโมเม้นนี้เป็นโม้เม้นแรกเลยนะ ฮ่าๆๆๆ
2. ถ้าไปตอนกลางคืนก็เอาไฟฉายไปด้วย หลังจากที่เล็งเรียบร้อยแล้ว ก่อนถอดกางเกงก็ปิดไปฉายซะ เพราะว่าคนด้านนอกเขาจะมองเห็นเรา อิอิ เด๋วได้หลอนกันทั้งคณะ ฮ่าๆๆๆ
หลังจากที่เราทำภาระกิจส่วนตัวเรียบร้อยบวกกับพักให้หายเหนื่อย 16.00 เราก็เริ่มเดินทางต่อไปพิชิตดอยหลวงเชียงดาวกัน เพื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกกันค่ะ
เส้นทางชันค่ะ มีหินก้อนใหญ่ๆ ให้เราต้องปีนป่ายกันด้วย สนุกมากกกก แต่ก็เหนื่อยมากด้วย เพราะด้านบนสูงร่วม 2 พันกว่าเมตรแล้ว อากาศก็จะน้อย บวกกับเราเป็นคนเหนื่อยง่ายด้วย
พอขึ้นไปแล้วนะ มันรู้สึกว่า เห้ยเรามายืนในจุดที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศหรอเนี่ย มันสวยงามมากค่ะ ถ้าคุณยังเดินทางได้อยู่ แนะนำให้ไปค่ะ กับสถานที่บางที่ เราไม่สามารถถ่ายรูปออกมาได้สวยเท่าที่ตามองเห็น ที่นี่ก็เหมือนกันค่ะ
พวกเรานั่งรอจนอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แล้วเราก็เดินลงกันค่ะ ก็ท้องมันร้อง เราก็ต้องไปเติมอาหารให้กับท้องค่ะ ก่อนไปก็ขอถ่ายรูปคู่กับป้ายซักหน่อย เพื่อเป็นหลักฐานว่าเรามาถึงยอดดอยหลวงเชียงดาวแล้ว
ลงมาถึงจุดกางเต้นท์ ลุงแก้วกับลุงดำทำกับข้าวชุดใหญ่ไว้รอแล้วค่ะ แถมกินได้ไม่อั้น เติมได้ตลอด กินจนกว่าจะอิ่มอ่ะค่ะ พวกเราก็เติมแบบไม่ได้อายใครเลยค่ะ ฮ่าๆๆ อิ่มจริงอะไรจริง รู้สึกว่าคิดถูกนะคะ ที่ใช้บริการลุงแกละ
เมื่อท้องอิ่มแล้ว ภาระกิจสุดท้ายของวันนี้ก็คือไปถ่ายดาวค่ะ เสียดายที่วันนี้ดวงจันทร์ส่องแสงร้อนแรงมาก นางก็เลยได้เป็นจุดเด่นของภาพขึ้นมาทันทีเลย การถ่ายแบบรูปด้านล่างต้องยืนให้นิ่งที่สุด แต่เรานี่แบบเซไปมาตลอดเลย ฮ่าๆ
ภาพก็เลยเบลอๆ อย่างที่เห็น