“ป่าบงเปียง” … เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักสถานที่นี้ และภาพที่ทุกคนนึกถึง แน่นอนต้องเป็น ผืนนาขั้นบันไดไกลสุดลูกหูลูกตา
หลายคนคงโบกมือลา ตั้งแต่รู้ว่าที่นี่เดินทางเข้ามาลำบาก ที่สำคัญ ไม่มีไฟฟ้า !! ไม่มีทีวี !!
ที่สำคัญ !! ถ้ามาผิดฤดู อาจจะไม่เห็นอะไรเลย
แต่ใครจะรู้ว่าสถานที่นี้ กลับมีทิวทัศน์ และบรรยากาศที่ดีมากกก ภาพเทือกเขาสูง สลับซับซ้อนตัดกับขอบฟ้า และหมอกบางๆตอนเช้า
โอโห ยังไงขอไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งเถอะ...
ช่วงเวลาที่แนะนำให้มาเที่ยวป่าบงเปียง มี 3 ช่วง แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน (และความสามารถในการจองบ้านพัก 555+)
ปลายเดือนมิ.ย.- ก.ค. ช่วงที่ชาวบ้านกำลังดำนา ถ้าใครอยากเห็นผืนนาสีน้ำตาลตัดกับต้นกล้าสีเขียวๆ แนะนำให้มาช่วงนี้ (แต่ทางเข้าอาจจะเละระดับ 10 เชียวแหละ)
ส.ค.-ก.ย. ช่วงนี้เป็นช่วงที่นาข้าวสวยที่สุดผืนนาสีเขียวแบบสุดๆเต็มท้องทุ่ง ใครอยากได้รูปสวยๆแนะนำช่วงนี้เลย
ต.ค.-พ.ย ถ้าใครชอบวิวนาข้าวสีเหลืองทองอร่ามกับอากาศเย็นๆนิดๆ โรแมนติคหน่อยๆ ต้องมาช่วงนี้
แต่หลังจากเดือนนี้ไปจะเป็นช่วงที่ชาวบ้านเริ่มเก็บเกี่ยวข้าว
การเดินทาง
ช่วงเวลาเดินทางของเราในทริปนี้คือ 27-30 ตุลาคม อากาศกำลังเย็นๆ บวกกับหมอกจางๆตอนเช้า
โอโห.. ฟินสุดๆจริงๆ
เราเลือกเช่ารถที่ตัวเมืองเชียงใหม่และขับไปกันเอง โดยอาศัยดูตามรีวิวเพื่อนๆในพันทิป และแวะเที่ยวระหว่างทางไปด้วย (แอบยืมรูปเป็นไกด์นิดนึงนะคะ ^^ )
จากตัวเมืองเชียงใหม่ ขับไปตามทางที่ไปดอยอินทนนท์ จนถึงด่านตรวจที่2 ของอุทยาน แล้วเลี้ยวไปยังทางแยกที่จะไปอำเภอแม่แจ่ม ขับต่อไปอีกประมาณ 12 km จะพบป้ายน้ำตกแม่ปาน เลี้ยวขวาเข้าไปตามป้ายนั้นเลยค่ะ (เส้นนี้รถทุกชนิดสามารถเข้าถึงลานจอดรถได้นะคะ) แต่จากน้ำตกไปยังบ้านป่าบงเปียงต้องใช้รถโฟร์วิวเข้าไป เพราะว่า ทางเข้าค่อนข้างเละ ต้องอาศัยความชำนาญในการขับมาก ล้อรถพร้อมจะติดโคลนติดหล่มอยู่ตลอด
ถ้าใครไม่สะดวก สามารถจอดรถไว้ที่ลานจอดรถและติดต่อเจ้าของที่พักให้ออกมารับได้ โดยมีค่าบริการ 700 บาท รวมราคาเหมาแล้วทั้งขาไปและขากลับ
นี่แค่ทางเริ่มต้นนะคะ กว่าจะถึง ตับไตย้ายมาอยู่รวมกันเป็นที่เรียบร้อย 555+
ที่พัก
บ้านพักของที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านพักกะท่อมแบบง่ายๆ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำอุ่น,, ผ่างง 555+ อยู่กันแบบธรรมชาติล้วนๆ ที่สำคัญบ้านพักมีเพียงไม่กี่หลัง ( ถึงว่าจองยากจองเย็นเหลือเกิ๊นน 555+ ) บ้านพักที่นี่จะคิดราคาเป็นคน คนละ 500 บาท (ที่พัก 1 คืน+อาหาร 2 มื้อ เช้าเย็น)
เราเลือกพักที่บ้าน "มาฉิโพ" ของพี่วิชัย ด้านบนนู้น บ้านแต่ละหลังจะพื้นที่หน้าบ้านไว้นั่งชิลๆทุกหลัง มีห้องน้ำในตัว >< แอบกระซิบนิดนึง ให้อาบน้ำตั้งแต่เย็นเลยนะคะ เพราะห้องน้ำไม่มีไฟต้องจุดเทียนเอา
หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาเดินเล่นถ่ายรูปตามคันนา บอกเลยที่นี่วิวสวยและอากาศดีมากก ต้นข้าวสีเหลืองที่กำลังรอการเก็บเกี่ยว เดินระวังลื่นไปเหยียบของพี่ๆเค้ากันนะคะ ส่วนเราจัดไปหลายท่าเลย 555+มีสายน้ำตกเล็กๆไหลผ่าน กลางทุ่งนา
ถ่ายมุมไหนก็สวย ><
แสงยามเย็นวันนี้สวยจริงๆค่ะ ใครมากับแฟน บอกเลยว่าโรแมนติคไปอี๊กกก ><
ช่วงใกล้ๆค่ำ ยุงอาจจะเยอะนิดนึง(ถึงมาก) - - แนะนำให้เตรียมยาทากันยุงไปด้วยนะคะ
พออากาศเริ่มมืด รอบๆจะมืดมาก อย่าลืมเตรียมไฟฉายไปกันด้วยนะคะ แต่ถ้าไม่มี ที่พักก็มีเทียนและตะเกียงไว้ให้ใช้จุดเหมือนกันเช้าแล้วว พอเปิดประตูออกมา พูดได้คำเดียว ...ว้าววว วิวแบบนี้จากหน้าบ้าน ทะเลหมอกอลังการมากๆ
หมอกจะงดงามและทำให้เยือกเย็น แสนจะเย็นสบายเมื่อยามเช้า ,,,พี่เบิร์ดได้กล่าวไว้ 555+
นาสีเขียวๆกับหมอกสีขาวๆ โอ๊ย..ฟินน
นั่งดูบรรยากาศพร้อมกับข้าวต้มและกาแฟ โอวัลติน ที่มาเสิร์ฟหน้าบ้าน
อาหารธรรมดาๆกับวิวที่ไม่ธรรมดาเลย 555+
พอเริ่มสาย หมอกจะเริ่มฟุ้งๆแล้วค่ะ ขอแนะนำให้ตื่นแต่เช้ามาดูทะเลหมอกนะคะ
ไม่งั้นพลาดแน่ๆ !!!เดินถ่ายรูปอีกสักหน่อยก่อนกลับ
แอบฝากนิดนึง ที่นี่เป็นอีกหนึ่งที่สำหรับใครที่ต้องการพาตัวเองออกจากความวุ่นวายในเมือง มาสัมผัสกับธรรมชาติ นั่งดูหมอก นั่งดูเขา นั่งกินอาหารธรรมดาๆ นอนพักที่ๆธรรมดาแต่ความรู้สึกกลับพิเศษ...สบายกาย สบายใจ อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ^^
ขอปิดท้ายด้วยรูปนี้นะคะ (เห็นรูปนี้ นึกถึง เทเลทับบี้ทุกที 555+)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ หวังว่าจะเป็นข้อมูลเล็กๆน้อยๆ ที่มีประโยชน์ได้บ้างนะคะ
ปล. ขอฝากติดตามเพจน้องใหม่ Traveler :: แอบหนีเที่ยว https://www.facebook.com/traveleraepneeteaw/
ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ