. . พิษณุโลก เมืองต้องห้ามพลาด เพราะถ้าพลาดจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง . .
"พิษณุโลก" หรือ "เมืองสองแคว" หนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ หลายๆ คนอาจนึกถึงที่เที่ยวอยู่ไม่กี่ที่ อย่าง ภูหินร่องกล้า ล่องแก่งที่ลำน้ำเข็ก ที่จะมาเที่ยวเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเท่านั้น พิษณุโลกเลยมักถูกมองข้าม มิหนำซ้ำยังอาจเป็นแค่ " ทางผ่าน" หรือแค่ "แวะพัก" อาจเพราะเป็นจังหวัดที่อยู่ในแถบภาคเหนือตอนล่าง เส้นทางที่จะเปิดประตูสู่จังหวัดในภาคเหนืออื่นๆ แต่วันนี้เราจะพามาที่รู้จัก พามาเที่ยว "พิษณุโลก" ว่ามีอะไรที่มากกว่านั้น หลายคนอาจเคยได้ยิน หรืออาจไม่เคยได้ยิน แต่วันนี้จะทั้งได้ยินและได้เห็นในสิ่งที่เราไปสัมผัสมนต์เสน่ห์ของที่นี่มา . .
สวัสดี . . พิษณุโลกเมืองสองแคว ^.^
. . ต้อนรับมื้อกลางวัน ซึ่งเป็นมื้อแรกในเมืองสองแคว ด้วยเมนูก๋วยเตี๋ยวในตำนาน "ก๋วยเตี๋ยวจุกไก่ไทย" ร้านดังที่อร่อยจนต้องบอกต่อ ซึ่งเมนูแนะนำคงไม่พ้น "บะหมี่ไก่แห้ง" ที่เส้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งทางร้านทำเอง ไม่มีร้านไหนเหมือน และขายมากว่าสามสิบปีแล้ว ด้วยบะหมี่เส้นเหนียวนุ่ม ทานคู่กับไก่ไทยเนื้อแน่นๆ ซดน้ำซุปไก่ร้อนๆ รสชาติกลมกล่อม อร่อยจริงๆ บอกเลยว่าห้ามพลาดต้องมาลอง . .
- ร้านจุกไก่ไทย อยู่บริเวณถนนพุทธบูชา เลยตลาดไนท์พลาซ่า ริมน้ำน่าน
เมื่อหนังท้องตึง . . เราก็นั่งรถกันต่อมุ่งหน้าไปยัง "พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์" หรือ “พ่อขุนบางกลางท่าว” พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยที่บริเวณหนองปู่ตา ตั้งอยู่ที่ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก (อยู่ห่างจากตัวจังหวัดพิษณุโลก 95 กิโลเมตร)
และไม่ไกลกันมากนั่ง เราเดินทางไปยัง "วัดกลางศรีพุทธาราม" หรือ "วัดกลาง" เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองนครไทย หรือ นครบางยางในอดีต ซึ่งปกครองโดยพ่อขุนบางกลางท่าว (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) และบริเวณวัดมีอนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าว และด้านหลังอนุสาวรีย์มีต้นจำปาขาว ที่มีอายุราวกว่า 700 ปี ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นต้นจำปาที่พ่อขุนบางกลางท่าวปลูกไว้
อนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าว
พระอุโบสถเก่าแก่อายุหลายร้อยปี
ด้านในพระอุโบสถ : พระพุทธรูปสำริดศิลปะสมัยสุโขทัย พระพุทธรูปศิลานาคปรก ปางสมาธิศิลปะลพบุรี
ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถทั้งสีด้าน วาดเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ พุทธชาดก
แต่ที่แปลกตาและแตกต่างจากที่อื่นๆ ก็คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัยที่เป็นเรื่อง "พุทธประวัติตอนชนะพญามาร" ที่มีภาพยักษ์และลิงต่างแต่งกายด้วยชุดลายพราง ยักษ์สวมหน้ากากหัวผีตาโขน ถือปืน สวมหูฟัง พกโทรศัพท์ ฯลฯ โดยทางวัดจะเปิดให้ประชาชนและผู้ที่สนใจเข้าชมตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้าถึงเย็น
โดยภาพดังจิตกรรมดังกล่าว เป็นผลงานของนายสุรพงศ์ เกาะม่วงหมู่ ช่างฝีมือจากจังหวัดเลย วาดภาพพุทธชาดก ด้วยสีฝุ่น มีลวดลายไทยวิจิตรตระการตา ตั้งแต่ปี 2546
เมื่อดูความสวยงามที่แปลกตาของภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดกลางเสร็จสิ้น ได้เวลาที่เราต้องเดินทางไปยัง "ตำบลนครชุม" ไปเยือนชุมชนเล็กๆ กลางหุบเขาที่น่าสัมผัสอีกที่หนึ่งในอำเภอนครไทย . .
"จุดชมวิวร่องเขานครชุม" เป็นจุดชมวิวระหว่างทางที่ไม่ควรพลาด . . !! ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ เห็นทิวแนวเขาสีเขียวขนาดเล็กที่ทอดตัวไปในแนวยาว อีกทั้งยังมองเห็นเขาหินปูน หรือที่เรียกกันว่า "เขาโปกโล้น" อยู่เบื้องหน้า ในขณะที่ด้านล่างมองเห็นหมู่บ้านเล็กๆ มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นสลับกันไปในแนวราบ มีทุ่งนาสีเขียว สีเหลือง ที่มีสีสันสวยงามตามฤดูกาล
นอกจากนี้ที่นี่ยังสามารถชมทะเลหมอกในยามเช้าได้ตั้งแต่ช่วงเวลา 05.30 - 08.00 น. ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานสำหรับการชมทะเลหมอก . .
เสร็จสิ้นจากการซึบซงับบรรยากาศจากมุมสูงบริเวณจุดชมวิว และถ่ายภาพกันเรียบร้อย ได้เวลานั่งรถไปยัง “โฮมสเตย์นครชุม”
“นครชุม” หนึ่งในตำบลเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาของอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่มีอาชีพทำการเกษตร ทำไร่นาเรือกสวนเป็นหลัก บ้านแต่ละหลังจึงมักมีผืนที่นาอยู่ใกล้ๆ บางหลังคาเรือนมีแนวภูเขาล้อมรอบอยู่ข้างๆ เปรียบได้เหมือนรั้วบ้านขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สิ่งเหล่านีี้จึงกลายเป็นเหมือนมนต์เสน่ห์ของที่นี่ ที่แฝงไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจรอให้เราเหล่านักท่องเที่ยวออกเดินทางไปค้นหาและมาสัมผัสด้วยตัวเอง ที่นี่จึงมีโฮมสเตย์ของชาวบ้านที่แบ่งพื้นที่ภายในตัวบ้านเป็นโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาพัก มาสัมผัสวิถีชีวิต ซึบซับวิถีต่างจังหวัดที่ลงตัว . .
และบ้านที่เราได้พักแรมในนครชุมคือบ้านของ "คุณยายทบ" ลักษณะบ้านเป็นบ้านแบบสองชั้น ชั้นล่างถูกแบ่งพื้นที่ทำเป็นห้องพัก 2 ห้อง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาพัก ตรงกลางเป็นเหมือนห้องนั่งเล่น มีทีวี โต๊ะ เกาอี้ ไว้ให้นั่งพักผ่อน ข้างๆ บ้านจะมีนาข้าวที่ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว และจากตัวบ้านก็มองเห็นภูเขาอยู่ไม่ไกลนัก และที่สำคัญบ้านของคุณยายมีเครื่องน้ำอุ่นด้วยล่ะ(ไ่ม่ได้ถ่ายรูปบ้านพักมา)
หลังจากเรานำสัมภาระทั้งหมดมาไว้ที่บ้านเรียบร้อย เราใช้เวลาในช่วงเย็นเดินเล่น ชมบรรยากาศไปตามถนนสายเล็กๆ ในหมู่บ้านเพื่อรอเวลามื้อค่ำที่จะถึงอีกประมาณสองชั่วโมง บางกลุ่มก็เลือกที่จะปั่นจักรยานไปรอบๆ หมู่บ้าน ซึ่งที่นี่มีจักรยานให้เช่าในราคาที่ไม่แพงเลย ประมาณ 30 บาท หรือบ้านบางหลังอาจจะมีจักรยานไว้ให้ใช้ เราเดินตามถนนในหมู่บ้านและเริ่มมองหาร้านค้าเล็กๆ หรือร้านขายของชำที่จะขายทุกอย่างในหมู่บ้าน เพือเตรียมเสบียงขนม ระหว่างทางที่เดินผู้คนที่นี่ก็น่ารัก ยิ้มแย้มและทักทายตลอดเส้นทาง ชาวบ้านบางคนก็ถามไถ่จะไปที่ไหน ร้านค้าหรอ ?? พร้อมกับบอกทางและยิ้มให้ บางคนก็เพิ่งเลิกจากงาน บางคนก็เพิ่งเสร็จงานจากไร่นา มีทั้งเดิน ขี่รถเครื่อง(รถมอเตอร์ไซด์) หรือนั่งขับรถอีแต๋น เจอกันก็ทักทายกันตามประสาคนรู้จักไปตลอดทาง เห็นแล้วดูอบอุ่นชะมัด . .
และนี่คือบรรยากาศรอบๆ หมู่บ้านที่เราพัก (ถ่ายเก็บมาได้เล็กน้อย)
ที่นี่อากาศจะเย็นสบายตลอดปี . . มีภูเขาเล็กๆ ล้อมหมู่บ้าน
โรงเรียนของเราน่าอยู่ คุณครูใจดีทุกคน..
เจ้าถิ่นแสนซน . .
มืดแล้วว . .
ในที่สุดก็ถึงเวลาอาหารมื้อค่ำ เนื่องจากเรามากันจำนวนมากเป็นกลุ่มใหญ่จึงนำอาหารจากบ้านพักแต่ละหลังมารวมกันที่บ้านหลังใหญ่สุดหนึ่งเพื่อทานมื้อค่ำแสนอร่อยด้วยกัน และเคล้าไปกับอากาศเย็นสบาย และเมนูยอดฮิตของที่นี่ที่ไม่ควรพลาด!! "ไข่ป่าม และ ปูนาผัดผงกะหรี่" เป็นการนำปูนามารีมิคที่เข้ากันดี และอร่อยเหาะ!! ด้วยความหิวโหยมื้อค่ำวันนั้นจึงไร้รูปมาเป็นหลักฐาน . . !!
................................................................................................................
04.00 น. ในเช้าของอีกวันเช้าเรารีบตื่นกันค่อนข้างไว(เช้ามากกก) เพราะเช้านี้เรามีนัดจะไป "พิชิตเขาโปกโล้น" ซึ่งอยู่บริเวณด้านข้างของหมู่บ้าน เรานัดกับรถกระบะของหมู่บ้านให้มารับประมาณตีห้าของบ้านแต่ละหลัง อากาศเช้าวันนั้นเย็นสบายจนเกือบจะหนาว เรานั่งรถจากตัวหมู่บ้านไม่นานนักก็ถึงบริเวณที่เราต้องเดิน เตรียมไฟฉายให้พร้อมแล้วเริ่มเดินกัน ซึ่งจะมีพี่ไกด์ไปกับเราและคอยนำทาง
ระยะทางเดินเท้าจากจุดเริ่มเดินนั้นเรียกว่าชิลๆ สบายๆ ด้วยระยะทางประมาณ 1 - 2 กิโลเมตร ลักษณะทางก็ไม่โหดเท่าไหร่ อาจมีบางช่วงที่ชันแต่ยังถือว่าเดินสบายเดินไปเรื่อยๆ ใช้เวลาในการเดินประมาณ 30 - 40 นาที ก็ถึงจุดนั่งชมทะเลหมอก
หากใครเคยผ่านการเดินป่ามาบ้างแล้วมั่นใจได้เลยว่าที่นี่เดินสบายมาก และถ้าหากใครต้องการดูทะเลหมอกต้องพร้อมออกเดินทางเวลาประมาณ 05.00 - 05.30 น. เพราะจากบ้านพักเราต้องนั่งรถกระบะมาจนถึงจุดเดินเท้าประมาณ 20 - 30 นาที **ที่สำคัญอย่าลืมไฟฉายละ**
**ในทุกปีจะมีประเพณีปักธงปฐมฤกษ์ บนยอดเขาโปกโล้น ซึ่งจะทำกันในวันที่ 13 เมษายน ของทุกๆ ปี เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของพ่อขุนบางกลางท้าว **
มาถึงแล้ววววว . . . "ทะเลหมอก" ว้าววว!!
นั่งถ่ายรูปกันไปสักพักแสงสีส้มอ่อนๆ ก็เริ่มส่องพ้นแนวเขาด้านหน้าลงมา พระอาทิตย์กำลังจะโผล่แล้วล่ะ หมอกที่เห็นก็เริ่มกระจายเบาบางไปตามสายลมอ่อนๆ อยากให้มาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วจะรู้ . .
พอฟ้าเริ่มเปิด . .
Photo: P'Naon
พอฟ้าเริ่มเปิด . .
ไม่คิดเลยว่าที่ “นครชุม” จะมีที่แบบนี้ ถ้าไม่เคยมาก็คงไม่รู้ และพูดเลยว่าที่นี่น่ากลับมาเที่ยวอีกครั้ง เพราะถ้าหากใครได้มาสัมผัสที่นี่ คงติดใจและคงอยากกลับมาอีกอย่างแน่นอน . .
รองท้องมื้อเช้าในเมนูที่ธรรมดาด้วยข้าวเหนียวหมูทอด และที่ไม่ธรรมดาก็คงจะเป็นวิวด้านหน้า
และรองเท้าคู่ใจคู่นี่ไงที่ไม่คิดว่าจะพามาถึงตรงนี้^^
สำหรับข้อมูลการเดินทาง . .
- สามารถติดต่อ อบต.นครชุม โทร. 055 009 808 หรือ คุณตั้ม 095 815 3968
- การจองบ้านพักโฮมสเตย์นครชุม ติดต่อกับ อบต. นครชุม โทร. 055 009 808
- สำหรับราคาโฮมสเตย์ 450 บาท มีอาหารให้ 2 มื้อ มื้อเย็นและเช้า
การเดินทาง (แนะนำควรมีรถส่วนตัว ค่อนข้างสะดวกว่า)
- รถยนต์ ไปตามเส้นทางพิษณุโลก - นครไทย จากนั้นขับรถไปที่ ตำบลนครชุม ประมาณ 28 กิโลเมตร ซึ่งห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกประมาณ 100 กิโลเมตร
- นั่งรถ กรุงเทพฯ - พิษณุโลก ลงที่ บขส พิษณุโลก และต้องนั่งต่อรถทัวร์ไปยังอำเภอนครไทย หลังจากนั้นโบกรถเข้าไปยังตัวนครชุม หรือเหมารถเข้าไป หรืออาจติดต่อกับทาง อบต.นครชุมเพื่อจ้างรถมารับ
หลังจากใช้เวลาในการซึบซับบรรยากาศด้านบนจนอิ่มใจ เราก็เดินทางกลับมายังหมู่บ้าน เก็บของเตรียมตัวไปยังที่อื่นในพิษณุโลกต่อ . .
...........................................................................................................................