ปากเซ....จุดหมายปลายทางที่......ไม่ได้ตั้งใจ
#วันที่1 29/11/57
#ไม่มีคำตอบจากปากเซ...ชื่อคุ้นหูจากหนังเรื่องหนึ่งที่เป็นเสมือนสะพานทอดให้คนไทยรู้จักความงามของเพื่อนบ้านได้อย่างดีทีเดียว
ความตั้งใจแรกของการเดินทาง เรามีเป้าหมายหลักกันที่สามพันโบก แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมในขณะนั้นไม่อำนวยแก่เราเอาซะเลย แต่ไม่เป็นไร นักเดินทางมักจะเปลี่ยนแผนได้เสมอ เพราะสิ่งที่จะพบเจอข้างหน้า มันมักอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
จากด่านวังเต่า มุ่งหน้าสู่ถนนลูกลัง...ถนนเล็กและแคบลงเรื่อยๆ..เต็มไปด้วยฝุ่นแดง ที่นี่ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเท่าไหร่นัก....นอกจากวัวควายของชาวบ้าน ชับรถผ่านไปได้ซักพักความสวยงามของสะพานลาว-ญี่ปุ่นก็ปรากฎอยู่เบื้องหน้าซ้อนฉากกับความสูงต่ำของเมือง เย็นนี้ เราจะพักกันที่นี่.....ใจกลางเมืองที่ค่อนข้างเงียบ เราตัดสินใจติดต่อร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ในเย็นวันนั้น พร้อมกับแลกเงินที่ข้างโรงแรมอลิสาเกสท์เฮ้าส์ พรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางกันแต่เช้า
ยามบ่ายแก่..เราชวนกันเดินเลาะไปตามริมโขง...เรียนรู้วัฒนธรรมผ่านวิถีชีวิตของผู้คนความน่ารักของเด็กที่นี่ "พอเพียง..ไม่เกินตัว.เรียบง่าย.ถ่อมตนและไม่มีสังคมก้มหน้า"
เราเลือกที่จะนั่งร้านเล็กๆริมทางเท้า..ดื่มด่ำกับแสงอาทิตย์ที่สะท้อนกับน้ำราวกระจกใส
นั่งยิ้มให้กับวิถีของคนที่นี่...มีเพียงลูกชิ้นและไส้กรอกทอดเท่านั้น..ที่เป็นกับแกล้มชั้นดี....คู่กับ.....ชาและนมเย็น#เช้าวันที่ 2 30/11/57
เราตื่นกันตั้งแต่ไก่โห่ ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว เพื่อเตรียมตัวไปถ่ายภาพแสงแรกของวันที่สะพานลาว - ญี่ปุ่นกันอีกครั้ง ที่นี่ทำให้เราเห็นบรรยากาศของเมืองทั้งเมือง ผืนน้ำสะท้อนวิถีชีวิตให้เราได้อมยิ้มกันอีกครั้ง หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศจนอิ่มแล้ว เป้าหมายต่อไปของเราคือตลาดเช้า พี่ตาล พี่โอ และอาร์ท ได้ชิมเฝอกันที่นี่ แต่ก็ไม่ลืมที่จะซื้อ....ขนมปังฝรั่งเศส ใส่ไส้ในแบบฉบับของคนลาว "ข้าวจี่ปาเต้" ในราคา 24 บาทเท่านั้น
9.00 เวลาค่อนข้างสายจากที่เราตั้งใจกันไว้ เมื่อท้องอิ่มเราทั้ง 4 คนก็รีบมุ่งหน้าไปสู่ที่ราบสูงโบโลเวน ผ่านความสวยงามของทิวเขา เมื่อเข้าสู่กิโลเมตรที่30 จุดเริ่มต้นของเขตเมืองบาเจียง ภูมิประเทศที่เป็นป่าฝนเขตร้อนและเป็นภูเขาไฟเก่าทำให้ธรรมชาติที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์ ความเย็นจากไอหมอกก็เริ่มเข้าปะทะเราอย่างต่อเนื่อง ระหว่างทางเราขับผ่านโรงงาน ดาวคอฟฟี่ ชื่อดังของที่นี่ ระยะทางจากเมือง ไปสู่น้ำตกแรกที่เราแวะ ประมาณ 38 กม. "ตาดผาส้วม" คนไทยได้สัมปทานที่นี่ นอกจากน้ำตกที่เหมือนปั้นแต่งหินให้เกิดเป็นแหล่งน้ำแล้ว ยังมีสะพานไม้สานคล้ายอุโมงค์เป็นทางให้เราข้ามไป ซึ่งแน่ล้ะ พี่ไทยต่างเซลฟี่กันอย่างสนุกสาน และที่นี่เราค้นพบว่าป่าหลังน้ำตกนั้นมีความน่าสนใจมากกว่า มันเต็มไปด้วยความสมบูรณ์ของพืชพันธ์ ตามสไตล์ป่าฝนเขตร้อนจากน้ำตกแรก เรามุ่งหน้าไป "ตาดเยือง" ซึ่งห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล ขับอกไปตามทางเก่า ผ่านถนนเล็กในหมู่บ้าน ไปสู่ถนนลาดยาง ประมาณ นาทีเราถึงทางเล็กๆและแคบ สองข้างทางเต็มไปด้วยสวนแก้วมังกร และสวนกาแฟของชาวบ้าน ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ฝนจากที่เริ่มปรอยกลายเป็นเม็ดที่ใหญ่และแรงขึ้น น้ำตกนี้ต้องจอดรถไว้ด้านหน้าและเดินเท้าต่อเข้าไป
ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง เราตัดสินใจแวะทานข้าวกันที่นี่ และได้ค้นพบความอร่อยหอมกรุ่นจากไร่กาแฟชาวบ้าน ที่นี่ราคาอาหารหลักร้อยแต่วิวหลักล้าน มีธารน้ำตกเล็กๆอยู่ด้านบน ถ้าหากเดินไหลไปตามทางของน้ำ จะค้นพบความอลังการของธรรมชาติ
หลังจากท้องอิ่ม ทุกคนพากันเดินลัดเลาะไปตามทางสะพานไม้เก่า ชุ่มไปด้วยตะไคร่ และ ละอองจากน้ำที่ตกลงกระทบหิน แรงตกกระทบมีมากจนทำให้พื้นที่บรเวณนั้นเปียกไปทุกอณู ความหนาวเย็นมาเยือนอีกครั้ง เรายังคงไต่ระดับเดินลงไปทางด้านล่าง เพื่อที่จะไปให้ใกล้มากที่สุด ให้ธรรมชาตรักษาใจของเรา ได้ชะล้าง ได้เรียนรู้ และอยู่กับสิ่งตรงหน้าให้นานที่สุด....ก็แค่นั้นเย็นนี้เราตั้งความหวังที่จะไปให้ทันชมพระอาทิตย์ตกในจุดที่สวยที่สุดของเมืองให้ได้ ซึ่งเราได้รู้จากโรงแรมที่พักว่ามีที่นี่อยู่ เวลา15.00 น. เรามุ่งหน้าไปทางกลับเมือง และแวะน้ำตกที่อยู่ติดกันเป็นที่สุดท้าย
"ตาดฟาน" น้ำตก 2 สาย จากเขตอนุรักษ์ดงหัวสาว ที่ไหลลงสู่เบื้องล่าง ความแรงของกระแสน้ำเกิดขึ้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก ปลายน้ำสิ้นสุดที่จุดไหน เราไม่อาจรู้ ยกเว้นจะคาดเดาจากสายตา แต่ซักวัันเราจะเดินลงไป ให้ 2 เท้า และ 2 ตา หาคำตอบให้ตัวของเราเอง
สุดท้ายแล้วเวลาก็ไม่เคยคอยใคร แสงอาทิตย์ก็ไม่เคยรอเราเช่นกัน พวกเรามาไม่ทันอย่างที่ตั้งใจกันไว้ ระหว่างทางที่กำลังเดินขึ้นบันได แสงแดดยามเย็นค่อยๆลับสายจากเราไปเรื่อยๆ มีเพียงแสงไฟจากมือถือกับแสงจากดวงดาวบนฟ้าแค่นั้น สองขาก้าวขึ้นด้วยความระมัดระวังจากบันไดปูน 332 ขั้น สลับเป็นบันไดไม้เก่าที่ผุพัง จำนวณ 204 ขั้น เราก็เห็นแสงสว่างความศรัทธาจากองค์พระ ที่นี่.....วัดพูสะเหล่า
ณ จุดสูงสุดของเมือง เรานั่งชื่นชมความงามท่ามกลางความมืด ปราศจากแสงไฟ บนนี้สามารถมองเห็นดาวบนดินเหล่านั้นได้ชัดเจนยิ่งนัก การขึ้นมาจุดชมวิวที่นี่มันทำให้เราได้อิ่มเอมในรสชาติของเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี ...... 20.00น. เราพากันเดินลงจากเขาอย่างไม่ทุลักทุเลนักเพราะน้ำย่อยในกระเพราะมันเรียกร้องถามหาร้านอาหารริมแม่น้ำซะแล้วซิน้ะ
#วันที่3 1/12 /57
เยือนถิ่นมรดกโลก
ย้อนขึ้นมาทางสะพาน ลาว - ญี่ปุ่น อีกครั้ง เราขับรถอย่างเรียบง่ายในถนนลาดยาง เมื่อมีถนน ความเจริญต่างๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ สายไปที่พาดผ่าน ระโยงระยางยุ่งเหยิงไร่เรี่ยไปตามถนนสู่ปราสาทพู สองข้างทางเต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ ทุ่งนาสีเขียวของชาวบ้าน เมฆหมอกจากฟ้าระลงสู่พื้นดิน ม่านหมอกเหล่านั้นกำลังนำทางเราไปสู่แหล่งกำเนิดอารยธรรมทางด้านสถาปัตยกรรมของโลก "นครวัด" สถานที่ที่เราจะไปเยือนในอีกไม่ช้า
"ภูเกล้า" ชื่อที่ชาวบ้านเรียกขาน ตั้งตระหง่านท่ามกลางเมือง ไล่เลี่ยสายตาจากตีนเขาสู่หลังแป เมฆหมอกเป็นชั้น ผสมกับแสงแดดอุ่นในยามเช้า ทำให้ใจเราย้มอีกครั้งตลอดการเดินทางบนถนนสายนี้ ถนนสายสวรรค์ ที่เปิดทางสู่วัดพู.....ปราสาทเก่า......ที่เราตั้งใจมาหาคำตอบบางอย่างจากที่นี่ เสานางเรียงรายตามทางเดินเราเดินย่ำไปบนหินของปราสาทเก่า ที่ค่อนข้างแคบและบิดเบี้ยวไปตามกาลเวลา แต่ยังคงทะนงตัวตั้งตระหง่านรองรับกับต้นจำปาลาวใหญ่ยักษ์ที่เป็นซุ้มเหมือนตั้งใจจัดฉาก ณ จุดที่เรายืนเมื่อหันหลังกลับไป "เสานาง" เรียงรายทอดตัวยาวประดับทางเดิน ซ้ายขวาเป็น โรงเท้าและโรงนางที่กำลังบูรณะซ่อมแซม เราเดินไปตามความแนวลาดชันของภูเขา ขึ้นสู่บันไดทั้ง 7 ชั้น ตามความเชื่อของคนโบราณ "บันได 7 ชั้นเป็นทางสู่สรวงสวรรค์" จากบันไดขั้นแรกจนถึงขั้นสุดท้ายความอลังการของปราสาทถึงแม้จะไม่ใหญ่โตนักแต่ก็งดงามจับใจ เรานั่งพักเหนื่อยมองความเหนื่อยยากที่เราผ่านมา (พูดเหมือนลำบากมาก 555) แล้วค่อยใช้ใจ เดินซึมซับอารายธรรมโบราณจากที่นี่
" ทวารบาลและนางอัปสร ที่เราต่างพบเจอเสมอเมื่อเราไปเยือนปราสาทหิน" คำพูดของใครซักคนใน pantip มันทำให้เราสังเกตุสิ่งรอบข้างได้มากขึ้น เราเคยคิดว่าการไปเรียนรู้ก่อนที่จะไปหรือไปแล้วค่อยกลับมาอ่านทีหลัง มันคงไม่ต่างกัน แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น การที่เรารู้ประวัติศาสตร์หรือรากเหง้าในสิ่งที่เราจะไปสัมผัสนั้น มันเกิดความสนุกยิ่งกว่า เราสองคนพากันเดินตามหา ทวารบาล นางอัปสร ทับหลังนารายณ์ที่ขึ้นชื่อ แล้วเราก็พบว่ามันมีความสมบูรณ์ และสวยงามที่สุดที่เคยเห็นมา
ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอารายธรรมที่นี่ เราคงได้เพียงแค่เดินดูความงามจากปราสาทเก่าเท่านั้น ถ้าเดินลัดเลาะตามไหล่เขามาทางด้านขวา จะพบเจอสวนหินใหญ่ยักษ์ โปรยทางด้วยพรหมจากใบไม้ในฤดูแล้ง สีน้ำตาลสวยจับใจ ความสวยงามที่มีมนต์ขลังความน่ากลัวบางอย่างซ่อนอยู่ แท่น"หินบูชายัญ รูปจระเข้" วัตถุประกอบพิธีโบราณสมัยเจนละ ที่ใช้เลือดจากหญิงสาวบริสุทธ์ขึ้นแท่นบูชาแก่เทพเจ้า ที่เราดั้นด้นมาตามหาถึงที่นี่ ตามคำบอกกล่าวของผู้ใดก็ตามเคยมาเยือนที่นี่ มรดกโลก "วัดพู"