คืนแรกที่ จอมทอง มุ่งหน้าสู่บ้านแม่กลางหลวง พร้อมกับซิมเน็ตที่ใช้การไม่ได้!!
จากโปรศูนย์บาทด้วยราคาบินเพียงแค่ 190 บาท ไม่โหลดกระเป๋า ไม่เอาประกันชีวิต จึงเป็นเหตุผลในการมาเชียงใหม่ในครั้งนี้ ด้วยเวลาเพียงแค่สองคืน จึงเลือกพักคืนแรกที่จอมทองซึ่งไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ส่วนคืนที่สองเลือกพักในเมืองเพื่อง่ายต่อการเดินทางกลับ
ทำไมจึงเลือกเที่ยวหน้าฝน คือจริงแล้วเที่ยวได้ทุกฤดู ขอแค่มีเงิน และครั้งนี้ไปช่วงต้นเดือนสิงหา นาข้าวกำลังตั้งตัวเป็นตอ น้ำกำลังขังด้วย เวลาแสงแดดส่องกระทบน้ำ มันคงจะสะท้อนเป็นแสงสีทองที่สวยงามมิใช่น้อย บ้านแม่กลางหลวงจึงเป็นเป้าหมายสำหรับคืนแรก
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามในการมาเที่ยวคนเดียว ด้วยความเตรียมพร้อมจึงไม่กลัวอะไร เริ่มจากโบกรถแดงที่สนามบินไปลงประตูเมืองเชียงใหม่ ในราคา 40 บาท
จากนั้นต่อรถเหลืองจอมทองไปลงพระธาตุศรีจอมทองในราคา 35 บาท
รถจอดตรงข้างวัดใต้ต้นมะขาม รอจนคนเต็มรถจึงออกรถ การเดินทางครั้งนี้มีอุปสรรครบกวนอยู่นิดหน่อย คือโชคร้ายที่ช่องอ่านซิมมือถือเกิดขัดข้องกะทันหัน เลยต้องทำการซ่อมที่ร้านที่อยู่แถววัดพอดี เสียค่าซ่อมไป 650 มือถืออันนี้บรรจุได้สองซิม คือซิมเน็ต กับซิมไม่เน็ต และในระหว่างการซ่อม ซิมเน็ตเกิดเสียหาย แต่ซิมไม่เน็ตนั้นปลอดภัยดี เอิ่ม.. ความรู้สึกตอนนั้นมัน ใจแทบสลายเชียวค่ะรออยู่ชั่วโมงกว่า เพราะรถออกบ่ายโมงครึ่งและคนก็เต็มรถพอดี นั่งรถแม่แจ่มมาลงที่ กม. 26 ตรงนัั้นมีศาลารอรถพอดี มีทางเดินลงไปเข้าสู่หมู่บ้าน เป็นทางลาดชันมากๆ แต่พอเดินได้ ด่านแรกที่เจอเป็นศูนย์บริการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ติดต่อห้องพักได้ตรงจุดนี้
ตรงนี้เป็นร้านกาแฟอิ่มใจด้วย วันที่มาเขากำลังขยายต่อเติมร้านกาแฟ และตรงนี้เป็นที่ที่มีประโยชน์มาก เพราะเราต้องมาอาศัย wifi ตรงจุดนี้ เรียกว่านั่งแช่ตรงนี้อยู่เป็นนาน ไม่ยอมไปนั่งอยู่ในห้องพักเลย 5555 มาถึงแม่กลางหลวงเราก็ได้เจอกับสาวน้อยคนหนึ่งที่มีชื่อว่า "ดีทู" เป็นคนที่คอยดูแลต้อนรับเราเป็นอย่างดี และยังชงกาแฟให้กินอีกด้วย
มาดูห้องพักกัน หลังที่จองไว้คือบ้านริมนา 3 อยู่ติดนาจริงๆ
หลังนี้มีสองห้องติดกัน พักได้ 8 คน ราคาช่วงที่มาราคา 1500 แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวราคาจะถีบตัวสูงถึงเกือบสามพัน
ห้องนึงนอนได้ 4 คน ไม่มีทีวี ตู้เย็น ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม ห้องน้ำในตัว ที่นี่อากาศเย็น พอดึกๆ เริ่มหนาว แอร์จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับที่นี่หลังจากนั่งพักที่บ้านได้สักพัก เวลาเย็นก็เริ่มสำรวจพื้นที่ จุดแรกที่แวะคือ ร้านกาแฟ "สมศักดิ์" กาแฟที่ร้านนี้ คั่วและบดใหม่ๆ จากเครื่องบดโบราณ สามารถชิมได้ฟรีไม่เสียตังค์ ชาวบ้านปลูกเองขายเอง ที่นี่จึงมีร้านกาแฟให้ได้ชมอยู่หลายร้าน บรรยากาศร้านนั่นแสนธรรมดา แต่อบอวลไปด้วยการนั่งสนทนาระหว่างเจ้าถิ่นกับนักท่องเที่ยว เริ่มแรกคุณสมศักดิ์ขายเมล็ดกาแฟเป็นงานหลัก ขายให้กับแบรนด์ดังจนออเดอร์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้ามีการปลูกกาแฟมากขึ้นก็ต้องบุกรุกป่ามากขึ้นด้วยเช่นกัน คุณสมศักดิ์จึงต้องเปลี่ยนงานหลัก จากปลูกกาแฟเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แทน ด้วยการสร้างโฮมเสตย์ขึ้นมา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอยู่ไม่ขาด ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย
หลังจากจิบกาแฟเสร็จ ก็ได้เวลาลากแตะไปแชะรูปตามอำเภอใจ นี่แหละคือช่วงเวลาที่มีความสุขเป็นที่สุด ดีทูขับรถเครื่องพาเราไปปล่อยตรงจุดที่เป็นลำธารน้อยๆ ตรงนั้นเราเดินข้ามสะพานไม้ไผ่ที่โยกสั่นคลอนตามน้ำหนักของคนข้าม แต่มันก็มิได้หวาดเสียวเกินกว่าที่จะยอมหยุดยืนอยู่กลางสะพานแล้วถ่ายภาพที่อยู่เบื้องหน้า
เราได้เผชิญหน้ากับต้นข้าวอย่างจัง ต้นข้าวที่เป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้ ที่นี่มีโฮมเสตย์มากมาย ดูแลโดยชาวบ้าน ทางการมีกฎหมายห้ามมิให้นักลงทุนเข้ามาลุกล้ำทำธุรกิจรีสอร์ทใดๆ ในพื้นที่เขตจอมทองนี้ แต่การที่ชาวบ้านจะทำโฮมเสตย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ต้องทำเรื่องต่อหน่วยงานราชการก่อนจะได้รับการอนุมัติให้ทำธุรกิจโฮมเสตย์ได้เดินเรื่อยเปื่อยมาจนถึงร้านกาแฟหลังหนึ่งที่มีนามว่า "อุ่มเอิบ" ซึ่งตอนนี้ปิดบริการแล้ว คิดว่าจะแวะมาชิมกาแฟที่นี่ในวันพรุ่งนี้ ก่อนที่จะกลับเข้าตัวเมืองให้จงได้
เย็นมากแล้ว เห็นทีต้องหาอะไรเข้าท้อง มื้อเย็นมีโอกาสได้ฝากท้องไว้กับร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ใกล้ๆ กับร้านกาแฟอิ่มใจ ร้านนี้อาหารไม่แพง สั่งกะเพราหมูไข่เจียวราดข้าว ราคาแค่ 35 บาทเท่านั้น
หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็ยังนั่งโซเชียลอยู่ตรงแถวร้านกาแฟอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งพลบค่ำจึงได้เวลาเข้าบ้านพักเสียที หลังบริเวณใกล้เคียงก็ไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงเราผู้เดียวเท่านั้นที่นอนอยู่ในบ้านริมนาหลังใหญ่ ท่ามกลางความมืดและเงียบสงัดกับค่ำคืนอันแสนยาวนาน และสิ่งที่ต้องทำคือเปิดไฟนอนจ้ะ ^_^!