รีวิวจัดเต็ม [Backpack ''คนเดียว''] โบกรถขึ้นดอยบุกป่าฝ่าฝนรับลมหนาวที่ (บ้านสายหมอก - ดอยชัวร์ญ่า - กิ่วแม่ปาน) 4วัน3 คืนด้วยงบ 3500 บาท
สวัสดีครับต้องขอบอกก่อนเลยว่ากระทู้นี้ เป็นกระทู้แรกของผมเลย ตื่นเต้นมากๆครับ
เกริ่นก่อนเลยว่า ความรู้ในการ ไปเที่ยวคนเดียวหรือ Backpack ในเชียงใหม่ของผมนั้นเป็น 0 และเรื่องการเตรียมตัวก็เช่นกัน
แต่ผมก็ยังอยากจะลอง Backpack คนเดียว แบบประหยัด สักครั้งในชีวิต เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ
โดยในทริปนี้ สิ่งที่ผมได้พบและเจอ มันทำให้ผมได้ทั้งประสบการณ์ และมิตรภาพดีๆระหว่างทางมากมาย
จนลืมไม่ลงจริงๆ
__________________________________________________________________________
ผมจึงเริ่มวางแผนแบบมั่วๆลวกๆโดยเร็ว เริ่มจาก
การโทรไปจองที่พัก ที่ - บ้านสายหมอก - อยู่ที่เชียงดาว
(ได้นอนเต้นท์)
จากนั้นก็โทรจองรถทัวร์ เพื่อเดินทางไปเชียงใหม่ และจองตั๋วเครื่องบินขากลับที่เหลือก็พวกเตรียมตัวจัดของ
โดยอุปกรณ์คู่กายในการถ่ายภาพในทริปนี้คือ
I Phone 6 และ กล้อง Canon 100D เลนส์ 18-55 STM ครับ
จากนั้นก็ ศึกษาหาข้อมูลเบื้องต้น พอพร้อมแล้วเราก็ออกลุย !!
โดยแผนที่คิดไว้จะเป็นแบบนี้ครับ
ผมเริ่มออกเดินทางในวันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2558 กลับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2558
เริ่มกันเลยนะครับ
ผมออกเดินทางออกจากกรุงเทพ
โดยรถทัวร์ของ สมบัติทัวร์ ราคา 584 บาท
เดินทางเวลา 20.10 - 05.10 แต่รถออกช้าครับ
เวลาออกเลยเป็น 20.30
ถึงแล้วครับ เชียงใหม่
ผมมาถึงเวลา ตี 5 กว่าเกือบ 6 โมง
โดยสถานีที่ผมมาลงก็คือ อาเขต ครับ
สิ่งที่ต้องไปต่อเท่าที่รู้ คือต้องไปขึ้นรถไปเชียงดาวที่ อาเขตช้างเผือก ครับผมจึงเดินออกมาโบกรถแดงที่เค้าร่ำลือ ถามไถ่บอกว่าไป ราคา 40 บาท ตอนแรกไม่ทราบว่าเรทราคาเท่าไหร่แต่พอได้ไปจริงๆ วัดระยะทางในใจแล้ว ตูโดนหลอกแน่ๆ แต่คิดในแง่ดี ถือซะว่า เป็นการเที่ยวชมเมืองเชียงใหม่เพราะพี่คนขับสาว ต้องไปส่งคนอื่นที่ขึ้นก่อนผม ที่ หนองหอย ก่อนครับ
เริ่มมีแสงแล้วครับ เช้าแล้ว ก็เห็นบรรยากาศชาวเชียงใหม่ ในตอนเช้าครับ
พอส่งพี่ๆ คนที่ขึ้นก่อนผมเสร็จ ก็ถึงคราวผมหล่ะครับ ผมนั่งมองทาง และพยายามจะจำมัน
ซึ่งบอกตรงๆผมลืมตั้งแต่เข้าซอยมาได้พักนึงแล้ว ฮ่าๆ เขาพาออกทางลัดมาถนนใหญ่
และวิ่งไปถึง อาเขตช้างเผือก ในเวลารวดเร็วลงรถพี่เขาก็ถามจะไปไหน ผมเองก็ตอบว่าจะไปเชียงดาว เขาจึงบอกว่า โชคดี''
และนี่คือ โฉมหน้ารถที่จะพาผมไปถึงเชียงดาว ผมว่าน่าจะใช่คันนี้นะ
ถามคนแถวนั้น ว่าจะไปเชียงดาว เขาก็ชี้มาว่า
ไปซื้อตั๋วตรงนู้น รถ เชียงใหม่ - ท่าตอนผมจึงได้เดินมาจุดซื้อตั๋ว ก็มีคนเยอะอยู่เหมือนกัน ทั้งชาวต่างชาติและคน ไทยครับ
นี่ครับ ซื้อตั๋วตรงนี้ บอกว่าจะลงเชียงดาว รถออกกี่โมงครับ พี่แกตอบว่า จะออกแล้ว 7 โมง
ราคาตั๋ว 40 บาท และระบุที่นั่งด้วย สำคัญมากนะครับ เราต้องนั่งตามที่นั่งครับ ผมได้ที่นั่ง 28
นี่คือ รถที่ผมจะนั่งไปยัง เชียงดาวครับ
รถออกตรงเวลามากครับ 7 โมงก็ออกแล้ว โดยรถจะจอดรับคนตามป้ายด้วยครับ
ก็จ่ายเงินเหมือนรถเมล์ ได้เลย แต่จะไม่มีการระบุที่นั่ง
ออกเดินทางไปเชียงดาวกัน พร้อมกับอุปกรณ์คู่ใจของผมในทริปนี้ ชักปวดขาแล้วสิ ขาเราก็ดันยาวซะด้วย
ระหว่างเดินทางแรกๆก็คึกคักนะครับ 555 ตื่นตาตื่นใจ เพราะก็ซดกาแฟบนรถทัวร์มา
จึงต้องร้องเพลงของ ดาเอ็นโดฟินกันเลยทีเดียวว่า ให้มันตาตรึงงงงง!!
คนก็เริ่มขึ้นมาแน่นรถแล้วครับ บรรยากาศนี่
แดดออกร้อนๆเลยครับ เหงื่อตกกันเลยเพราะปิดหน้าต่างไว้
จะเปิดก็ไม่กล้าครับ เขาปิดกันทุกบานเลยอ่ะ
มาถึงจนได้ครับ เชียงดาว
ถึงประมาณ 8.40 กว่าๆ ใช้เวลาเดินทาง 1.30 ชม. โดยประมาณ
คิดในใจว่า ดีใจโว้ยที่ไม่หลง ผมลงที่หน้า โลตัสเชียงดาว และเดินเรื่อยๆ
เจอป้าคนหนึ่ง ผมก็ถามทางว่า ไปคิวรถเมืองคองยังไง ป้าแกตอบดีมากครับ บอกระบุชัดเจน ผมจึงเดินไป
เดินมาถึงซอยนี้ ก็เจอ ร้านขาหมูที่ร่ำลือกัน แต่ผมไม่ได้ลองนะ เพราะรถจะออกเลย
ผมเดินมาเจอรถสองคนนี้ สอบถามแล้วบอกว่าจะไปบ้านสายหมอก พี่คนนึงแกเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกันครับมาถึงตั้งแต่ตี4
แกบอกว่าไปคันนี้อออกเลยอีกคันจะออก 10 โมง เลือกเอา แต่แกเลือกจะไปคัน 10 โมงครับแกไม่รีบ
เราจึงได้ไปคนละคันกันผมก็นั่งคุยกับพี่แกอยู่นานครับระหว่างรอลุงคนขับรถ
ถามไถ่ว่ามาจากไหน มายังไง จะอยู่กี่วัน ว่าไปเรื่อย แกบอกว่าหนีความวุ่นวายมา
พกหนังสือมาอ่าน 10 กว่าเล่ม แกพักบ้านวิวดอยหลวง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่ผมพัก
พอลุงคนขับมา ผมก็เริ่มออกเดินทางครับ สอบถามค่ารถแล้ว 50 บาทต่อคนครับ
และยังมีลุงคนนึงเพื่อนร่วมทางอีก 1 คน ลุยไปด้วยกัน ''ผมว่านี่แหละ คือสีสันของการเดินทางครับ''
ระหว่างทาง ลุงคนขับแกก็ขับรถ เข้าไปในตลาด ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจหรอก ว่าจะวนซ้ำทำไม
พอนั่งไปนั่งมา ก็คุยกับลุง คนที่นั่งด้วยกัน แกก็บอกว่า มารับของ มีคนฝากขึ้นไปข้างบนดอย
อ๋ออออออ ผมก็เข้าใจทันที ใครฝากลุงแกก็รับ ผมก็ช่วยขน ช่วยจัดให้เข้าที่เข้าทาง
ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี และสนุกสนานมากครับ ฮ่าๆ ของเยอะพอสมควรครับ
ขับออกมาจากตลาด ก็ได้สมาชิกร่วมทางมาอีก 1 ท่าน ก็คือคุณลุงท่านนี้ครับ
ระหว่างทางขึ้นดอย ก็ยังมีแวะเป็นจุดๆ คนก็ยังฝากของขึ้นไปเรื่อยๆ
การฝากนั้น ก็จะจ่ายค่าขนส่งกันเลย และแจ้งพิกัดการส่งของ โดยของส่วนมากเท่าที่ดู
ก็จะเป็นพวก ผัก และของสดปนของแห้ง ของใช้ต่างๆก็มีบ้าง ส่วนใหญ่เป็นของทำกินซะมากกว่า
และนี่คือโฉมหน้า คุณลุงคนขับของผมครับ
ลุงชื่อ ลุงบุญ ครับ ได้ยินคนแถวนั้นเรียก
เรากำลังจะขึ้นดอยกันแล้วครับ ระหว่างทางก็ขับผ่านหมู่บ้าน แกก็ยังจะแวะไม่หยุดจริงๆ
คราวนี้แวะซื้อปลาครับ
นี่คือคนขายปลาครับ ทำขายกันในบ้าน แกขายอย่างเดียว ไม่รับฆ่า เพราะเห็นมีป้ายบอกว่า
ห้ามฆ่าปลาในบริเวณบ้านหลังนี้
ออกเดินทางกันต่อครับ ระหว่างก็คุยกันคุณลุงทั้ง 2 ท่าน เพลินๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
เรามาถึงทางขึ้นอย่างแท้จริงแล้วครับ ตรงนี้จะมีด่านของเจ้าหน้าที่ด้วย ก็ยังมีคนฝากของขึ้นไปอีกนะครับ
ตอนนี้ของเต็มรถแล้วครับ ผมกับคุณลุง ช่วยกันจัดใหม่ จนเข้าที่เข้าทาง แล้วเราก็ลุยกันต่อ
พระเจ้าช่วย ฝนตกครับ ในใจในหัวตอนแรกคิดว่าจะมาเอาบรรยากาศชิวๆ ไม่ได้มองเรื่องของฝนตกไว้เลย
ตอนนี้คิดสารพัดครับ จะทำยังไง จะสนุกมั้ย หัวใจห่อเหี่ยวมากๆครับ
ก็ยังคุยเล่นกับคุณลุง คุยไปขำไป เรื่องฝนฟ้าอากาศ ในระหว่างทางขึ้นเขาซึ่งมันหลายโค้งมากๆ
ผมเองคิดในใจว่า ดีนะไม่กินข้าวมา ไม่งั้นพุ่งแน่ๆ ผมก็ยังกังวลใจเรื่องฝนอยู่ดี
ระหว่างทาง เราก็สนทนากัน ลุงแกก็เล่าเรื่อง ถนน ว่ามีความเป็นมายังไง
ลุงแกบอกว่า แต่ก่อนมันเป็นดินเลย เละๆ รถแบบนี้เข้าไม่ได้ (รถกระบะ) ต้องเป็นรถโฟวิวเท่านั้น
แล้วมันลำบากมากๆ การที่จะได้ของแต่ละอย่าง แล้วมันน่ากลัวด้วยโค้งมันเยอะอันตราย หืมม สาระนะเนี่ย
ลุงแก พูดไปถึงงบในการสร้างถนนเส้นนี้ว่า ใช้งบประมาณ 600,000 กว่าบาท ได้ถนน และได้ไฟ ด้วย
ซึ่งมันก็หลายสิบปีมาแล้วหล่ะลุงแกก็บอกว่าคนที่จัดการเรื่องนี้เนี่ยเก่งมากๆ ใช้งบได้คุ้มสุดๆ
และถ้าเป็นสมัยนี้ 6 แสน จะเอามาทำถนน ได้ถึง 2 กิโลได้รึเปล่าก็ไม่รู้
ต่อมาก็เข้าเรื่องลี้ลับอีก ลุงแกเล่าว่า บนเขาเนี้ย เครื่องบิน บินผ่านไม่ได้นะ
เคยมีมาบินผ่านแล้ว เครื่องมันรวน จนต้องเลี้ยวกลับ จนทุกวันนี้บินผ่านไม่ได้เลย
(ข้อมูลนี้จริงไม่จริงไม่ทราบนะครับ ถือว่าอ่านเพื่อความสนุกแล้วกัน)
และแล้วผมก็มาถึงทางเข้าครับ ฝนตกหนักมากๆๆ ..... และต้องเจอกับความจริงที่โหดร้าย คือ ลุงบุญคนขับรถแกไม่เข้าไปส่งครับ
(ซึ่งผมเดาว่าแต่เดิมแล้วก็คงไม่เข้าไป) ผมก็คิดว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดี ความเครียดครอบงำเลยครับ
พอลง และจ่ายเงิน ลุงแกบอกว่า เดินเข้าไปนิดเดียว เนี่ยๆๆ ทางนี้
ซึ่งผมมองไป มันก็ไม่ไกล แต่มันก็ไม่เห็นปลายทางแถมมันแฉะและฝนตกหนักจริงๆ
ภาพตัดกลับมา ผมหันไป เห็นรถลุงขับออกไป แล้วเพลงก็ดังขึ้น ..... ทำ..ถูกแล้ว ที่เธอเลือกเขาและทิ้งฉันไว้ตรงกลางทาง
โอ้ววว ตอนนี้ผมโดนทิ้งอยู่ตรงนี้ ติดฝนหนัก แฉะ เละ จะโทรหาพี่เจ้าของที่พัก ให้มารับ ก็ไม่มีสัญญาน
ตอนนี้เพื่อนคนเดียวของผม ก็คือ เจ้าไก่ตัวนี้นั่นเอง คือยืนหลบฝนอยู่กับไก่ ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่เลยทีเดียว 555
ในใจตอนนี้คิดแต่ว่า นี่ตูมาทำไรที่นี่วะเนี่ยย อยู่บ้านดีๆไม่ชอบ กะจะมาสบายๆ
แต่ดันเจอฝน ทำให้ความลำบากมันมากขึ้น แล้วจะทำยังไงต่อดี แต่ผมก็ยิ้มสู้ครับยืนร้องเพลงอยู่คนเดียว5555