ทำไมต้องป่าบงเปียง?
เมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้ว เราเปิดไปเจอรูปๆ นึง ในรูปนั้นมีท้องฟ้าสีสวย ตัดกับภูเขาสีเขียว และนาขั้นบันไดสีเหลืองทอง เราหลงรักที่นั่นทั้งที่ยังไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน .. หลังจากการหาข้อมูลเราก็ปักหมุดอยู่ในใจว่าจะต้องไปเห็นกับตาตัวเองให้ได้ จัดการหาสมาชิกร่วมเดินทาง จองตั๋วเครื่องบินข้ามปีกับสายการบินแอร์เอเชียในราคาไปกลับเพียง 600 บาท เลือกเอาช่วงเวลาที่ต้นข้าวออกรวงสีเขียวอมเหลือง คือเดือนตุลาคม
พอใกล้ถึงวันเดินทาง ก็ต้องรีบติดต่อหาที่พัก เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น เดี๋ยวจะได้นอนกลางนา 555
พักที่ไหนดี ?
เรื่องบ้านพักบอกเลยว่าบ้านพักที่นี่วิวดีหมด นอนที่ไหนก็ดีเหมือนกัน :)
สำหรับที่พักของเรานั้น มีเพื่อนแนะนำมาอีกที บอกว่าเจ้าของน่ารัก บ้านพักวิวดี ชื่อกระท่อมดาวบ้านดอย ของคุณสาโรช (โทร.091-7673998 แอบให้เบอร์ไว้เผื่อมีคนสนใจ) ราคา 500 บาทต่อคน มีอาหารให้ 2 มื้อ เราเลยจัดการขอเหมารถเข้าไปที่พักด้วยเลย ราคา 700 บาท
ที่พักวิวดีจริงๆ เป็นกระท่อมหลังน้อยอยู่กลางทุ่งนา ในกระท่อมจะมีที่นอน หมอนมุ้ง ผ้าห่มไว้ให้ พอตอนเย็นๆ คุณสาโรชก็จะเอาพวกไฟฉายมาให้ จัดมาแบบเต็มอัตราศึกถึง 4 กระบอก กะว่าเอาให้สว่างไสวไปทั้งป่าบงเปียง 555
การเดินทางไปยังไง ?
เราไปแบบไม่มีรถส่วนตัว เริ่มจากขึ้นรถแดงไปลงที่ประตูเชียงใหม่ แล้วนั่งรถเหลืองจากเชียงใหม่มาลงที่ อ.จอมทอง ค่ารถคนละประมาณ 34 บาท จากนั้นก็นั่งรถเหลืองจอมทอง-แม่แจ่ม คนละ 70 (ตรงจุดนี้คนแน่นหน่อยนะคะ ตอนที่เราไปต้องนั่งเบาะเสริม เข้าโค้งทีเกร็งกล้ามเนื้อตูดชาไปหมด 555) บอกกับคนขับว่าลงที่ทางแยกน้ำตกแม่ปานค่ะ ไม่ก็บอกไปเลยว่าจะไปป่าบงเปียง
สำหรับคนที่อยากขับรถมาเองก็มาเส้นทางเดียวกันเลยค่ะ พอถึงแยกนำตกแม่ปานก็เลี้ยวไปตามเส้นทางนั้นเลย ขับไปประมาณ 3 กิโลเมตรจะมีเหมือนที่ทำการอุทยานฯ น้ำตกแม่ปาน จะมีลานจอดรถ สามารถนำรถไปจอดได้ และนัดกับรถเหมาเข้าป่าบงเปียงให้มารับที่นี่ได้
ทางเข้าไปป่าบงเปียงนั้น ระยะทางจริงๆ แล้วไม่ไกล แต่ด้วยความลำบากของพื้นถนน ยิ่งหน้าฝนด้วยแล้วยิ่งลำบากไปใหญ่ กว่าจะไปถึงก็ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
ทางเข้าก็จะเป็นถนนลูกรัง พอเจอกับน้ำฝนก็เป็นอย่างที่เห็นในรูปเลยค่ะ นั่งรถไปตับไตไส้พุงก็แทบจะสลับตำแหน่งกันเลยทีเดียว แต่คุณลุงคนขับรถก็ขับเก่งมากค่ะ พาเราไปถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ว่ากันว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากความลำบากมักจะสวยงามเสมอค่ะ...
ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ทุ่งนาสีเขียวอมเหลืองแบบที่เคยเห็นในรูปมันมีอยู่จริง :)
ที่เห็นหลังคาลิบๆ โน่นเป็นบริเวณหมู่บ้านที่ชาวบ้านอาศัยอยู่กัน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีกันอยู่ไม่กี่ครัวเรือน ส่วนบริเวณที่เราพักเป็นนาข้าว จะไม่ได้มีชาวบ้านอยู่ตลอด
ตอนที่ไปถึงเวลาก็เที่ยงพอดี ก็แอบถามคุณสาโรชว่ามีอะไรให้กินบ้างไหม คุณสาโรชเลยเสนอข้าวไข่เจียวให้ ใช้เวลานานพอสมควรสำหรับการทำข้าวไข่เจียว อาจจะเป็นเพราะต้องกลับไปทำกับข้าวมาจากหมู่บ้านทำให้ต้องรอนานหน่อย ระหว่างรอข้าวไข่เจียวก็นอนหลับพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
.....ไม่น่าเชื่อว่าข้าวไข่เจียวธรรมดาจะอร่อยได้ขนาดนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะความหิว หรือเป็นเพราะวิวมันสวย จะอะไรก็แล้วแต่ เราประทับใจข้าวไข่เจียวจานนี้มาก :) ข้าวเม็ดใหญ่ นุ่ม หอมมาก เป็นข้าวจากในนาของชาวบ้านนี่เแหละ (สำหรับราคาข้าวไข่เจียว คุณสาโรชแกบอกว่าแล้วแต่จะให้ เพราะไม่เคยทำขายมาก่อน คิดราคาไม่ถูก ^^)
พอท้องอิ่ม หนังตาก็เริ่มหนัก มาที่นี่ไม่ต้องทำอะไรเลยนะนอกจากนอน 555 อากาศมันกำลังเย็นสบาย ปูเสื่อนอนกันกลางกระท่อมอีกสักรอบ ...
รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่า ..ฝนตก.. บรรยากาศดีไปอีก อากาศก็เย็นสบาย
นอนฟังเสียงฝนอยู่สักพัก ก็เหลอหลับไปนอนไหนไม่รู้ >< (นี่มันทริปนอนนี่นา 555) พอตื่นขึ้นมาอีกทีเกือบสี่โมงเย็น ฝนหยุดตกแล้ว แต่ท้องฟ้ายังดูครึ้มๆ เล็กน้อย ได้เวลาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศ
ข้างๆ กระท่อมจะมีลำธารเล็กๆ ไหลมาจากน้ำตก น้ำเย็นสดชื่นสะใจมากกกกกกกกกกกกกกกก
ต้นข้าวที่นี่ดูเป็นต้นข้าวที่มีคุณภาพชีวิตดีมาก แต่ละต้นตั้งตรง รวงข้าวแต่ละรวงมีเมล็ดข้าวอวบใหญ่เต็มเม็ดเต็มหน่วยมาก