หลังจากที่ติดต่อเจ้าของโฮมสเตย์ให้นำเที่ยวภูผาหมอกตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้เราตื่นแต่เช้ามืด สิ่งที่ทำเป็นอันดับแรกเลยคือไปส่องตรงหน้าต่างรูปหัวใจเพื่อดูว่ามีทะเลหมอกหรือเปล่า และเราก็ไม่ผิดหวัง...
ค่านำทางขึ้นภูผาหมอกคนละ 100 บาท ติดต่อที่เจ้าของโฮมสเตย์ที่เราไปพัก
การเตรียมตัวและคำแนะนำในการขึ้นภูผาหมอก
1.ควรใส่รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้ารัดส้น เราใส่ Keen โอเคเลยเดินสบายแต่ใส่ถุงเท้าด้วยนะ
2.เสื้อแแขนยาวและกางเกงขายาว หินคมมากสามารถเกี่ยวเสื้อผ้าขาดได้ อากาศหนาว กว่าพระอาทิตย์จะขึ้นนั่งดูหมอกแบบอุ่นๆ ดีกว่า
3.ถุงมือถ้าใส่ก็จะช่วยไม่ให้เจ็บมือมากนักเวลาใช้มือปีนป่าย
4.น้ำดื่มหรือขนมรองท้องยามเช้าก็ดีนะคะ ตื่นเช้าหิวไว ทานเสร็จเก็บขยะลงมาด้วย
เจ้าของโฮมสเตย์พาเราเดินไปหน้าหมู่บ้านมีไฟฉายคอยนำทางให้ ถ้าถามเราว่าทางขึ้นภูผาหมอกชันไหม ลำบากไหม บอกเลยว่าชันค่ะ แต่ไม่ลำบากยากเย็นอะไร ระยะทางไม่ไกล แฟนเราไม่ค่อยได้เดินป่าใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ที่ช้าเพราะมืด มีไฟฉายกระบอกเดียวคือของเจ้าของโฮมสเตย์ที่คอยส่องไฟให้ที่ละคน ส่วนใครที่คิดว่ามันชัน เดินขึ้นก่อนฟ้าสว่างไง จะได้มองไม่เห็นความชัน อิอิ
หาที่นั่งให้เหมาะเพราะความเรียบของพื้นที่ไม่ค่อยมี หากนั่งผิดที่ผิดองศา ก้นจะถูกความแหลมของภูเขาหินทิ่มแทง จากนั้นก็นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกฟูๆ ให้เบื่อกันไปเลย ก่อนเดินทางเราคิดว่าเราไม่มีจุดหมาย แวะเที่ยวไปตามสถานการณ์ แต่พอได้มาอยู่ตรงนั้นเรารู้สึกว่า นี่แหละคือสิ่งที่เราอยากมาเห็นอยากมาเจอจริงๆ คุ้มค่าแล้วกับการเดินทางครั้งนี้
ทางชันประมาณนี้แหละ
07.45 น. ลงมาหามื้อเช้ากิน แต่เรากินอะไรไม่ลงจริงๆ มันอิ่มกับบรรยากาศของเช้านี้ หมอกยังไม่หายเรายังอยากมองนั่งดูเรื่อยๆ
"Dek Doi Coffee"
ช่วงเดินหาร้านข้าวไปเจอร้านกาแฟร้านหนึ่ง เห็นทะเลหมอกได้แบบชัดเจน ร้านกาแฟวิวสวย บาริสต้าอารมณ์ดี สั่งลาเต้ร้อนอยากจับแก้วกาแฟอุ่นๆ ลองชิมแบบไม่ใส่น้ำตาลกาแฟรสชาติดี นุ่มละมุน กลิ่นหอมก็เลยดื่มทั้งแบบนั้นจนหมด เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่ดื่มกาแฟแบบไม่ใส่น้ำตาล ราคาพอกับกาแฟในกรุงเทพฯ แต่บรรยากาศแบบนี้มีแค่ที่นี่เท่านั้น
หลังจากคืนกุญแจที่พัก เราเข็นรถออกมาสตาร์ทตรงจุดชมวิว ไม่อยากรบกวนบรรยากาศยามเช้า และผู้มาเยือนที่กลับเข้าบ้านไปนอนต่อ ขอลาบ้านจ่าโบ่ไปด้วยวิวหน้าโฮมสเตย์ตอนสายๆ วันนั้นหมอกมีถึงเกือบสิบโมง
เราออกจากบ้านจ่าโบ่เพื่อจะไปปาย สิ่งที่อยากเตือนคือ... ก่อนถึงหมู่บ้านจ่าโบ่ถนนชันมาก เราเคยมา จำได้และระวังทางช่วงนี้ แต่ก็ไม่รอดเราสองคนหลุดโค้งหลังจากที่ลงจากทางชัน ข้างทางมีตะไคร่และมีความชื้นจากอากาศเมื่อเช้า ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราไม่เคยรถล้มมาก่อนรู้สึกแค่ว่าตอนล้มไถลลงด้านขวาของลำตัว บอกแฟนให้รีบลุกขึ้นมาเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรมากแค่ไหน
หลังจากที่ยืนขึ้นได้ สำรวจร่างกายกันเรามีแค่แผลถลอกตรงฝ่ามือขวาเพราะถุงมือขาด แสบตรงหัวเข่า มีของเหลวซึมผ่านผ้ายีนส์ออกมาเรามองไม่เห็นแผล ปวดยอกช่วงไหล่ขวาและหลัง ส่วนแฟนเป็นแผลยาวตรงแขนและแผลที่หัวเข่า ตรงที่เป็นแผลเสื้อผ้าขาดถ้าใส่เสื้อผ้าหนาแผลคงน้อยกว่านี้ ช่วยกันยกรถ ขึ้นสิ่งที่ทำให้เราใจหายคือมีไม้ปลายแหลมคาอยู่กับโช๊คหน้า ถ้าทิ่มมาลึกว่านี้พุงคนขี่เป็นรูแน่ๆ รถหน้ากากแตก แฮนด์เบี้ยวแต่ยังไปต่อได้ ตัดสินใจกันว่าจะขี่ไปทั้งแบบนี้ และไปหาอุปกรณ์ทำแผลในตัวเมืองปางมะผ้า เราไม่เท่าไหร่ แต่แฟนแผลถลอกที่แขนค่อนข้างกว้างและมีหินกับดินเต็มไปหมด สำรวจดูแล้วว่าไม่มีสัมภาระใดๆ หล่นอยู่ตรงที่เกิดเหตุเราไปกันต่ออีก 8 กิโลเมตรถึงปางมะผ้า...
"ปางมะผ้า"
ก่อนถึงตัวเมืองเจอโรงพยาบาลปางมะผ้าเลี้ยวรถเข้าทันที พยาบาลบอกว่าจุดนี้เกิดอุบัติเหตุบ่อย แฟนจะให้เรา X-ray แต่เราไม่เป็นอะไรจริงๆ ระหว่างรอหมอแฟนก็เอารถไปรักษาบ้าง ได้ลุงวินคนหนึ่งคอยมารับส่งระหว่างร้านซ่อมรถกับโรงพยาบาล ช่วยหาร้านซ่อมรถให้ ส่วนเรารอหมอไม่ไหวและรู้สึกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ยังต้องไปอีกไกลเลยไม่ได้รอคุณหมอ
แฟนให้เราไปนั่งรอที่ร้านชาไข่มุกหน้า 7-11 ตลาดสบป่องตัวเขาเองไปดูรถต่อ ชาไข่มุกเยียวยาทุกอย่างได้จริงๆ ชานมไข่มุกเม็ดเล็ก เข้มข้น "ชาละมุน" 30 บาทแก้วเบ้อเร่อ ละมุนสมชื่อจนเราต้องหิ้วฝ่าโค้งไปปายด้วย แต่รู้ไหมเวลาเทโค้งทีกัดฟันแค่ไหน จนต้องกอดเอวคนขี่ไว้แน่น แต่ความกลัวที่มีต้องกดไว้ เราคิดว่าไม่เป็นการดีที่จะแสดงให้แฟนเห็น เพราะที่เจอกันมาก็ใจเสียกันมากพอแล้ว
"ปาย"
ออกจากปางมะผ้าเกือบบ่ายโมง บ่ายสองโมงถึงปายแวะตั้งสติกันที่หน้าร้าน Coffee in love แฟนพูดขึ้นมาว่า 'พี่ไม่น่าพาเธอมาด้วยเลย" เท่านั้นแหละสิ่งที่เก็บไว้ปล่อยออกมาหมด ร้องไห้ทั้งๆ ที่ยังดูดชาไข่มุก เพราะเขาเคยพูดไว้ในวันที่สองว่าเรามากันแค่สองคนต้องช่วยกัน ซึ่งเรายังไม่บ่นว่าเจ็บสักคำ พอร้องไห้เสร็จยังมีอารมณ์เดินไปถ่ายรูปกันอีก ที่ปายได้มา 2 รูปคือตรงร้าน Coffee in love และสะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย
ปลายทางของเรายังเป็นลำปางค่ะ ตอนผ่านเชียงใหม่คือผ่านแบบไม่ไยดี นอกจากแวะเติมน้ำมันก็ไม่ได้แวะที่ไหนเลย ช่วงเชียงใหม่ ลำพูน ถนนดีเลยทำเวลาได้ดี ย้อนกลับไปก็จำไม่ได้แล้วมาไปเส้นไหน ข้อมูลตรงนี้อาจจะให้ไม่ได้มาก เพราะหลังจากที่รถล้มเราก็แทบไม่ได้บันทึกอะไรไว้อีก
"ลำปาง"
หนึ่งทุ่มนิดๆ เรามาถึงลำปาง ที่พักโทรฯ จองตอนแวะเติมน้ำมัน A-Bizz Hotel ราคาห้องพักเราไม่ค่อยแน่ใจ เป็นโรงแรมหลักร้อย 690-790 บาท ไม่รวมอาหารเช้า โรงแรมดี บรรยากาศน่านอน มี Fitness center พื้นที่ส่วนกลาง ขนมและน้ำผลไม้ในห้องกินได้ฟรี ห้องกว้าง ใกล้ๆ โรงแรมมีร้านข้าวต้ม
"กาดกองต้า"
สังขารก็ไม่อำนวยแต่ทนความหิวไม่ไหว มาถึงลำปางทั้งทีจะให้นอนอยู่แต่ในห้องเป็นไปไม่ได้ หามื้อเย็นกินกันที่กาดกองต้า อยากเห็นว่าลำปางตอนกลางคืนเป็นยังไง เดินโขยกเขยกกันไปสองคน เวลาเผลอมาแตะตัวกันทีไรมีสะดุ้งเพราะเริ่มระบมแล้ว กาดกองต้าของขายเยอะมาก ของกิน ของใช้ เสื้อผ้า งานฝีมือฯ เราเดินหมดทุกซอยเลยนะ เป็นตลาดที่มีชีวิต มีสีสัน มีเพลงเหนือเล่นสดให้ฟังด้วยค่ะ
มื้อปลอบใจเราไปจัดหนักกันที่ร้าน "อิ่มหมี นะ ลำปาง" สั่งกันยับเพราะคิดว่าขนมจีนราคา 35 บาทจานคงไม่ใหญ่ ที่ไหนได้เต็มโต๊ะ เราสั่งยำขนมจีนกรอบเป็นเมนูที่น่าสนใจดีค่ะ ข้าวซอยไก่ ขนมจีนน้ำเงี้ยว ขนมจีนน้ำยากะทิ ส้มตำ และเมนูสุดท้ายที่ได้ยินชื่อมานาน "ข้าวกั้นจิ้น" มันๆ หอมๆ
"ค่ำคืนที่นครลำปาง"
ขี่รถไปซื้อยามาทำแผล ผ่าน "วัดเชียงราย" ยืนอ่านชื่อตั้งนาน แบบงงๆ วัดสวยดีค่ะ จัดไฟเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ได้เจอรถม้าที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดลำปาง ถ้ามีโอกาสกลับมาอีกก็อยากมานั่งรถม้า สนับสนุนอาชีพคนพื้นที่ (แต่ต้องไปลดน้ำหนักก่อนไม่อย่างนั้นอาจจะโดน พรบ. คุ้มครองสัตว์ได้ ฮ่าๆ) "สวนสาธารณะห้าแยกหอนาฬิกา" ช่วงที่ไปยังอยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่นี่เขาแต่งไฟอลังการมาก แฟนแวะให้เราลงไปถ่ายรูป แต่วันนี้ล้าสุดๆ เลยมีรูปติดมานิดหน่อยค่ะ