ไป ไหน ไป (กระซิบรักที่) น่าน
Day1 : ออกเดินทางสู่น่านนคร - ดอยเสมอดาว
สวัสดีท่านผู้ชม ผู้อ่านทุกท่าน นี่เป็นการเขียนรีวิวครั้งแรกของเรา อย่าเรียกว่าเขียนรีวิวเลย ขอเรียกว่าเล่าสู่กันฟังแล้วกัน ยังไงก็ฝากตัวฝากใจไว้ด้วยแล้วกันนะคะ
ทริปนี้เกิดขึ้นด้วยความต้องการเที่ยวของพวกเราวัยรุ่นตอนต้น (ได้ข่าวเลข 3 กวักมือเรียกยิกๆ) ที่ต้องการพักผ่อนจากการทำงานที่เหนื่อยล้ามาทั้งปี ทำให้เราวางแผนและจองตั๋วเครื่องบินกันตั้งแต่ต้นปี (ขอบพระคุณสายการบินสีแดงที่มีโปร 0 บาทให้พวกเราค่ะ) และออกเดินทางกันช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้
แรกเริ่มเดิมทีมีสมาชิกด้วยกันทั้งหมด 7 คน แต่เทไป 2 เหลือกัน 5 คน ซึ่งเร่งนับวันนับคืนเพื่อที่จะให้ถึงวันเดินทางเร็วๆ ในระหว่างนี้ก็ทำการบ้าน หาที่เที่ยว ที่กิน ที่พัก รถเช่า จนในที่สุดวันที่พวกเราตั้งหน้าตั้งตาคอยก็มาถึง
เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง บ่าย 2 ครึ่ง โดยประมาณ ตอนแรกก็แอบกลัวเครื่องบินดีเลย์ แต่สุดท้ายก็ได้ขึ้นเครื่องและออกตามเวลาอย่างฉิวเฉียดทำให้พวกเราถึงสนามบินน่านนคร เป็นเวลา 4 โมง พอดิบพอดีเด๊ะ
หลังลงจากเครื่อง มีเวลาชมสนามบินโดยรอบไม่เท่าไหร่ พวกเราก็ต้องรีบติดต่อ ซีเจรถเช่าน่าน เพื่อรับรถและเพื่อที่จะพบข่าวดีว่า รถที่พวกเราจอง ลูกค้าก่อนหน้ายังไม่เอามาคืน พ่ามมมมม!
แต่เดี๋ยวก่อน ซีเจฯ ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะเค้าได้ offer รถรุ่นใหม่ไฉไลกว่าเดิมแถมยังเป็นตัวท็อป ให้แก่พวกเรา ใครสนใจรถเช่าน่านราคาสบายติดต่อได้ที่ www.cjcarrent.com พี่ๆดูแลและตอบคำถามดีมาก แถมรถยังใหม่และสะอาดอีกด้วย
โฉมหน้าขอพาหนะที่จะพาเราออกเดินทาง ใน 4 วัน 3 คืนนี้
หลังจากตรวจและเซ็นเอกสารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทาง โดยตั้ง GPS ไปที่ > ดอยเสมอดาววววว
ดอยเสมอดาวตั้งอยู่ที่อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน โดยความดูแลของอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ก่อนที่จะมา พวกเราก็ได้ทำการจองเตนท์มาเรียบร้อยแล้ว(เตนท์นอนได้ 3 คน ราคารวมหมอนและถุงนอนแล้วนะคะ สำหรับ 2 คน ราคาอยู่ที่ 345 บาท และ 405 บาท สำหรับ 3 คน) เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพวกเราอย่างเดียวในตอนี้คือ ไปให้ถึงดอยก่อนเวลา 18.00 น. ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
เมื่อขึ้นมาบนรถแล้ว ก็ได้ทำการติดต่อทางอุทยานเพื่อแจ้งว่าพวกเราจะไปถึงช้า (หากไปถึงหลังเวลา 16.00 น. ทางอุทยานแนะนำให้โทรบอกก่อน) และเราก็พบว่า เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้... เอาอีกแล้ววววว ทริปนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆเลยจริงๆ หลังจากกระหน่ำโทรทางโทรศัพท์ก็แล้ว โทรทาง Facebook ก็แล้ว ส่งข้อความใน inbox Facebook ก็แล้ว ไม่มีสัญญานตอบรับใดๆจากทางเจ้าหน้าที่ พวกเราเลยตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า ว่าแล้วก็ซิ่งขึ้นอุทยานกันไปเลยลวกเพ่
หลังจากแวะซื้อเสบียงระหว่างทางมา 2 แห่ง และใช้เวลาขับรถร้องเพลงกันไม่นาน เราก็มาถึง ณ ที่ทำการอุทยานในเวลา 17.40 น. ตามหลังคนอื่นมาติดๆ
ก่อนจะเข้าอุทยานได้ เราก็จะต้องจ่ายค่าทำนุบำรุงอุทยานเสียก่อน เป็นจำนวนเงิน 130 บาท (ผู้ใหญ่ท่านละ 20 บาท / เด็ก 10 บาท / รถ 2 ล้อ คันละ 20 บาท / 4 ล้อคันละ 30 บาท) จากนั้นก็ขับรถไปจอดหน้าที่ทำการอุทยานเพื่อทำการติดต่อเรื่องเตนท์ที่พวกเราได้ทำการจองมา และขนของลงเพื่อไปยังเตนท์ที่พัก เมื่อขนของเสร็จแล้วก็นำรถลงมาจอด ณ ลาดจอด โดยระหว่างทางจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเป็นจุดๆ พี่ๆน่ารักมากกกกก
เมื่อเก็บของและจอดรถเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็คือเรื่อง กินนนนนน จะมีอะไรฟินไปกว่ากินหมูกระทะในบรรยากาศหนาวสบายเยี่ยงนี้ (วันที่ไปอากาศ 22 องศา โดยประมาณ) ว่าแล้วก็ให้ 1 คนเฝ้าเตนท์ และอีก 4 คนไปติดต่อเรื่อง เสื่อ ไฟส่องสว่าง และ อาหาร เดินลงมายังที่ทำการก็จะพบว่ามีพ่อค้าแม่ขายมาคอยบริการถึงที่ เราก็เลยเลือกคุณป้าหมูกระทะมา 1 เจ้า ด้วยคำโฆษณาที่ว่า หนูไม่ต้องทำอะไรเลยลู๊กกกก (ยกเว้นจ่ายตัง) เดี๋ยวป้าจัดให้หมดทุกอย่าง เราก็เลยตกลงเอาหมูกระทะ 1 ชุด พร้อมเพิ่มหมูอีก 100บาท เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของเด็กวัยเจริญเติบโตอย่างพวกเรา เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ทำการเรียกเพื่อนอีก 1 คน (ซึ่งตบยุงเฝ้าเตนท์พร้อมไฟฉายน้อยกลอยใจ 1 กระบอก) ให้ลงมารวมกันยังที่ที่ทางอุทยานจัดไว้ให้สำหรับการประกอบอาหาร นั่งกินเสบียงที่ซื้อกันมาซักพัก ป้าก็โทรมาบอกว่าหมูกระทะของพวกเรามาแล้ววววว เราเลยส่งหน่วยกล้าตายออกไปนำทางป้ามายังที่ที่พวกเราปักหลักกันอยู่ ชะเง้อคอยาวกันอยู่ซักพัก ก็ได้เห็นเพื่อนผู้สวมกางเกงช้างขายาว เดินตัวเอียงมาพร้อมกับกระเป๋าลายทางที่ใส่อุปกรณ์หมูกระทะ กระทั่งเพื่อนเดินมาถึงเสิ่อและเปิดกระเป๋าออกดู คำว่า อิหยังว้ะ ก็ปรากฏขึ้นในหัวเรา ไหนเตา ไหนถ่าน ไหนป้า แล้วใครก่อไฟให้(ว้ะ) ก็เลยถามเพื่อนว่า ป้าจะตามมาพร้อมเตาเหรอ เพื่อนหันมาหน้าเหลอหลา พึมพำออกมาว่า ป้าไปแล้ว เอ้า แล้วกุอิกินพรื่อ (กินได้ยังไง) ให้กินหมูดิบเหรอ
หลังจากนั่ง งง กันอยู่ 2 วินาที พร้อมการเอาใจช่วยจากคนรอบข้าง (รู้นะว่าแอบมอง) พวกเราก็ได้รับความช่วยเหลือจากพี่สาวใจดีที่เสร็จภารกิจการย่างไส้หมูว่า ให้ใช้ถ่านและตะแกรงต่อทางเธอและพี่ผู้ชายที่มาด้วยได้ เราหันไปไหว้กันย่างพร้อมเพรียงพร้อมขอบคุณพี่ๆทั้ง 2 ก่อนจะลากเสื่อและอุปกรณ์ทุกอย่างเข้าไปใกล้ๆตะแกรงและกองไฟและจัดการเอากระทะตั้งไว้บนตะแกรง และพัดถ่านให้ไฟลุกโชนเต็มที่ เพื่อที่จะพบว่ามันไม่เวิร์ค พัดให้ตาแตกหมูก็ไม่สุก เลยจัดการส่งเพื่อน 2 คน ไปจัดการเช่าเตา และซื้อถ่านจากทางอุทยานมา จากนั้นเราก็ได้กินหมูกระทะกันอย่างมีความสุข เพราะน้ำจิ้มอร่อยมากกกกก และบรรยากาศก็ดีมากกกก จบมื้อดินเนอร์ในเวลา 2 ทุ่มโดยประมาณ
หลังจากจบมื้อค่ำด้วยความอิ่มหนำสำราญ พวกเราก็จัดการเคลียพื้นที่ ทิ้งขยะ ดับไฟ (ส่วนอุปกรณ์หมูกระทะสามารถตั้งไว้ได้เลย ป้าจะมาเก็บเอง) ลากเสื่อขึ้นมากางหน้าเตนท์เพื่อนอนดูดาวพร้อมกับการจิบเครื่องดื่ม (แล้วแต่ใครจะชอบ) พวกเราก็พร้อมใจกันเงยหน้าดูดาว และรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องให้ใครมาบอกว่ามีความปลายหางทางม้าลาย เอ้ยยยย ช้างเผือกได้กลายๆ จากการส่องดาวที่หน้าเตนท์ของเรา นอนดูดาวพร้อมคุยสัพเพเหระแล้วก็ได้เวลาเดินขึ้นไปข้างบนเพื่อเปลี่ยนทิศทางการดูดาว และได้พบว่าที่ข้างบนนั้นมีเหล่าคนล่าช้าง เยอะเลยทีเดียวที่มาพร้อมอุปกณ์ต่างๆมากมาย เราเลยใช้เวลาอยู่ด้านบนไม่นาน และกลับลงมาล้างหน้า แปลงฟันเตรียมตัวเข้านอน (ใช่จ่ะ มีคนไม่อาบน้ำ) ก่อนที่จะลุกขึ้นมาดูทะเลหมอดและพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า
กล้องโทรศัพท์ก็ถ่ายติดนะ ว่าไม่ได้เด้อ
----------------------------------------
Day2 : ดอยเสมอดาว - เมือง - ปัว - ดอยสกาด
เราตั้งนาฬิกาปลุกตีเพื่อที่จะตื่นมาอาบน้ำก่อนไปดูพระอาทิตย์ขึ้น อากาศไม่ได้หนาวเย็นอย่างที่คิด ทำให้เรานอนใส่เสื้อขาสั้น กางเกงขาสั้นได้สบาย แถมตื่นมาอาบน้ำตอนตี 4 ได้อย่างไม่มีปัญหา หลังจากพวกเราอาบน้ำเสร็จก็เริ่มมีคนทยอยมาเข้าห้องน้ำ นั่นคือสาเหตุว่าทำไมต้องแหกตาตื่นมาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ เพราะนอกจากจะไม่ต้องแย่งห้องน้ำกับใครแล้ว ยังมีเวลาแต่งหน้า สวยๆ ชิวๆ ไปอีก (แต่ระวังแก้มน้องนางจะแดงกว่าใครนะ ขอแนะนำให้เอาไฟที่เช่ามานั้นแหละ ส่องหน้าด้วยเวลาแต่งหน้า)เมื่อแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อยในเวลาตี 5 ก็ได้เวลาขึ้นไปจับจองพื้นที่ดูพระอาทิตย์ แน่นอนว่าชาวโซเชียลอย่างเราต้องจองที่ติดรั้วเท่านั้นค่ะ ห้ามให้ใครมาบัง แต่จากการเชคเวลาพระอาทิตย์ขึ้นทำให้รู้ว่ามีเวลาอีกบานเบอะ เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการวอร์มกล้อง (มือถือ) เราจึงได้รูประหว่างรอพระอาทิตย์ขึ้นมาด้วย
ใช้เวลาถ่ายรูปกันไม่นาน น้องพระอาทิตย์ก็ส่งแสงขึ้นมายิ้มแฉ่งให้พวกเราแล้ววว
แถมด้วยทะเลหมอกฟินๆไปอีก
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พวกเราก็ใช้เวลาถ่ายรูปกันอีกจนถึง 7 โมง (ต้องเก็บให้ครบตามจุด signature ต่างๆ ไปหาดูจากรีวิวอื่นนะ) ก่อนจะวิ่งไปรวบกระเป๋า โยนขึ้นรถและออกเดินทางไปชมเมืองน่านกัน (ก่อนออกมาอย่าลืมคืนของที่เช่ามาด้วยนะ เพราะบัตร ปชช ของหล่อนนะ อยู่ที่เค้านะ)
เราลงจากดอยเสมอดาว และมุ่งตรงไปที่ร้าน จ๊างน่าน ร้านกาแฟเล็กๆ แต่คุณภาพไม่เล็ก เพราะใช้กาแฟซึ่งมีที่มาจาก จ.น่าน เท่านั้น ว่าแล้วอย่ารอช้าสั่งกาแฟดริฟมา 1 ที่ เพื่อดื่มด่ำทั้งความหอมและรสชาติที่กลมกล่อม
สิ่งที่ได้ไม่ทำให้เราผิดหวังเลยจริงๆ เพิ่มอรรถรสในการจิบกาแฟ ด้วยขนมปังเนยอร่อยๆ เป็นมื้อย่อยก่อนข้าวเช้าก็ไม่เลวเลยทีเดียวตอนนี้ร้าน จ๊างน่าน ย้ายมาข้างๆที่เดิม เพื่อปิดปรบปรุงร้านเก่าให้รองรับเพื่อนๆได้มากยิ่งขึ้น ใครจะไปก็ไม่ต้องตกใจนะ ร้านใหม่อยู่ใกล้ร้านเดิม เพิ่มเติมคือเดินมาอีก 20 เมตร และ สามารถติดตามข่าวสารของร้านได้ที่ https://www.facebook.com/ChangNanFanClub
เมื่ออุ่นท้องกับกาแฟและขนมปังแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกันต่อ โดยครั้งนี้จุดมุ่งหมายของเราอยู่ที่ร้าน Mix academic cafe เพราะนอกจากกาแฟของร้านนี้จะอร่อยขึ้นชื่อแล้ว ยังมีร้านอาหารเล็กๆ พร้อมด้วยเมนูหลากหลายไว้ต้อนรับพวกเรา เพียงแค่เดินทะลุคาเฟ่เขาไป และเราก็เริ่มมื้อเช้าอย่างจริงจังด้วยการสั่ง ก้วยเตี๋ยวต้มยำ ข้าวซอยไก่ สลัดปลาทอด และ บราวนี่เสริฟพร้อมไอศกรีมชาเขียว (แต่ละอย่างไม่ได้เข้ากันเลย) มาเติมเต็มช่องว่างในท้องของพวกเรา (ขออภัยไม่มีรูป เพระหิวจัด เลยไม่ได้ถ่าย แต่คอนเฟิร์มว่าอร่อยทุกอย่าง)
ร้านนี้ยังมีความโดดเด่นอีกหลายอย่างรอให้นักเดินทางไปพิสูจน์ (ไม่เชื่อก็เข้าไปดูได้ที่ : Mix Academic Cafe‘) แต่เนื่องด้วยพวกเราเติมคาเฟอีนกันมาแล้วจึงคิดว่าควรจะเว้นช่วงไปก่อน ยังไงถ้าใครไปโดนตัวไหนแล้วก็มาแบ่งปันให้ฟังกันได้นะคะ
เมื่อกินอิ่มเราก็พร้อมที่จะลุย โดยทัวร์ (ชะโงก) ของเราวันนี้จะเริ่มต้นที่ วันภูมินทร์ ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเมือง
สามารถหยอดตู้ทำบุญและรับเครื่องสักการะได้ที่ด้านข้างของโบสถ์นะคะ
ภาพกระซิบรักในตำนาน
ตามธรรมเนียม เพิ่มโชคลาภ กันซะหน่อย บอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าถ้าถูกหวย หนูจะกลับมาอีกกก
เสร็จจากวัดภูมินทร์แล้วก็หันหลัง เดินข้ามถนนไปอีกฟากเพื่อถ่ายรูปกับซุ้มลีลาวดีอันแสงเลื่องชื่อ
อีกซักภาพหลังซื้อหวยเสร็จ เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีรูปมุมกว้างเลย
พวกเรามันคนบาปหรือไร ซุ้มลีลาวดีอะไรละ เหลือแต่ กิ่ง ก้าน แม้แต่ใบก็ยังไม่มี!
แต่ไหนๆก็มาแล้ว ก็ต้องถ่ายอะเนอะ หัวเราะแบบไม่มีเหตุผลมันซะเลย
เมื่อเสร็จจากซุ้มลีลาวดีแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถและมุ่งหน้าไปยังพระธาตุแช่แห้งกันต่อ ซึ่งอยู่ห่างไปอีกฟากแม่น้ำ พระธาตุแช่แห้งถือเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีเถาะ แต่ปีอื่นก็สามารถนมัสการได้นะคะ และด้วยอากาศที่ร้อนราวกับเตาอบ (แม้กรมอุตุจะบอกว่านี่หน้าหนาว) ทำให้เราได้รูปกันมาทั้งหมด 1 รูปถ้วน
จากนั้นจึงไปต่อกันที่วัดมิ่งเมือง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของศาลหลักเมืองของจังหวัดน่าน มีความสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมปูนปั้นภายนอกอาคาร และในอาคารที่เล่าถึงวิถีชีวิตของชาวเมืองน่าน สักการะศาลหลักเมืองเสร็จ ก็ได้เวลาทานข้าวเที่ยงพอดี เราจึงข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้ามวัดมิ่งเมือง เพื่อที่จะมาฝากท้องไว้กับร้านอาหาร เฮือนฮอม ร้านอาหารพื้นเมืองของจังหวัดน่านไม่ต้องบอกว่าหิวขนาไหน จัดเต็มซะขนาดนี้
เมื่อรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไปอำเภอ ปัววววววววว อำเภอตอนเหนือของจังหวัดน่าน ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 1 ชั่วโมงจากอำเภอเมือง เราก็มาถึงจุดหมายแรก นั่นก็คือ วัดภูเก็ต
นอกจากสถาปัตยกรรมที่งดงาม วัดแห่งนี้ยังมีบรรยากาศที่เรียกว่าโดนใจใครหลายๆคน เพราะมีท้องทุ่งนาอยู่ข้างหลังวัดนั่นเอง แถมยังสามารถเดินลงไปดูใกล้ๆได้อีกด้วย ว่าแล้วก็อย่ารอช้า พุ่งตรงไปกันเลย... ไปโบสถ์? ....หึ! ไปนาก่อน
แล้วเราก็พบว่า นาฉันหาย!!!!! อาจะเพราะถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว ถึงนาจะแหว่งไปบ้าง แต่บรรยากาศโดยรอบก็ถือว่าดีอยู่
มีน้องๆมาฟ้อนให้ดูด้วย ต๊ะ ต่อน ยอน มากค่ะซิส
ถ่ายรูปเสร็จก็อย่าลืมเข้าไปสักการะพระพุทธรูปด้านในกันด้วยนะจ๊ะ
เยี่ยมชมวัดเสร็จก็ได้เวลา coffee break พอดี ปัวมีร้านกาแฟยอดนิยมที่ชื่อว่า ร้านกาแฟไทลื้อ ที่นอกจากจะมีจุดเด่นทางด้านกาแฟแล้ว ยังขึ้นชื่อเรื่องของบรรยากาศโดยรอบร้านอีกด้วย
เนื่องด้วยวันที่เราไปเป็นวันเสาร์พอดี ทำให้มีจำนวนการใช้บริการที่เยอะ แต่ทางร้านก็ทำระบบได้น่าชื่นชม คือให้เขียนออเดอร์และจ่ายตังเสร็จสรรพ ก่อนที่เราจะไปถ่ายรูปรอระหว่างรอเรียกคิวรับกาแฟ และแต่ละมุมของร้านก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเราไม่มีอาการหงุดหงิดแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ว่าจะได้เครื่องดื่มช้ากว่าที่ควรก็ตามพวกหล่อนไม่มีอะไรจะถ่ายกันแล้วรึ!
รอไปรอมา ฝนก็ตั้งเค้ามาแล้วซี หันไปดูผู้ร่วมชะตากรรมในร้าน ลมพัดเย็นๆ จนหลับกันไปเป็นแถบ
ในที่สุด ก็ถึงคิวของพวกเราแล้ว และรสชาติของกาแฟก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ชื่นใจสมคำร่ำลือจริงๆ
หลังจากดื่มด่ำไปสักพักกับบรรยากาศและเครื่องดื่มในมือ พวกเราก็ออกเดินทางไปยัง check list สุดท้ายก่อนจะเดินทางไปยังที่พัก นั่นก็คือ วังศิลาแลง
วังศิลาแลง คือลักษณะของหินที่โดนกัดเซาะจากลำน้ำที่ไหลผ่าน ภาพไม่ตรงปกพอสมควรสำหรับเรานะ มีความตื่นเต้นตั้งแต่เส้นทางที่ใช้ไป ซึ่งรถ 2 คันสวนกันลำบาก เมื่อมาถึงตาม map พบว่าไม่มีใครเลยนอกจากเรา และ สถานที่ก็มีความวังเวงขึ้นมาทันทีเมื่อฝนใกล้จะตก หันซ้านหันขวาไม่เจอใคร นอกจากศาลเจ้าที่ ประกอบกับที่พักโทรตาม เราเลยตัดสินใจที่จะไม่ค้นหาแหล่งที่คนชอบมาถ่ายรูป แต่เปลี่ยนเป็นหันหลังขึ้นรถ แล้วมุ่งสู่ที่พักของเราในคืนนี้ทันทีที่พักของเราในคืนนี้มีชื่อว่า สกาดดีโฮมเสตย์ โดยเราจะต้องขับรถขึ้นไปยังดอยสกาด ซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอปัวประมาณ 20 กิโลเมตร ผ่านเส้นทางโค้ง สลับชัน ถนนขรุขระบางช่วง
วิวระหว่างทางไปดอยสกาด ถือโอกาสพักรถไปในตัว
ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงพวกเราก็มาถึงที่หมาย เมื่อมาถึงก็ติดต่อไปยังที่พัก พี่เค้าก็จะลงมารับเราพร้อมด้วยลูกสมุนมากมาย และหาที่จอดรถให้เรียบร้อย ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีที่จอดรถเลยค่ะ ตอนขึ้นที่จอดรถนี่ลุ้นจนจิตจะหลุด ไม่เล่านะ ขอให้ไปเจอเอง
วิวหน้าที่พักของเรา มันดีต่อใจซะเหลือเกิน
welcome drink ด้วยน้ำชาสีชมพู ชาอัสสัมขึ้นชื่อของที่นี่
เมื่อนำของเข้าที่พักเรียบร้อยแล้วก็จะมีไกด์ ซึ่งเป็นเด็กในหมู่บ้าน มารับเราเพื่อที่จะไปเยี่ยมชมรอบๆหมู่บ้าน ดูวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวดอยสกาดแห่งนี้ เพราะฉะนั้นไม่ควรมาถึงที่พักเกิน 5 โมงเย็นนะ เพราะจะมืดเกินไปและอาจพลาดกิจกรรมเด็ดนี้ไปได้
วิวระหว่างเดินชมหมู่บ้าน
ถ่ายกับเจ้าถิ่น และมุมเด็ดสักรูป
กลับเข้าบ้านมาก็ 6 โมงแล้ว พี่เจ้าของบ้านเลยบอกให้เราไปล้างไม้ ล้างมือเตรียมตัวสำหรับมื้อค่ำสุดพิเศษ
เอารูปห้องพักมาฝาก เปิดประตูมาก็เจอวิวนี้ เกินจะบรรยายจริงๆ
และแล้วก็สิ้นสุดการรอคอย เมื่อมื้ออาหารของเรามาถึง พร้อมกับคำแนะนำขั้นตอนในการกิน ประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในร้านมิชลินสตาร์ โดยเริ่มจากการ จก ข้าวเหนียวร้อนๆ ขึ้นมาจากหม้อดิน ปั้นให้แน่นแล้ว จุ่ม ลงไปไนน้ำจิ้มสูตรพิเศษ ซึ่งเราไม่รู้จะเรียกว่าอะไร (เชฟบอกแล้วแต่เราลืม) จากนั้นหันไปบิดหมูย่างออกให้พอดีคำ แล้วส่งเข้าปากพร้อมกัน จากนั้นเพิ่มความสุดยอดด้วยการ หัก แคปหมู เอาไปตักน้ำพริกอ่อง ส่งเข้าปาก ตามด้วย ซดน้ำซุปร้อนๆ ล้างคอ ก่อนที่จะส่ง ผัดมะเขือเผาไข่ต้มตามเข้าปาก จากนั้นแกล้มด้วยผักเหนาะ (ผักเคียงน้ำพริก) ที่ปลูกในพื้นที่แถวนี้ ก่อนที่เชฟจะจากไปแล้วปล่อยให้เราดื่มด่ำกับมื้ออาหาร และปิดท้ายด้วยการล้างปากกับน้ำขิงสีชมพู
ปิดท้ายวันที่ 2 แต่เพียงเท่านี้ เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ
----------------------------------------
Day3 : ดอยสกาด - บ่อเกลือ - เมือง
รีบตื่นแต่ไก่โห่มารอชมการดริปกาแฟแบบส่วนตั๊ว ส่วนตัว
ก่อนจะดริปก็ตามธรรมเนียมจ่ะ Camera eat first
กาแฟที่ใช้ดริปเป็นกาแฟที่มาจากดอยสกาดนี่แหละ พอได้กินกาแฟที่มีสตอรี่ พร้อมกับการล้อมวงจิบกาแฟยามเช้า แลกเปลี่ยนความคิด ข้อคิดต่างๆจากสภากาแฟเช้านี้ เราเลยอดใจไม่ไหวสั่งทั้งกาแฟ และชากลับมาดริปต่อซะเลย
จิบกาแฟเสร็จก็จัดข้าวต้มหมูร้อนๆเป็นข้าวเช้า ก่อนจะไปอาบน้ำแต่งตัว
ใครสนใจมาเปิดประสบการณ์ที่ไม่เหมือนมาเที่ยว แต่เหมือนมานอนบ้านคนรู้จักแบบนี้สามารติดต่อ Skaddee homestay สกาดดีโฮมสเตย์ ราคาที่พักประมาณ 850-1000 บาท ต่อคน แล้วแต่ช่วงและจำนวนคนเข้าพัก (ที่พัก1 คืน พร้อม อาหาร 2 มื้อ)
เมื่ออาบน้ำแต่งตัว พร้อมร่ำลาพี่เจ้าของบ้านแล้ว เราก็ออกเดินทางโดยมีจุดมุ่งหมายคือ อำเภอบ่อเกลือ ออกรถมาได้ประมาณ 500 เมตร แอร์ยังไม่ทันจะเย็น เราก็หยุดรถ เพื่อที่จะลองชิมกาแฟของ บ้านจักษ์กะพัฒน์ ร้านกาแฟเปิดใหม่ที่เพิ่งเปิดได้แค่ 3 เดือน แต่เปิดโดยเจ้าของไร่กาแฟแห่งเดียวในดอยสกาด ซึ่งปลูกกาแฟมาแล้วถึง 9 ปี คงไม่ต้องบอกใช่มั้ยว่ากาแฟดีจะมีให้ชิมเยอะแค่ไหน
เราเลือกที่จะจอดรถไว้ข้างล่าง เห็นทางขึ้นแล้วยอมมม
วิวที่ระเบียงของร้าน ระหว่างรอกาแฟ
ขอสารภาพว่าไม่ได้ถ่ายกาแฟมา 555555 ไม่ลองเองสิจ๊ะ แล้วจะรู้ว่าของดี ไม่ต้องมีรีวิวก็ได้ (โถ ลืมก็บอกจ่ะนวล)
เมื่อสมควรแก่เวลาเราก็ออกเดินทางไปอำเภอบ่อเกลือโดยใช้ถนนสาย 1256 เพื่อที่จะได้ชมธรรมชาติข้างทางและที่สำคัญ เราจะได้ผ่านถนนลอยฟ้า ซึ่งถ้าใครไม่ได้ผ่านถือว่าพลาด อย่าง แรงงงง
หลังจากผ่านมาหลายสิบโค้ง เราก็มาถึงที่หมาย ขอสารภาพว่าตอนแรกนั้น เอิ่มมมม...ขับเลย 5555 จนเพื่อนต้องควักรีวิวออกมาเทียบป้าย และ กม เอา เราถึงได้รู้ว่าเลย และตัดสินใจเลี้ยวรถกลับมาถ่ายรูป ถึงแม้จะปวดฉี่กันแค่ไหนก็ตาม (ระหว่างทางไม่มีห้องน้ำเลย ใครจะผ่านเส้นนี้ จัดการตัวเองให้เรียบร้อยด้วยนะจ๊ะ) และการถ่ายรูปตรงนี้ก็ต้องอาศัยทีมเวิร์คนะ นางแบบ ตากล้อง คนขับรถ ต้องคอยให้สัญญานกันด้วย เวลามีรถผ่านไปมา จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ และระหว่างทางก็มีฝนตกลงมา ถึงจะไม่หนักมากแต่ก็ถือว่าแฉะ ทำให้เราไม่ได้แวะที่ไหนกันอีก รวมถึงแวะฉี่เมื่อถึงบ่อเกลือก็เลยเวลาอาหารเที่ยงมานานแล้ว เราจึงมุ่งตรงไปร้าน อาโปเดอมาง แต่ด้วยความที่อาจจะทำการบ้านมาไม่ดี ทำให้เรา หาร้านไม่เจอ และด้วยความหิวระดับ 10 เราจึงตัดสินใจหันหัวรถกลับไปยังร้าน ปองซา เพื่อรับประทานอาหารเที่ยงที่นั้น และด้วยความหิวอีกเช่นกัน จึงไม่มีรูปมาให้ดูด้วยประการฉะนี้เทอญ
เสร็จจากการรับประทานอาหารเที่ยง เราก็เลี้ยวรถข้ามฟากมาที่ซอยตรงข้ามร้านอาหาร ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ่อเกลือโบราณที่มีอายุมากกว่า 800 ปี แต่เนื่องด้วยเพิ่งผ่านเทศการเข้าพรรษามาได้ไม่นาน ที่บ่อเกลือโบราณเลยยังไม่มีการต้มเกลือใดๆ คุณป้าร้านขายเสื้อผ้า เลยแนะนำให้เราขับรถลึกเข้าไปอีกนิดในหมู่บ้าน เพื่อไปดูการต้มเกลือจากอีกบ่อนึง
ไปถึงเจอคุณลุงกำลังต้มเกลือพอดี คุณลุงอนุญาติให้ชิมได้ เราเลยจัดไปเบาๆ 2 คำ พบว่าไม่ได้เค็มอย่างที่คิด
บ่อที่มีการตักน้ำขึ้นมาต้ม เพื่อให้ได้เป็นเกลือ
เสร็จจากการเยี่ยมชมบ่อเกลือ พวกเราก็มุ่งหน้าต่อไปที่น้ำตกสะปัน และเหตุการณ์ก็เหมือนเดจาวูกับที่วังศิลาแลง เพราะไปถึงน้ำตกก็พบว่ามีแค่พวกเรา แถมฝนก็กำลังใกล้ตก เลยตัดสินใจที่จะไม่เดินเข้าไป แต่เลือกที่จะออกมาถ่ายรูปเล่นตรงสะพานแทน
โอโซนดีไม่ดีไม่รู้ รู้แต่ขอดึงไว้ก่อน
เสร็จจากน้ำตกสะปันเราก็มุ่งหน้าเข้าเมืองกัน โดยใช้ถนนเส้น 1081 เพื่อที่จะได้ถ่ายรูปกับโค้งเลข 3 (เป็นอะไรนักหนาชอบถ่ายรูปกับถนน) แต่ก่อนที่จะออกจากสะปันเราต้องหาน้ำมันเติมสะก่อน เพื่อความสบายใจ (ตอนเติมก็สบายใจอยู่หรอก มารู้ทีหลังว่าน้ำมันบนดอยแพงกว่าข้างล่างปรมาณ 3 บาท!! ยิ้มแห้งกันเลยทีเดียว) และก็ขับรถมาเรื่อยๆ ผ่านโค้ง ผ่านฝน ผ่านหมอก จนได้มาเจอออออ
โค้งเลข 3 ในตำนาน
ถ่ายรูปได้ไม่นานก็ต้องรีบขึ้นรถ เพราะนายหัว(คนขับรถ) ปวดฉี่อีกแล้ว เราจึงรีบออกเดินทางเพื่อเข้าสู่ตัวเมืองไปกินขนมหวานเจ้าเด็ด ขนมหวานป้านิ่ม ซึ่งตอนนี้ย้ายที่อยู่แล้ว ไปตาม GPS ได้เลย
อร่อยจนต้องสั่งเพิ่ม อร่อยจดต้องซดน้ำ
จากนั้นก็เข้าที่พักในเมือง บ้านรู้ใจ ที่พักสะอาด ราคาถูก แถมห่างจากสนามบินไม่มาก ซึ่งก็โชคดีก็เป็นของเราเป็นอย่างมาก เพราะมีแค่พวกเราที่เข้าพักในคืนนั้น (มีห้องพักทั้งหมด 4 ห้อง เราจองไปแล้ว 3 ห้อง) คุณลุงเจ้าของที่พักดูแลดีมาก ทั้งบอกแหล่งเที่ยว ทั้งคะยั้นคะยอให้เราขึ้นไปไหว้พระธาตุเขาน้อยในตอนเช้าอีกด้วย
แยกย้ายกันเข้าห้องนอนกันตอน 4 ทุ่ม เพราะเพลียกับโค้งเหลือเกินในวันนี้
----------------------------------------
Day4 : น่านนคร - กทม
ตื่นเช้าเตรียมตัวขึ้นไปไหว้พระตั้งแต่ 6 โมงเช้า พร้อมบรรยากาศฝนพรำตอนเช้า ฟินไม่หยอกเลยทีเดียว
เราขับรถออกจากที่พักไม่ถึง 15 นาที ก็ถึงแล้ว พระธาตุเขาน้อย
พระธาตุเขาน้อยในเวลาเช้า ที่มีหมอกจางๆ พร้อมไอฝนบางเบา
หลังจากที่ไหว้พระพร้อมชมวิวกันเรียบร้อย ก็ได้เวลากลับลงไปตามนัดกับคุณลุง เพื่อรับประทานอาหารเช้า
กลับที่พักมาเจออาหารเช้าที่คุณลุงเตรียมไว้ให้ อิ่มเต็มท้องก่อนไปขึ้นเครื่องบินกลับ กทม กันเลยทีเดียว
----------------------------
แล้วเราก็กลับกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ทั้งจากการเดินทาง สถานที่ ผู้คน บรรยากาศระหว่างการเดินทาง
เป็นการเดินทางที่ให้อะไรกับเราหลายๆอย่าง ทั้งเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นพร้อมกับเพื่อนรัก ประสบการณ์ใหม่จากการเปลี่ยนมานอนโฮมเสตย์และโรงแรมเล็กๆ ที่มีเจ้าของบริการเอง รวมไปถึงการได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรมจากสถานที่ต่างๆที่ได้ไป
เพราะฉะนั้น ถ้าหากมีคนถามเราอีกในครั้งหน้าว่าเราอยากที่จะ "ไปไหน" ก็คงต้องขอตอบว่าจะกลับ "ไปน่าน" อีกในหลายๆครั้ง อย่างแน่นอน
ปล.เผื่อใครยังไม่รู้ น่านเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่ดีแห่งนึงของโลก มีกาแฟดังๆมากมายที่เป็นผลผลิตจากน่าน ใครที่เป็นคอกาแฟ ก็ไม่ควรพลาดนะจ๊ะ
...รัก...
เจ้ยเอง :)
----------------------------
สรุปค่าใช้จ่าย
ทริปน่าน คนละ 5,111 บาท
- ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับกทม.-น่าน: 1236 ✔
- ค่าเต๊นท์: 162 ✔
- สกาดดี: 875 ✔
- บ้านรู้ใจ: 338✔
- กองกลาง: 2500 ✔