สืบเนื่องมาจาก เดือนที่แล้วทำงานหนักมาก (เวรเอวี่เดย์) บวกกับครบ 100 วันของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเรสสิเด้น บวกกับได้มีเวลาเวิ่นในเฟสบุคเล็กๆ น้อยๆ และความอยากที่แรงกล้าที่จะได้กลับไปปีนดอยซักดอยอีกครั้ง จึงเริ่มชักชวนผองเพื่อนและน้องๆ ทั้งหลายว่า "เดือนหน้าไปดอยม่อนจองกัน ไปปะๆๆ" ถามไปหลายคนมาก ส่วนใหญ่ก้อคนเดิมๆ ที่เคยไปเที่ยวด้วยกัน แต่... ไม่มีใครว่างเลยจะ เพราะส่วนใหญ่เพิ่งกับจากไอซ์แลนด์ (พูดด้วยน้ำเสียงอิจฉามากกกกก)
แต่ในที่สุด เราก็ได้เพื่อนร่วมทริปมา 1 คน เทอผู้นั้นมีชื่อว่า เจเจ
นี่คือ เจเจ ค่ะ
ทริปนี้มีไฮไลท์อยู่ที่ ดอยม่อนจอง ซึ่งเราวางแพลนไว้ 2 วัน 1 คืน ส่วนวันที่เหลือก็ชิวๆ สโลไลฟ์ ซึมซับธรรมชาติ
ทริปนี้ 24-27 พย 2559 จากเมืองเชียงใหม่ - ฮอด - อมก๋อย - ฮอด - เมืองเชียงใหม่
ขอบอกก่อนว่าไม่ได้จะมารีวิวเน้นถูก แต่จะมาเล่าสู่กันฟังว่า การไปเที่ยวแถวนี้มีอะไรบ้าง ในแบบฉบับของเราเอง 555
เราเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวนาจา (ฮอนด้าซิตี้สีน้ำเงินคลุกฝุ่น ไม่เคยทำให้ผิดหวัง) ดังนั้นทริปนี้ถ้าไม่นับเดินขึ้นดอย ก็ค่อนข้างสะดวกสบายนิดนึง (ในเรื่องการเดินทาง)
Me and my car และ ขาตั้งกล้อง
Day 1 (24/11/59)
วันแรกก้อตื่นสายเลยจะ แพลนว่าจะไปกินไข่กระทะชิคชิคตอนเช้าๆ ... หมดกัน แต่ไม่เป็นไร สโลวบัดชัว
สิบโมง เราขับรถไปกินไข่กระทะร้านดังในตัวเมืองเชียงใหม่ "ไข่กระทะเลิศรส" เมนูก็มีหลากหลาย เราเลือกกินไข่กระทะตามชื่อร้าน และชาชัก รสชาติถือว่าดีทีเดียว
แต่เด๋วก่อน อยากเล่าความประทับใจเล็กๆ ตอนหาที่จอดรถ แถวร้านไข่กระทะจะมีวัดที่สามารถจอดรถได้ แต่จะเสียค่าที่จอด แต่วันนี้มีงานศพจึงไม่ได้ให้เข้าไปจอด คุณลุงที่คอยดูแลแถววัด ก้อบอกด้วยหน้าตาและน้ำเสียงเป็นมิตรว่า "ให้ขับไปข้างหน้าอีกนิดแล้วเลี้ยวเข้าซอยสีแดง แล้วบอกว่ามางานศพ จะได้ไม่ต้องเสียค่าที่จอด" เราก็ขับไปตามที่ลุงว่า พอดีว่ามีที่จอดริมฟุตบาทพอดี เราเลยตัดสินใจจอดตรงนั้น คุณลุงคนนั้นก็เดินมาช่วยโบกรถให้... ประทับใจคุณลุงมากค่ะ เรื่องดี้ดี เช้าวันเดินทาง...
หลังจากท้องอิ่ม เราก็เดินทางไปซื้อเสบียงสำหรับขึ้นดอยม่อนจอง ที่โลตัสเอกเพลสแถวๆ นั้น อาหารที่เราเตรียมไปทำก็เน้นง่าย (เพราะทำอาหารไม่เป็นจะ มีเจเจ จุ๊บแจงที่พอจะพึ่งพาได้บ้าง)
เราต้องทำอาหารมื้อเย็นวันที่ 25 และเช้า 26 ของที่ซื้อ... โบโลน่า ไส้กรอก โจ้กสองถ้วย ไข่ต้มสองฟอง (ไข่ต้มแล้วจากเซเว่น) ขนมปัง 1 แถว โอวัลตินทรีอินวัน ขนมคบเคี้ยวอีกประปราย เจเจ ซื้อมัสมั่นไก่ ไก่กระเทียมโรซ่าอร่อยแบบไม่ต้องอุ่น (นี่คือตามหน้าถุงนะ เดี๋ยวชิมละมาบอกกันอีกที) หลังจากได้วัตถุดิบเรียบร้อย ก็ออกเดินทางกันเลย
เราเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้ทางหลวงหมายเลข 108 เลี้ยวขวาสามแยกอำเภอฮอด ผ่านอุทยานแห่งชาติออบหลวง ถนนช่วงนี้ลาดยางดีมาก เลยอุทยานแห่งชาติออบหลวงไปซักสิบกว่ากิโล จะเจอสวนสนบ่อแก้ว เรามาแวะกันที่นี่ ช่วงที่เราไปอากาศดี เย็นสบาย แดดกำลังดี แสงสวย เหมาะแก่การถ่ายรูป ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอสมควร
หลังจากนั้นออกเดินทางสู่ อ.อมก๋อย (อีก 55 km) ถนนช่วงนี้จะมีหลุมบ่อบ้าง แต่รถเก๊งขับผ่านได้สบาย (สรุปว่าไม่ต้องกลัวหลงนาจา ทางไม่ยาก มีป้ายบอก ถ้าไม่ชัวก็ใช้จีพีเอสโลด เราใช้เป็นปกติ 555)
รูปด้านล่าง เป็นถนนหลังออกจากสวนสนบ่อแก้วได้ซักพัก จะมีทางแยกเล็กๆ ด้านขวา (ตามรูปเลยจะ) ทางไม่ชันมาก ขับไปประมาณ 200 เมตร เป็นทางไป วัดพระธาตุดอยเหลี้ยม ข้างบนมีจุดชมวิว อากาศดี เย็นสบาย วิวก็ดีงาม
หลังออกจากสวนสนบ่อแก้วซักพัก จะมีทางแยกเล็กๆ ด้านขวา ขับขึ้นไปประมาณ 200 เมตรจะเจอวิวแบบนี้จร้าาา
วัดพระธาตุดอยเหลี้ยม
ขับรถฟังเพลว ชิวเว้อ มุ่งหน้าสู่อำเภออมก๋อยกันค่ะ
ถึงอมก๋อย เราก้อแวะเข้าที่พักก่อน เราจองห้องพักที่อมก๋อยรีสอร์ทไว้ บรรยากาศที่นี่คือดี เราพักริมแม่น้ำ อากาศเย็นสบายถึงหนาว (ตอนกลางคืน 19 องศา) ห้องพักดีมาก เตียงคู่ ห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่น (แบบแก๊ส) มีทีวี มีพัดลม (ซึ่งไม่ได้ใช้) มีระเบียงออกไปนั่งชมบรรยากาศริมน้ำ ราคาก็ 800 บาท/ห้อง/คืน (ห้องนึงนอนได้ 2 คน) รวมอาหารเช้า ถือว่าไม่แพงเกินไปนะ รับได้
โปรดอย่าโฟกัสที่ของ ด้านตรงข้ามมีทีวีละ
ระเบียงหลังบ้าน บรรยากาศดี
แคมป์ปิ้งก็มีนะเออ
บ้านเราอยู่ฝั่งซ้ายของสะพาน
ชิวจิงจัง
วิวแม่น้ำในรีสอร์ท
สบายจัง
มองแบบนี้จะขอของกินหละสิ
ด้านหน้าห้องพักมีไร่สตรอเบอรี่ขนาดเล็ก ช่วงที่เราไปยังไม่ค่อยออกลูก บรรยากาศร่มรื่นดีมากๆ มันจะมีห้องพักโซนด้านหน้าริมถนน ตรงนั้นจะ 600 บาท/ห้อง/คืน (ถูกกว่าเพราะไม่มีวิวแม่น้ำ) รีสอร์ทนี้มีทุกอย่าง อาหาร กาแฟ แอลกอฮอล์ น้ำอัดลม ราคาก็ไม่ได้เว้อมาก เลือกสรรตามใจชอบและพี่ๆพนักงานทุกคนก้อน่ารักเปนกันเองมากๆเลย เราไปถึงก็สอบถามก่อนเลยว่า มีใครมาพักและจะขึ้นดอยม่อนจองพรุ่งนี้บ้าง ตอนนั้นเป็นเวลาประมานบ่ายสามกว่าๆ ยังไม่ค่อยมีคนเข้าพักที่รีสอร์ท พนักงานก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีมั้ย
ไร่สตรอเบอรี่หน้าบ้าน
หลังจากได้ห้องพัก เราก็ขับรถออกไปในโซนชุมชน ไปเดินดูตลาด (เหมือนตลาดสด แต่ขนาดเล็ก) จอดรถทิ้งไว้ เดินเล่นในเมืองก็ชิวดี
ซิตี้สีน้ำเงิน คือ คันซ้ายสุดจะ
ตลาดเล็กมากจริงๆ
เดินเล่นงามๆ
อมก๋อยเป็นเมืองชิคๆ
มีกาแฟสดนาจา
เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอร้านส้มตำลุงสม เราแวะกันที่นี่ (กินมื้อเที่ยงตอนสี่โมงเย็น) ราคาค่อนข้างแพงนะ รสชาติโอเค ร้านดูสะอาด ถือว่าผ่านอยู่ กินมื้อนี้อิ่มไปถึงมื้อเย็น ถือว่าจ่าย 1 อิ่มไป 2 มื้อ!
อาหารอร่อย สะอาด ราคาแพงไปนิด 555
หิวมากกกกก
ท้องอิ่มก็ขับรถเล่นต่อ เราขับเข้าไปดูนาขั้นบันได ที่ตอนนี้เค้าเกี่ยวข้าวกันหมดละ 555 บรรยากาศของชุมชนช่วงเย็นก็คึกคักขึ้นมานิดนึง เนื่องจากนักเรียนเลิกเรียน พากันกลับบ้าน รถเครื่องวิ่งสวนกันไปมาเยอะพอสมควร
ธรรมชาติในชุมชนขนาดเล็ก
บรรยากาศยามเย็น ณ เมืองอมก๋อย
ก่อนจะกลับเข้าที่พัก เราแวะเซเว่น ซื้อเสบียงไว้กินเล่นสำหรับคืนนี้
ไม่ใช่เล่นๆ มีเซเว่นนะจ๊ะ
พอกลับถึงรีสอร์ทก็มีข่างดีคร่ะ พนักงานที่รีสอร์ทบอกว่า มีพี่พี่กรุ๊ปนึงจะขึ้นม่อนจองพรุ่งนี้ มีประมาน 7 คน คุณพนักงานก็คุยเรื่องที่เราจะขอแจมให้เรียบร้อย แล้วนัดให้เราไปคุยกับพี่เค้าพรุ่งนี้ เจ็ดโมงเช้า โชคดีอะไรเบอร์นั้น (ต้องขอบคุณพนักงานที่อมก๋อยรีสอร์ทเป็นอย่างมาก ที่ทำให้เราได้แจมกับพี่พี่กรุ๊ปนี้ มันเป็นเดสตินี่ 555... เว่อมากกกก)
เย็นนี้สบายๆ พักผ่อนตามอัธยาศัย นอนเล่น เม้ามอยกันไป บริเวณระเบียงบ้านอากาศดี เย็นสบาย แต่พอเริ่มมืดจะมีแมลงเยอะนิดนึง แต่ไม่เป็นปัญหา (เพราะเราไปขอยากันยุงมาจุดเรียบร้อย) อากาศคืนนี้ประมาน 19-20 องศา กำลังเย็นสบาย ผ้าห่มของรีสอร์ทนี้หนามาก และอุ่นมาก ต้องบอกเลยว่า เราใส่กันแค่ชุดนอน และห่มผ้าของรีสอร์ท หลับสบายตลอดคืนจร้าาาาา สุดท้าย อย่าลืมชาร์ตแบดมือถือ พาวเวอร์แบงค์ แบดกล้อง ให้เรียบร้อยนาจ๊ะทุกคน... ขอให้หลับฝันดี
Day 2 (25/11/59)
ตื่นหกโมงเช้า ตื่นมาแล้วไม่อยากลุกออกจากเตียง เพราะมันหนาวววว อาบน้ำแต่งตัว เก็บของเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกไปบริเวณลอบบี้ (จิงๆ มันคือบริเวณที่ทางรีสอร์ทจัดไว้สำหรับทานอาหาร แคมปิ้ง มีครัวอยู่บริเวณนี้ และเค้าเตอร์ติดต่อสอบถาม) เจ็ดโมงพอดี
ยังไม่มีใครมา มีแค่เราสองคน อาหารเช้าวันนี้ เป็นข้าวต้ม ไข่ลวก ไส้กรอก ขนมปังปิ้ง โอวัลตินและกาแฟ (ดูดีเนอะ)
ไม่นานพี่พี่กรุ๊ปที่เราจะขึ้นดอยด้วยก็มา เราก็ไม่ค่อยกล้าจะเข้าไปถามพี่เค้าเท่าไหร่ เดินด้อมๆ มองๆ อยู่แถวนั้น แล้วเจเจ ก็เป็นผู้กล้าเข้าไปคุยกับพี่เค้า หลังจากพูดคุยกัน ก็ได้ความว่า พี่เค้าติดต่อรถไว้เรียบร้อย แต่ทางรีสอร์ทเสนอว่า ให้นั่งรถจากที่รีสอร์ทเลย แล้วทิ้งรถไว้ที่นี่ ปลอดภัยกว่า (น่ารักไปอีก) พวกเราเลยตกลงตามนั้น แล้วหาอะไรทำต่อเพื่อรอรถมารับประมานเก้าโมง
เผื่อใครหลายคนงง เราจะสรุปว่า การเดินทางไปจุดเดินเท้า มีดังนี้
1. ขับรถจากตัวอำเภออมก๋อย ไปติดต่อขอขึ้นดอยที่หน่วยมูเซอ และจอดรถไว้ที่นี่ (คิดว่านะ) (ระยะทางจากอำเภออมก๋อยถึงหน่วยมูเซอ ประมาณ 40 กิโล) ที่นี่เราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท
ถ้าต้องการเช่าเต๊นท์ให้ติดต่อที่นี่เลย เต๊นท์สำหรับสองคนราคาหลังละ 100 บาท (เป็นเต้นท์สองคนจิงๆ นะ. ไม่ใช่แบบนอนได้สามนาจา เต๊นท์เล็กอยู่ ถ้าเป็นผู้ชายตัวใหญ่แนะนำให้นอนคนเดียวจะ) ถุงนอนมีให้เช่าถุงละ 100 บาท (เราว่าแพงอยู่นะ) และต้องเสียค่าธรรมเนียมกางเต๊นท์อีกหลังละ 50 บาท ถ้าจะให้ดีแนะนำว่าเอาเต๊นท์ ถุงนอน แผ่นรองนอนมาเองดีกว่านะ
หลังจากนั้นก็ติดต่อรถกับเจ้าหน้าที่แถวนั้น เส้นทางหลังจากนี้อีกประมาณ 15 กิโล จะเป็นทางลูกรัง (หนักมาก) ควรใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ และคนขับที่ชำนาญ ดังนั้นไปกับเค้าเถอะ อย่าคิดจะขับไปเอง 555 ค่ารถก็ 2500-3000 บาท ตอนที่เราโทรไปถาม เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่เกิน 5 คน 2500 ไม่เกิน 10 คน 3000 (รวมลูกหาบละนะ)
หน่วยมูเซอ
จะว่าไปที่นี่ก็แปลกดี ไม่มีการเช็คว่าเรามีกระป๋อง หรือของที่จะเอาขึ้นดอยอะไรบ้าง ดอยอื่นจะมีการนับ แล้วเราต้องเอาลงจากดอยมาให้ครบ เป็นการป้องกันการทิ้งซี้ซั้วไว้บนดอยของท่องเที่ยว
บริเวณรอบๆ หน่วยมูเซอ
นี่คือรถกระบะที่พาเราไปจร้าา ขอบคุณลุงกำนันผุ คนขับผุ้เชี่ยวชาญ
ต่อไปก็ต้องไปรับลูกหาบที่หมู่บ้านชาวเขามูเซอ ค่าบริการลูกหาบ วันละ 300 บาท ถ้าไปสองวัน 1 คืน ก็ 600 บาท ไม่มีน้ำหนักที่ชัดเจนว่าลูกหาบคนนึงแบกได้กี่กิโล แบกตามความสามารถของแต่ละคนจะ
แปลกดี ปกติดอยอื่นๆ ที่เคยไป เช่น ดอยหลวงเชียงดาว ภูสอยดาว จะมีน้ำหนักที่ชัดเจนที่ลูกหาบแบกได้ แล้วชั่งจริงจังมาก (ใช้ตาชั่งเลยจะ) แต่นี่ก็ชิวดี แบกได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ดีค่ะ
วิวระหว่างทาง
ที่นี่จะมีศูนย์บริการการท่องเที่ยวบ้านมูเซอ ซึ่งถ้าใครเดินทางมาเอง สามารถมาพักที่นี่ในคืนก่อนขึ้นดอยได้ ค่าที่พัก คืนละ 100บาทต่อคน เป็นห้องรวม นอนได้ 50 คน ห้องน้ำรวม ถ้านอนที่นี่ก็จะขึ้นดอยได้เร็วหน่อย
สำหรับการเดินทางมาที่นี่ สำหรับคนที่ไม่มีรถ ให้โทรไปติดต่อที่ศูนย์บริการการท่องเที่ยวบ้านมูเซอเลย เค้าบอกว่าสามารถติดต่อให้รถไปรับที่ตัวอำเภออมก๋อยได้ (ราคานี่เราไม่ได้ถามแฮะ)
นี่คือศุนย์บริการนักท่องเที่ยว (คิดว่าใช่นะ) ตรงนี้มีที่พักด้วยนะ ลองถามเจ้าหน้าที่ดู
โฮมสเตย์ก็มีนะ เบอร์ก็ตามรูปเลยจะ
ทางนี้คือทางที่เราจะไป
หลังจากนี้ก็ลุยทางลูกรังกันจะ
ถนนเริ่มแคบละ
ลูกรังหนักมาก
เหมือนโดนเขย่าตลอดเวลา
ในที่สุดก็ถึงซะที
2. ทำแบบเรา ติดต่อผ่านรีสอร์ท (สำหรับคนที่ไปพักอมก๋อยรีสอร์ท) รีสอร์ทบอกว่าราคาเท่ากัน กรุ๊ปเรามีกัน 7 +2 (เราและเจเจ) + 3 (ลูกหาบ) + 1 (ลุงกำนัน ชื่อ ลุงผุ คนขับรถ สามารถติดต่อลุงได้ 096-675-9010) เราก็ไปติดต่อที่หน่วยมูเซอก่อน แล้วก้อไปรับลูกหาบ และไปที่จุดเดินเท้า
* สำหรับการใช้ชีวิตบนดอย *
# ต้องเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารไปเอง เพราะไม่มีให้เช่านาจา ข้างบนมีลำธารเล็กๆ สามารถเอาน้ำมาใช้ล้างหน้า แปรงฟัน ทำอาหารได้ เป็นน้ำจากภูเขา
ง่ายๆ ก็เอาแบบเรา เราเอาเตาไป 1 เตา (แบบที่ต้องใช้แก๊สกระป๋อง เตานี้เรายืมเค้ามา 555) กระทะ(ยืมเค้ามาเช่นกัน) ชามสแตนเลส (เอามาใช้แทนหม้อต้มน้ำ เพราะไม่มีหม้อ และไปกันแค่สองคนเลยใช้แบบนี้แหละ น่าจะได้ 555) จาน ชาม ช้อน แก้วน้ำ แนะนำเอาแบบกระดาษหรือพลาสติก ของเราเอาจากบ้านไปเป็นแบบที่ต้องล้าง 55(ลืมคิด มันจะทำให้หนักและต้องมาล้างอีก แต่ของเราไม่หนักมากนะ) ส่วนอาหารที่ซื้อก็ตามที่บอกไปวันที่ 1 (อาหารก็ตามแต่จะคิดเมนูกันเลยจะ เราเน้นง่ายไว้ก่อน เพราะทำอาหารไม่เป็น) น้ำดื่มควรเอาขึ้นไปนะ ใช้ทำอาหารและกินขาลงดอย ล้างหน้าแปรงฟันก็ใช้น้ำในลำธาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็แล้วแต่ความชอบเลยจะ
***ลืมบอกไป อาหารที่เตรียมไป ต้องเตรียมสำหรับลูกหาบด้วยนะ เค้าจะมีของกินแค่นิดหน่อยเท่านั้น
# ทิชชู่เปียก เอาไว้เช็ดตัว เช็ดอะไรก็ได้ที่อยากเช็ด เพราะเราจะไม่ได้อาบน้ำนาจา
# ไฟฉาย สำคัญมาก เพราะกลางคืนมืดมาก (ต้องเดินกลับจากผาหัวสิงห์หลังพระอาทิตย์ตกอีก มืดตื๋อ)
# เสื้อหนาว หมวก ตอนเราไป อุณหภูมิประมาน 19-20 องศา ไม่หนาวมาก และที่ที่เรากางเต้นท์ไม่ค่อยโดนลมเท่าไหร่ เลยไม่หนาวมาก แต่เนื่องจากเราไม่มีแผ่นรองนอน มันจะชื้นๆ บริเวณพื้นเต๊นท์ ซึ่งพวกเราก็หนาวอยู่นะ นอนหลับๆ ตื่นๆ
# ถุงเท้า เอาไปหลายๆ คู่เลยจะ ถ้าหนาวเท้าจะนอนไม่หลับนะ
# ยาแก้ปวด และยาคลายกล้ามเนื้อ ถ้าจะให้ดีก็กินก่อนขึ้นเลยก็ได้ แล้วหลังจากนั้นก็กินทุกมื้อจนกว่าจะลงดอย จากประสบการณ์ที่เดินมาหลายดอย ช่วยได้มากจิงๆ อย่างน้อยก็ลงมาปวดหลังลงดอย ดีกว่าปวดอยู่ข้างบนนาจา
# ถ้าไปช่วงต้นๆ หน้าหนาว แบบเรา ก็ต้องระวังทากกันนิกนึง เราโดนไปหนึ่งตัว
# ยากันยุง เอาไปเผื่อก็ได้ แต่เราไม่ได้ใช้
# โฟมล้างหน้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก
# เตรียมข้าวกลางวันไว้สำหรับวันแรกที่ขึ้นดอย ของเราเป็นข้าวเหนียวไก่ทอด
# กล้อง แล้วแต่ความชอบเลยจะ
กล้องของเราเอง จะเยอะไปไหน โคตรหนัก
ได้เวลาเดินกันละจ๊ะ เรามาถึงจุดเดินเท้า ประมานเที่ยง เราจึงจัดแจงกินข้าวเที่ยงให้เรียบร้อยก่อนขึ้นดอย
Let's Go ระยะทางที่เราจะต้องเดินจนถึงจุดกางเต๊นท์ ประมาณ 4 กิโล ทางเดินช่วงแรกๆ จะออกแนวป่าๆ ช่วงแรกชันเล็กน้อย แต่ไม่เป็นปัญหา เนื่องจากเราเป็นพวกชอบถ่ายรูป ถ่ายวิว ถ่ายเพื่อนๆ เราเลยเลือกที่จะเดินนำ และเดินเร็วๆ ไปหยุดรอและถ่ายรูปจะ 555 (จิงๆ อยู่หลังก็ได้ แต่กลัวโดนทิ้ง เพราะมัวแต่ถ่ายรูปเพลิน)
ได้เวลาออกเดินทาง
ยังสวยอยู่
แค่นี้หรอ สบาย... มันเพิ่งเริ่มจะ
ลูกหาบแบกของหนักมาก และเดินเร็วมาก นำเราไปแล้ว
ชีวิตต้องเดินต่อไป
ไหว สบาย
ยังยิ้มได้อยู่
สูงเท่าหัวเลยจะ มีทากอีกด้วยนะ
พี่พี่ทีมนี้ คือ ดีงาม ประทับใจ ขอบคุณนะคะ ที่เอาเราสองคนมาด้วยย
มาทำความรู้จักพี่พี่กรุ๊ปนี้กันหน่อยนะ จากซ้าย พี่หน่อย พี่หนุ่ม บิ๊ก พี่แอม ตรี เรา เจเจ และพี่ปอน มีพี่หนึ่งอีกคน รอก่อนนาจา
คนอื่นเค้าถ่ายรูปกัน เจเจยิ้มแฉ่ง
คู่นี้น่ารักมากกก ตากล้องมือโปร พี่ปอนและพี่แอม
อะไรจะร่าเริงเบอร์นั้น เดินมาถึงภูผาช่อ แปลว่า เรามาได้ครึ่งทางละน้าาา ฮึบๆ สู้ๆ
หันหลังให้ภูผาช่อ ถ่ายลงมาก็สวยดีนะ
ในที่สุดก็มาถึงจุดนี้
ผู้ร่วมเดินทางอีกกรุ๊ป กำลังขึ้นเนินวัดใจนำเราไปแล้วจร้าาา
หลังจากเดินขึ้นเนินวัดใจ อย่างเหนื่อย หันหลังไป เจอวิวนี้ หายเหนื่อยเลยยย
นางดูฟินมาก
ผู้ชายเสื้อน้ำเงินคนนั้น คือ พี่หนึ่งจร้าาา
พี่หนึ่่งแบบชัดๆ
พ้นเนินวัดใจ หันกลับไป นี่เราเดินมาไกลขนาดนี้เลยหรอออ
เราใช้เวลาเดินกันประมาณ 3 ชมนิดๆ (เพราะเราถ่ายรูปกันเยอะมากกกก)
ทางเดินลงไปจุดกางเต๊นท์ (ไม่ได้ถ่ายรูปมา) จะค่อนข้างชัน ระยะทางน่าจะ 100 เมตรได้
เต๊นท์พวกเราก็อยู่รอบๆ นี่แหละจะ
อิ่มมากกก
อุปกรณ์ยังชีพ ขอบคุณ ตรีและบิ๊ก ผุ้รับผิดชอบ 555
งานญี่ปุ่นก็มา
ลูกหาบที่นี่จะก่อกองไฟ และนอนข้างๆ กองไฟ เต๊นท์ไม่ใช้ ผ้าห่มไม่ต้อง สตรองเว้อ
ลำธารขนาดเล็กอยู่ระหว่างจุดกางเต๊นท์สองฝั่ง
เค้าต่อท่อให้รองน้ำไว้ใช้ล้างหน้า แปรงฟัน ทำอาหาร บลาๆๆๆ
กะว่าจะไปช่วยล้างจาน ถามว่าได้ช่วยมั้ย... ไม่จะ
ส้วนฝั่งเราเอง วันแรกใช้ไม่ได้ ต้องไปใช้อีกฝั่ง เพราะว่า ปูนยังไม่แห้งจร้าาาา เพลียแพรบ
ส้วมฝั่งตรงข้ามจะ
ผู้ร่วมเดินทางอีกกรุ๊ป มีสมาชิก 10 คน กางเต๊นท์อยู่อีกฝั่งของลำธาร
หลังจากที่กางเต๊นท์ เก็บของกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็ออกเดินทางสู่ผาหัวสิงห์
ระยะทางจากจุดกางเต๊นท์ถึงผาหัวสิงห์ ประมาณ 2 กิโล ใช้เวลาเดินทางไปกลับ 2-3 ชม แล้วแต่ความเร็วของแต่ละคน
ก่อนออกเดินทางไปผาหัวสิงห์ ขอชักภาพซักใบเถอะ
วิวระหว่างทางไปผาหัวสิงห์นะจ๊ะ
ช่วงที่พวกเราไปหมอกเยอะมากกกกกกก เลยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก เห็นแค่แสงทะลุผ่านเมฆ ถามว่ารู้สึกพลาดมั้ย จิงๆ ก็เสียดายที่ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ แต่เราก็ได้ภาพอื่นมาเยอะนะ ธรรมชาติสวยงามเสมอ ในแบบที่มันควรจะเป็น ถ้ามีโอกาสเจอกันคราวหน้า เราจะมาเก็บไข่แดง คิคิ
หัวสิงห์ฟุ้งฟิ้ง สวยใช่มั้ยหล้าาาา
แสงสุดท้ายของวัน มีให้เห็นแค่นี้แหละจะ
ทีมนี้สตรองมากกกก
การเดินทางจากจุดกางเต๊นท์มาที่ผาหัวสิงห์ สบายๆ ไม่ยาก มีช่วงที่ชันก่อนจะถึงหัวสิงห์แค่นิดหน่อย แต่ตอนเดินกลับต้องระวังนิดนึง เพราะมืด และลื่น (เนื่องจากอากาศค่อนข้างชื้น) ควรพกไฟฉายไปด้วย (จิงๆ คือ ต้องพกจะ) บริเวณนี้ถ้าฟ้าเปิดจะเห็นวิว 360 องศา คือดีงามมาก ขนาดหมอกเยอะยังสวย ตอนเช้าถ้าได้มาและฟ้าเปิดจะเห็นทะเลหมอก 360 องศา
ถึงที่พักไม่รอช้า รีบทำอาหารเลยจะ หิวมากกกก กรุ๊ปพี่พี่เอาเตามาสองตัว ของเราอีกตัว เลยเหมือนว่าจะทำให้ทำอาหารเสร็จเร็วขึ้น (รึเปล่า) มื้อเย็นวันนี้เราหุงข้าวกันนาจา (บิ๊กกับตรีหุง ไม่ใช่เรา 55) กับข้าวก็เป็นกับข้าวซองๆ ของโรซ่า เราเตรียมมาสองอัน พี่พี่เค้าเอามาอีกเยอะแยะ
*** ปล. อย่าลืมเผื่ออาหารสำหรับลูกหาบด้วยนะ ดีที่กรุ๊ปเราเตรียมเสบียงมาค่อนข้างเยอะ เลยไม่เป็นปัญหามาก
อิ่มมากมื้อเย็นวันนี้ ขอขอบคุณพ่อครัว บิ๊ก และ ตรี อีกครั้ง
คืนนี้เราแพลนว่าจะไปดูดาว เผื่อฟลุ้ค อาจจะเห็นทางช้างเผือก พอดีเลย อีกทีมที่ขึ้นมาพร้อมกันกำลังจะไปดูดาวพอดี เราและเพื่อนเลยติดสอยห้อยตามเค้าไปด้วย
ขออนุญาติเกริ่นถึงกรุ๊ปกุมารทอง (ชื่อนี้เจเจ เป็นคนตั้ง เนื่องจากเค้าไปดูดาวกันสี่คน และฮามาก จิงๆ เค้าอายุมากกว่าเราประมาณ ปีสองปี แต่เวลาพวกเค้าอยู่ด้วยกันมันฮามากกกกกกกก เหมือนเด็กๆ เลยค่ะ อีกอย่างเค้าเรียกพวกเราว่า พี่ 555 พอรู้ว่าอายุเท่ากัน ก็เลิกเรียกพี่ไปพักนึง แล้วกลับมาเรียกพี่ใหม่ ไม่เป็นไรค่ะ เอาที่สบายใจ 555) คุณเพื่อนๆ พี่ๆ ทั้งสี่น่ารักมากนะ แบ่งถุงนอนให้เรานั่งดูดาวด้วย (และไม่ว่าที่เราทำเบียร์หกใส่ถุงนอน เราขอโทดจิงๆ นะ ถ้าเทอได้มาอ่านคงดี... จิงใจมากกกก)
พวกเราหกคนนั่งดูดาว และหมอก ซึ่งเห็นหมอกเป็นส่วนใหญ่ 555 แต่แก๊งกุมารทองก็ถ่ายช้างได้หลายรูปอยู่นา ส่วนเราถ่ายได้รูปเดียว (ที่พอดูได้ แต่จิงๆ ก็ไม่โฟกัส ฮือๆ) มันต้องหาจังหวะที่หมอกหายไปนานพอที่เราจะถ่ายเสร็จ ซึ่งหมอกก็ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ เฮ้อออออ
ได้ช้าง แต่ไม่โฟกัสจะ เส้าแพรบ
หลังจากรอแล้วรออีก ห้าทุ่มละนะ หมอกก็ยังคงอยู่ พวกเราเลยกลับเต๊นท์ นอนจะ แต่ไม่หลับ เพราะ หนาววววววว อย่างที่บอกไป เราเช่าเต๊นท์และถุงนอน แต่ไม่มีให้เช่าแผ่นรองนอน พื้นดินมันชื้นตอนกลางคืน ถุงนอนก็ชื้นไปด้วย หนาวเลยคร่ะ นอนหลับๆ ตื่นๆ
Day 3 26/11/59
เราตื่นตีห้าครึ่ง เตรียมดูพระอาทิตย์ขึ้น เราดูตรงลานกว้างๆ ก่อนที่จะลงมาลานกางเต๊นท์ วันนี้ก็หมอกเยอะอีกตามเคย เราเลยตัดสินใจไม่ไปผาหัวสิงห์ละ (จิงๆ คือเมื่อย และขี้เกียด 555)
ความงามของขุนเขา
ขาวราวกับปุยนุ่น
ตั้งใจถ่ายมากจีจี
นี่คือทางที่เราเดินมาเมื่อวาน
แสงสีรุ้ง
สรุปว่า หมอกเยอะมาก เมฆก็เยอะมากเช่นกัน ไม่เห็นพระอาทิตย์ แต่ไม่เป็นไร แค่แสงก็พอใจละ มีทะเลหมอกให้เห็นก็ดีงามละ ไป ไปกินข้าวกันดีกว่า
หลังจากชื่นชมแสงยามเช้า และถ่ายรูปกันหนำใจแล้ว พวกเราก็ลงไปกินข้าวคร้าาา มีพี่พี่บางส่วนไม่ได้มาดูพระอาทิตย์ด้วยกัน เลยทำอาหารไปพลางๆ กันแล้ว ส่วนเรากับเจเจ กินโจ้กถ้วยและไข่ต้ม นมคนละกล่อง และโอวัลตินร้อน (ดูเยอะ 55)
กินเรียบร้อยก็จัดแจงตัวเอง เก็บข้าวเก็บของ เก็บเต๊นท์เตรียมตัวเดินลงดอยจร้าาาา
เราใช้เวลาลงจากดอยประมาณ 2 ชั่วโมง เดินชิวๆ ไม่รีบมาก สบายๆ สไตส์อะไรดี...
เดินลงอย่างเป็นระเบียบมากกกก
ถึงตรงนี้ก็เหลืออีกแค่ 200 เมตรแล้วจร้าา เย่ๆ
ขาดพี่ปอน เพราะพี่ปอนถ่าย ขอขอบคุณทุกคนเป็นอย่างมากที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน
จบทริปด้วยความประทับ ได้เพื่อนใหม่เยอะแยะ นี่ก็เป็นอีกข้อดีของการเที่ยวคนน้อยๆ สินะ
หลังจากลงดอยพวกเราก้อนั่งรถกระบะลุงกำนันผุ กลับไปทางเดิม ไปลงที่อมก๋อยรีสอร์ท ร่ำลาและแยกย้ายกันที่ตรงนี้
ไม่รุ้จะขอบคุณอะไรที่ทำให้เราเจอพี่พี่กรุ๊ปนี้ เราคงทำบุญมาดี 555
วันที่เราขึ้นดอยม่อนจอง มีคนขึ้นท้งหมด แค่ 19 คน (ไม่รวมลูกหาบ) ถือว่าน้อยนะ เพราะวันที่เราลงมีคนขึ้นน่าจะ 200 คนได้ เยอะมากกกกกกก
พี่พี่ทุกคนเฟรนลี่มาก น่ารัก และถึกมากเช่นกัน ขอบคุณที่ทำให้ทริปนี้สนุกสนาน มีเสียงหัวเราะ และขอบคุณอย่างมากที่ยอมให้พวกเราสองคนติดสอยห้อยตามไปด้วย... ความประทับใจ ครั้งหนึ่งที่ได้เดินทางด้วยกัน มิตรภาพมีอยุ่ทุกที่จริงๆ
สุดท้าย... หาเวลาไปเที่ยวกันนะทุกคน การเดินทางคือการเรียนรู้ เพิ่มประสบการณ์ ได้พบปะเพื่อนใหม่ รู้จักการใช้ชีวิตในแบบใหม่ๆ และสุดท้ายทุกอย่างจะรวมกันเป็นตัวเรา เป็นสไตส์ของเรา ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนเรา...
ค่าใช้จ่ายทริปนี้คนละประมาณ 2500 บาท ถูกมากกกกกก (ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินของเจเจ และราคานี้รวมค่าล้างรถ และน้ำมันเรียบร้อยละนะ )
สำหรับวันที่ 27/11/59 เราก็เที่ยวชิคๆ ในเมืองเชียงใหม่เจ้า
จบ...