เช้าวันใหม่ของการเดินทาง
เสียงกะเทาะของกิ่งไม้ในกองไฟที่พี่จะสอก่อไว้เพื่อต้านความหนาว คือสิ่งแรกที่ผมได้ยิน
ความหนาวเย็นในตอนเช้าของดอยทำให้ผมอยากนอนต่ออีกสักชั่วโมง
แต่ความน่าสนใจภายนอกเต๊นท์คือสิ่งที่ทำให้ผมอยากลุกออกไปมากกว่า
ทะเลหมอก คือ สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะได้ยลบนดอยม่อนจองแห่งนี้ ผมจึงรีบมุดออกจากเต๊นท์
ผมออกจากเต๊นท์มาปะทะไอเย็นของหมอกยามเช้า มีหมอกหนาแน่นไปหมด ...สวยมากกกก
ผมรู้สึกว่า ธรรมชาติได้โอบอุ้มพวกเราอยู่ หมอกที่หนาแน่นนั้นดูอบอุ่นและปลอดภัยมากกว่าดูน่ากลัว
บรรยากาศแบบนี้ยิ่งทำให้ผมอยากออกไปชมทะเลหมอกที่สันเขาตรงสนามกอล์ฟช้างเร็วๆ
เรากินอาหารเช้าอยู่ในดงหมอก พี่จะสอผู้ต้องหาบของหนักลงดอยเติมพลังด้วยไก่ย่างที่เหลืออยู่
ส่วนเรากินอาหารง่ายๆเท่านั้น เพราะยังรู้สึกอิ่มท้องจากมื้อค่ำที่ผ่านมา ...อิ่มใจเพราะบรรยากาศด้วย
เพื่อนผมมันกินขนมปังเซเว่น ส่วนผม ขอแค่ช็อคโกแลตเอ็มแอนด์เอ็มไม่กี่เม็ดก็เพียงพอแล้ว
พอทานข้าวเสร็จ เราก็ช่วยกันเก็บของแล้วออกเดินทาง พวกเราถึงสนามกอล์ฟช้างกันตอนประมาณ 8.00 น.
ความฝันของผมที่จะได้เห็นทะเลหมอกซึ่งฝังตัวอยู่ท่ามกลางหุบเขาได้จบลงแล้ว
เพราะหมอกที่ขึ้นอยู่เหนือพื้นดินบนดอยนั้นยังคงหนาแน่นและไม่มีท่าจะจางลงง่ายๆ
แต่มันก็ไม่ได้ลดความสุขใจในสิ่งที่ผมได้เห็นเลย เพราะบรรยากาศที่หมอกโอบอุ้มเราแบบนี้มันเกิดขึ้นง่ายๆซะที่ไหน
ผมยินดีมากๆกับสิ่งที่ผมได้พบนี้ ...เราไม่ได้เห็นทะเลหมอก เพราะเราอยู่ในทะเลหมอกเสียเอง ...ช่างสดชื่นกว่าที่ใด
โดยปกติ เดินลงเขาจะเร็วกว่าเดินขึ้นเขา แต่ก็ใช่ว่าจะต่างกันมากนัก
เพราะเดินลงเขาก็ใช่ว่าจะอันตรายน้อยกว่าเดินขึ้นเขา ถ้าพลาดก็ตกเขาได้
ยิ่งเพื่อนช่างอู้ของผมมันเจ็บเข่าด้วยแล้ว เราเลยไม่รีบร้อนในการเดินมากนัก
สำหรับผม สิ่งเดียวที่การเดินลงเขาดูดีกว่าการเดินขึ้นเขาคือ เหนื่อยน้อยกว่าเท่านั้นเอง
ส่วนเพื่อนผม ขาลงนี้ เข่าของมันคงรับน้ำหนักมากกว่าเดิม โดยเฉพาะบริเวณทางชัน
มันถึงต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตลอดทาง ดูจากสีหน้าแล้ว มันน่าจะเจ็บไม่น้อย
ผมเดินนำหน้ามันและหันไปดูมันเป็นระยะ ถ้ามันตกลงมา ผมจะได้รับมันได้
เวลาล่วงเลยไป 9-10 โมงเช้า สายหมอกก็ยังปกคลุมเราราวกับเพื่อนที่มาส่งเรากลับ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่า เราเดินมาใกล้ถึงจุดสิ้นสุดการเดินเท้าแล้วก็คือ เสียงของลิงป่า
(จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในการเดินเท้าเป็นจุดเดียวกัน ซึ่งก็คือจุดที่รถโฟร์วีลจอดส่งเรา)
เมื่อได้ยินเสียงของพวกมัน พี่จะสอก็เอาปากประชิดอุ้งมือที่แนบชิดกันสองข้างแล้วผิวปากเรียกพวกมัน
หลังจากพี่จะสอส่งสัญญาณเป็นเสียงที่ลิงป่าใช้เรียกกันออกไป เสียงของลิงป่าก็เงียบหายไปทันที
รอแล้วรอเล่า เราก็ไม่เห็นมัน บางทีพวกมันคงสงสัยในเสียงที่ไม่คุ้นเคยนี้ ก็เลยไม่ปรากฏตัวออกมา
ผมขอให้พี่จะสอสอนวิธีผิวปากกับอุ้งมือให้เป็นเสียงที่ลิงป่าใช้เรียกกัน แต่ทำเท่าไรก็ไม่สำเร็จสักที
ส่วนเพื่อนผมมันค้าน “อย่าเรียกมันมาสิวะ ขอเรากลับกันอย่างสวัสดิภาพดีกว่า” ...555 ตลกมันจริงๆ
ยิ่งใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของการเดินเท้า กำลังใจของเราก็มีมากขึ้น พร้อมกับเท้าที่ก้าวไวขึ้น
ขาขึ้นดอย กำลังใจของเรามาจากความต้องการขึ้นไปชมความสวยงามของทิวทัศน์ที่หาตัวจับได้ยาก
ขาลงดอย กำลังใจของเรามาจากความอยากกลับบ้าน แปลกแต่จริง...เราอยากหนีบ้านมาดอยนี่นา
ผมรู้สึกว่า กำลังใจที่จะได้กลับบ้านนั้นมีมากกว่ากำลังใจที่จะได้ยลโฉมความสวยงามมากมายนัก
เราถึงจุดสิ้นสุดของการเดินเท้าในเวลาประมาณ 10.45 น. รถโฟร์วีลมาจอดรอเราแล้ว
ก่อนขึ้นรถ เราเดินไปยังพระพุทธรูปเพื่อสักการะและขอบคุณที่ท่านมอบความราบรื่นและปลอดภัยให้
หลังขึ้นรถ เรานึกขึ้นได้ว่า การผจญภัยของเรายังไม่จบ เราต่างแย่งชิงพื้นที่ๆน่าจะสบายที่สุดบนรถกัน
เรายังเหลือการผจญภัยบนรถคันนี้อีก 1 ชม. “เอาวะ ทนเจ็บอีกนิด จะได้กลับบ้านแล้ว”
แม้จะอยากกลับบ้านมาก แต่พอรถออกวิ่งไปสักพัก กลับมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจผม
...
...
...
...
“ทำไมเราถึงค้างบนดอยแค่คืนเดียวเองนะ”