ทริปลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยวสุโขทัย โฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น ชมทะเลหมอก (แบบไม่มีรถส่วนตัว)
สวัสดีค่ะ ห่างหายไปจากการท่องเที่ยวและเขียนรีวิวไปนานมาก เพราะชีวิตค่อนข้างยุ่งต่อเนื่องมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19 มีความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงนี้ แต่เรื่องเที่ยวจะให้ตัดทิ้งคงยาก ยิ่งทำงานหนักยิ่งอยากไปพักสมอง ทริปนี้คิดเยอะเพราะเดินทางคนเดียว ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีคนช่วยหารค่าใช้จ่าย ขับรถไม่เป็น ทุกอย่างล้วนมีข้อจำกัดไม่ว่าจะเป็น งบประมาณ วิธีเดินทาง วันและเวลา ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาทริปนี้จึงไปลงตัวที่ "จังหวัดสุโขทัย"
ข้อมูลทริปแบบย่อ
ระยะเวลา: 2 วัน 1 คืน (ไม่รวมคืนเดินทาง)
วันที่เดินทางเข้าไปยังพื้นที่: 27-28 กันยายน 2563
สถานที่ท่องเที่ยว: Day 1 - วัดตระพังทองและตลาดเช้า อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย วัดศรีชุม และโฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น
Day 2- จุดชมทะเลหมอกห้วยต้นไฮ
จำนวนผู้เดินทาง: 1 คน
พาหนะ: รถทัวร์ และมินิบัส
ค่าใช้จ่าย: 3,017 บาท
* รีวิวนี้เจ้าของรีวิวเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
** รูปภาพในกระทู้นี้ประมาณ ถ่ายโดย iPhone SE และ Sony a6000 ใช้ VSCO, LR ในการแต่งรูปค่ะ
สิ่งที่ควรทำก่อนการเดินทาง
ทริปนี้เราไปนอนโฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เมื่อกำหนดวันเดินทางเรียบร้อยแล้ว แนะนำว่าให้รีบจองโฮมสเตย์เป็นอันดับแรก เนื่องจากกลุ่มโฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่นมีบ้านพักประมาณ 29 หลังเท่านั้น ขนาดเราจองล่วงหน้าสองสัปดาห์ยังเต็มทุกหลัง จึงทำให้ทริปนี้ต้องลดวันเหลือ 1 คืน 2 วัน สามาถเข้าไปติดต่อจองที่พัก ดูภาพโฮมสเตย์ ระเบียบในการเข้าพักและตารางกิจกรรมได้ที่ Facebook:โฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น จังหวัดสุโขทัย https://web.facebook.com/HomeStayBannaTonChan?_rdc=1&_rdr
ในส่วนของรถทัวร์เราใช้บริการของ บขส. เหตุผลที่เลือก บขส. เพราะมีรถผ่านอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย หรือบ้านเมืองเก่า หรือเมืองเก่า (จุดลงรถทัวร์มีหลายที่ต้องตรวจสอบให้ดีนะคะ) ในช่วงเช้าเราจะไปตักบาตรสะพานบุญที่วัดตระพังทอง และปั่นจักรยานเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์ฯ รอบรถทัวร์ของ บขส. จึงเหมาะกับแผนที่วางไว้นั้นคือรอบ 22.00 น. ถึงจุดจอดหน้าวัดตระพังทองประมาณ 05.00 น. ข้อดีอีกอย่างคือสามารถจองผ่านเว็บไซต์และชำระเงินได้ที่ 7-11 มีค่าบริการเพิ่ม 20 บาท เราโทรฯ ไปถามทาง Callcenter ของ บขส. ว่าขึ้นที่ขนส่งรังสิตได้ไหม คุณพนักงานแจ้งว่าหากผู้โดยสารต้องการขึ้นรถที่รังสิตให้โทรฯ แจ้งทาง Callcenter หลังชำระเงินเสร็จ ส่วนข้อเสียรอบรถมีไม่เยอะควรจองล่วงหน้า เราเดินทางตรงกับคืนวันเสาร์รถเต็มทุกที่นั่ง สามารถเข้าไปดูรอบรถได้ตามลิงค์เลยค่ะ https://booking.busticket.in.th/index.php
DAY 1: ตักบาตรสะพานบุญ
เราขึ้นรถทัวร์ที่สถานีขนส่งหมอชิต ลืมบอกว่าหลังจากชำระเงินค่ารถทัวร์ที่ 7-11 แล้วให้เก็บสลิปไว้ให้ดี เพราะต้องนำมาออกตั๋วที่เคาน์เตอร์ของ บขส. พนักงานจะบอกว่ารถจอดอยู่ที่ชานชาลาไหน ใครที่เพิ่งมาขึ้นรถทัวร์ที่นี่ ควรมาก่อนเวลาสักเล็กน้อยเนื่องจากมีหลายชานชาลา อีกอย่างจะได้มีเวลาตุนอาหารและทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย แต่ถ้าใครไม่มีเวลาแวะซื้อขนม อย่าได้กังวลข้างบนรถทัวร์มีพนักงานคนสวยแจกกล่องอาหารว่าง กาแฟสำเร็จรูปพร้อมชงกับน้ำดื่มหนึ่งขวด คำเตือน! กรุณาเตรียมน้ำดื่มไว้ในมือขณะกินขนมปัง
บขส. จอดให้ผู้โดยสารพักทานข้าวที่จุดพักรถ ใช้คูปองที่ติดอยู่กับตั๋วโดยสารแลกทานอาหารได้ แต่เรารู้สึกว่าดึกเกินไปสำหรับการกินหนักๆ จึงนอนอนต่อ มีพนักงานนำเครื่องดื่มขึ้นมาให้ใช้คูปองแลกสำหรับผู้โดยสารที่ไม่ลงจากรถ เครื่องดื่มมีให้เลือกประมาณ 2-3 อย่าง เราเลือกชาเขียวรสองุ่น
จากนั้นก็หลับๆ ตื่นๆ เพราะมีผู้โดยสารขึ้นลงตลอดทาง จนเวลา 05.00 น. เรามาถึงจุดจอดอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยหรือเมืองเก่าหน้าวัดตระพังทองติดกับตลาดสดวัดตระพังทอง ไม่มืดไม่เปลี่ยว ใกล้ 7-11 มีตลาดเช้า ท้ายตลาดมีห้องน้ำเสียค่าบริการประมาณ 2-3 บาท ห้องน้ำสะอาดมีอ่างสำหรับล้างหน้าแปรงฟันได้
เราซื้อชุดทำบุญที่ตลาด ราคาชุดละ 35 บาท แม่ค้าใจดีมากให้เราฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ที่ร้าน กำชับให้เอาของมีค่าไปให้หมด จากนั้นเราเดินไปรอที่สะพานไม้หน้าวัดตระพังทอง มาคนแรกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพราะแม่ค้าบอกว่าพระจะบิณฑบาตรประมาณหกโมง ระหว่างรอเราเดินเก็บภาพไปเรื่อยๆ อากาศตอนเช้ากำลังดี บรรยากาศเงียบสงบ วังเวงบ้างเล็กน้อยเพราะยังไม่มีใครมาเลยสักคน ตอนแรกจะหาของกินรองท้องที่ตลาดก่อน แต่กลัวไม่ทันขอมายืนรอเป็นเงาตะคุ่มอยู่หน้าสะพาน ตื่นเต้นที่จะได้ทำบุญคนเดียวกลัวทำผิดแล้วได้บาปแทน
ฟ้าเริ่มสว่างทางวัดได้ปูเสื่อและนำขันโตกมาจัดเรียงไว้สำหรับวางของทำบุญ เลือกที่นั่งได้ตามความพอใจเลยค่ะ ถ้าใครสายถ่ายรูปเราแนะนำทางเข้าต้นสะพาน จะได้มุมแบบภาพด้านล่าง ด้วยความที่วันนั้นเป็นเช้าวันอาทิตย์ คนมารอทำบุญจนล้นสะพานแต่ละคนแต่งตัวจัดเต็มใส่ชุดเหนือ นุ่งผ้าไทย งดงามเป็นอย่างมาก
เวลาประมาณ 06.50 พระเดินลงมารับบิณฑบาตร แม่ค้าที่ตลาดบอกว่าวันนี้สายปกติจะเร็วกว่านี้ ใช่ค่ะ! ดิฉันมารอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ฮ่าๆ แต่การไปก่อนก็ดีนะคะได้เลือกที่นั่ง สามารถเดินเก็บภาพสวยๆ บรรยากาศตอนเช้ากับเสียงสวดมนต์พลอยทำให้จิตใจสงบไปด้วย คนส่วนใหญ่มากันเป็นกลุ่ม คุณพี่ที่นั่งข้างเราถามว่ามาคนเดียวหรอ อยากถ่ายรูปไหม? มาจากไหน? และยังเป็นตัวอย่างในการใส่บาตรให้ด้วย การทำบุญเช้านี้จึงผ่านไปได้อย่างสมบูรณ์และตื่นเต้น สมกับเป็นรุ่งอรุณแห่งความสุข...
ตักบาตรเสร็จเข้าไปไหว้พระในวัด อิ่มใจแล้วก็ไปทำให้ท้องอิ่มกันบ้าง เรากลับไปหามื้อเช้ากินที่ตลาดและไปรับสัมภาระที่ฝากไว้กับร้านขายชุดทำบุญ
ตรงข้ามร้านขายชุดทำบุญที่เราฝากกระเป๋าไว้ มีร้านกาแฟโบราณ ปาท่องโก๋ มีที่นั่งกินนิดหน่อยเราเลยดื่มกาแฟรองท้องที่นี่ ขอนั่งพักและชาร์ตแบตมือถือก่อนจะไปต่อ เรากลัวไม่อิ่มเลยไปซื้อข้าวเหนียวมา 1 ห่อ ราคา 10 บาทเท่านั้น มีให้เลือกหลายอย่าง มื้อเช้าเสียเงินไปทั้งหมด 28 บาท ข้าวเหนียว 10 บาท ปาท่องโก๋ตัวละบาท 3 ตัว กาแฟ 15 บาท ชาร้อนฟรี
และปัญหาแรกของเราก็เกิดขึ้น เพิ่งรู้ตัวว่าลืมพาวเวอร์แบงค์ไว้บนรถทัวร์ตอนนี้แบตมือถือเหลือเลขตัวเดียวแล้วด้วย จึงติดต่อไปที่ บขส. แจ้งว่าลืมของประสานงานอยู่สักพักจนแบตเหลือ 1% ก็ได้ข้อสรุปว่าเราต้องกลับไปรับคืนที่ กทม. กับพนักงานขับรถทัวร์คันที่เราได้ลืมของไว้ จากที่จะหาร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยกินต่อหายหิวขึ้นมาทันที เพราะเราแทบไม่ได้หาข้อมูลอะไรไว้เลย จากที่คิดว่าจะใช้ Google map หาข้อมูลและนำทางสำหรับเช้านี้ต้องให้แผนที่กระดาษจากร้านเช่ารถจักรยาน ป้ายบอกทางและถามไปเรื่อยๆ...
DAY:1 ปั่นจักรยานเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
จากการถามทาง อุทยานประวัติศาสตร์อยู่ไม่ไกลจากตลาด ถ้าหันหน้าเข้าตลาดให้เดินไปทางขวาผ่านวัดตระพังทองประมาณ 450 เมตร ก็จะเห็นป้ายอุทยานประวัติศาสตร์ฯ ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านเช่าจักรยานเรียงรายอยู่ริมฝั่งถนน เราเช่าจักรยานร้าน OR Shop มีจักรยานให้เช่าหลายแบบ คุณพี่เจ้าของร้านแนะนำจักรยานคันที่เหมาะสมกับเรา แบบที่เราเช่าเป็นจักรยานทรงแม่บ้าน ราคา 30 บาท พร้อมบัตรประชาชน ปั่นได้เกือบทั้งวันจนร้านปิด ทางร้านให้กระดาษแผนที่พร้อมอธิบายเส้นทาง ถ้ามีจุดแวะในใจแล้วบอกได้เลย ทางร้านจะช่วยแนะนำเส้นทางการปั่นจักยานให้ ส่วนเรายังไงก็ได้แต่ขอไปวัดศรีชุมด้วย ค่อนข้างกังวลใจพอสมควรเวลาที่ไม่มี Google map ใช้ในสถานการณ์แบบนี้ ส่วนกระเป๋าสัมภาระสามารถฝากไว้ที่ร้านเช่าจักรยานได้ค่ะ
จากนั้นสามารถขี่รถจักรยานไปที่จุดจำหน่ายตั๋วหน้าอุทยานฯ ได้เลย
อัตราบัตรเช้าชม
-คนไทย 20 บาท
-ต่างชาติ 100 บาท
-จักรยาน 10 บาท
หน้าตาจักรยานที่เช่ามาเป็นแบบนี้ เรารู้นะว่าในแพลนจะมาปั่นจักรยานแต่ดันใส่เดรสมา ขอบอกเลยว่า "อย่าหาทำ" ต้องขี่จักรยานมือเดียว อีกมือต้องคอยจับกระโปรงไม่ให้โป๊ อันตรายต่อการปั่นและเสียบุคลิกภาพมากๆ
ส่วนใครที่ไม่อยากปั่นจักรยาน สามารถนั่งชมอุทยานประวัติศาตร์ฯ ได้สบายๆ โดยใช้บริการรถกอล์ฟบริเวณหน้าประตูทางเข้า นั่งได้ 6-8 ท่าน ราคา 450 บาท/ชั่วโมง จะขับเองหรือจะใช้บริการพร้อมคนขับก็ได้ค่ะ
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เป็นที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศไทย และยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO
จุดที่แนะนำให้ไปก่อนคืออนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหง เนื่องจากต้องนั่งไหว้บนพื้นการไปแต่เช้าจะไม่ค่อยร้อน เป็นคำแนะนำจากพี่เจ้าของร้านเช่ารถจักรยาน บริเวณอนุสาวรีย์ฯ มีดอกไม้ธูปเทียน น้ำมันเติมตะเกียงขาย เครื่องดื่มก็มีขาย การพกน้ำใส่ตะกร้าหน้ารถไปด้วยเป็นสิ่งที่ควรทำมาก
วัดมหาธาตุเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เจดีย์ประธานของวัดเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ซึ่งเป็นทรงเจดีย์ที่เป็นเอกลักษณ์ของศิลปกรรมสมัยสุโขทัยเป็นศิลปะแบบไทยแท้ วัดอยู่ใจกลางเมืองและเป็นวัดสำคัญของกรุงสุโขทัย เราเดินชมและถ่ายรูปอยู่นานมากตอนแรกแพลนเวลาไว้ว่าจะเดินชมวัดนี้ประมาณ 15 นาที แต่ความจริงใช้เวลาไปมากกว่า 30 นาที จากการสังเกตด้วยตาน่าจะเป็นวัดที่ใหญ่สุด เราอดใจไม่ไหวขอเก็บภาพตัวเองกับที่นี่ไว้เป็นที่ระลึก ปกติจะใช้กล้องติดกับขาตั้งเชื่อมต่อกับมือถือด้วย Wifi เป็นรีโมทเพื่อกดถ่าย แต่หลังจากมือถือแบตหมดเราก็ต้องตั้งเวลาแล้ววิ่ง มีความเขินบ้างถ้าบังเอิญว่ามีคนเดินมาเจอ เที่ยวคนเดียวมันก็ลำบากตรงนี้เนี่ยแหละ ในการเข้าชมโปรดอย่าปีนป่ายโบราณสถานนะคะ
วัดศรีสวาย อยู่ทางทิศใต้ของวัดมหาธาตุ ประกอบด้วยปรางค์ 3 องค์ เราว่าคล้ายกับพระปรางค์สามยอดที่ลพบุรี ซึ่งก็เหมือนจะเป็นแบบนั้นเพราะรูปแบบศิลปะของปราค์งวัดศรีสวายเป็นแบบลพบุรีที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะแบบขอม
ทางจักรยานดีมาก แต่ต้องขี่ระวังรถกล์อฟนิดนึง เส้นทางมีความร่มรื่นแต่พอใกล้สิบโมงเช้า แดดจัดอากาศเริ่มร้อนแล้วค่ะ
วัดตระพังเงิน ตั้งอยู่ทางตะวันตกของวัดมหาธาตุข้างบริเวณสระน้ำ คำว่าตระพังเป็นภาษาขอมหมายถึงสระน้ำหรือหนองน้ำ ตัดสินใจว่าชมโบราณสถานในเขตกำแพงเมืองเก่าเพียงเท่านี้ และจะขี่จักรยานไปวัดศรีชุมซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 1.8 กิโลเมตร
วัดศรีชุม เราขี่จักรยานออกมาทางประตูศาลหลวง เส้นทางนี้เป็นถนนหมายเลข 12 ต้องระวังรถยนต์อย่างมาก เพราะจะต้องปั่นข้ามถนนเพื่อเลี้ยวเข้าไปในซอยข้างร้านอาหารขวัญสิริ เมื่อถึงวัดศรีชุมต้องซื้อบัตรเข้าชมสถานที่คนละ 20 บาท ที่เราอยากมาวัดนี้เนื่องจากเคยได้ยินตำนานพระพุทธรูปพูดได้ เมื่อได้มาสุโขทับทั้งทีจึงอยากเห็นด้วยตาตัวเอง วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ซึ่งมีนามว่า "พระอจนะ" ส่วนตำนานพระพูดได้มาจากสมเด็จพระนเรศวรวางแผนสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหาร โดยการให้ทหารคนหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปทางด้านหลังองค์พระและพูดกับเหล่าทหาร ทำให้ทหารเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดตำนานพระพูดได้
เรากลับจากวัดศรีชุมทางเดิม และเอาจักรยานไปคืนที่ร้านมีห้องน้ำไว้บริการหลายห้อง เราขอเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า เปลี่ยนชุด (ชุดที่ใส่ปั่นจักรยานเปียกท่วมไปด้วยเหงื่อ) ซึ่งใช้บริการฟรีแถมยังให้คำแนะนำเราในการเดินทางต่อ ซึ่งข้อมูลที่เรามีไม่อัพเดทคือรถสองแถวคอกหมูที่วิ่งเข้า บขส. ไม่ค่อยมีวิ่งแล้ว ให้เรานั่งรถมินิบัสหรือรถตู้ที่ไปพิษณุโลก ยืนโบกที่หน้าร้านเช่าจักรยานได้เลย พี่เจ้าของร้านใจดีมากรู้ว่าเราไม่เคยมาออกมายืนเป็นเพื่อนจนเราได้ไปบขส. สุโขทัย ราคารถตู้ 20 บาท (เพื่อความแน่ใจเราย้ำกับพนักงานขับรถอีกทีว่าเราจะไปลงรถที่ บขส.สุโขทัย)
DAY:1 Check-in โฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น
เมื่อถึง บขส. เราซื้อตั๋วไปอำเภอศรีสัชนาลัย บอกพนักงานขายตั๋วว่าจะไปบ้านนาต้นจั่นถึงแล้วให้บอกด้วย พนักงานจะบอกว่ารถจะเข้ามารับที่ชานชาลาไหน ซึ่งของเราเป็นรถแอร์แบบรูปด้านล่าง ราคา 49 บาท ใช้เวลาเดินทางแบบหวานเย็น ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ
พนักงานขับรถให้เราลงตรงวินมอเตอร์ไซค์หาดเสี้ยว แถมเรียกคุณลุงวินมอเตอร์ไซค์ไปนาต้นจั่นให้ด้วย ถ้ามากันหลายคนให้ทางที่พักจัดรถมารับจะสะดวกและประหยัดกว่า แต่เรามาคนเดียวเลยต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์เข้าไป ราคาเที่ยวละ 160 บาท ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตร เราขอเบอร์คุณลุงไว้ให้มารับตอนขากลับ ซึ่งจุดขึ้นรถทัวร์ที่ใกล้ที่สุดคือวินทัวร์หาดเสี้ยว ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ตารางการเดินรถอัพเดทใหม่รอบที่เราต้องกลับกรุงเทพฯ คือรอบ 09.30 น. ซึ่งต้อง check out จากที่พักและรีบเดินทางไปขึ้นรถทัวร์ให้ทัน ซึ่งคุณลุงเข้าใจและนัดเวลามารับเราตอน 08.15 น.
นักท่องเที่ยวที่มาถึงต้องไปยังศูนย์กลางชุมชนบ้านนาต้นจั่น เพื่อให้เจ้าของบ้านมารับเข้าบ้าน ที่ศูนย์กลางชุมชนเป็นจุดขายงานฝีมือที่ทำจากคนในชุมชนและมีร้านอาหารชื่อร้านข้าวเปิ๊บล้มยักษ์ ที่ร้านมีเมนูข้าวเปิ๊บชามโตเท่าหน้า ข้าวเปิ๊บแบบต่างๆ และข้าวพันหลายรสชาติ ข้าวเปิ๊บเป็นเมนูพื้นบ้านของบ้านนาต้นจั่น วิธีการนึ่งแป้งคล้ายข้าวเกรียบปากหม้อพอแป้งสุขใส่วุ่นเส้นและผักต่างๆ ลงไป จากนั้นก็พับแป้งไปมาเพื่อห่อไส้ข้างในเสิร์ฟพร้อมน้ำซุป เราจัดหนักด้วยการสั่งข้าวเปิ๊บล้มยักษ์และข้าวพันผักรวม รสชาติโดยรวมเราว่าคล้ายสุกี้ที่ไม่ใส่น้ำจิ้ม ได้กระดูกหมูติดเนื้อชิ้นใหญ่ ส่วนข้าวพันผักเราชอบข้าวพันพริกที่สุด
ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านขายของมีผ้าถุงและชุดเหนือขาย เผื่อใครไม่ได้เตรียมชุดมาใส่ถ่ายรูปสามารถแวะเข้าไปซื้อได้
รายละเอียดโปรแกรมทริปของบ้านนาต้นจั่น 2 วัน 1 คืน
วันที่ 1
15.00 น. รับนักท่องเที่ยวจากศูนย์กลางชุมชนเข้าที่พัก
16.30 น. ปั่นจักรยานชมทุ่ง ชมพระอาทิตย์ตก(สะพานเชื่อมทุ่ง)
18.30 น. รัปประทานอาหารเย็น
วันที่ 2
06.30 น. ตักบาตรหน้าบ้านหรือชมทะเลหมอกห้วยต้นไฮ (เลือกอย่างใดอย่างนึงเพราะเวลาทับซ้อนกัน)
07.30 น. รับประทานอาหารเช้า
08.30 น. ปั่นจักรยานชมวิธีการทอผ้าใต้ถุนบ้าน
- ชมวิธีการทำตุ๊กตาบาร์โหน (บ้านตาวงศ์)
- ชมและชิมผลไม้ตามฤดูกาล
- ชมการทำผ้าหมักโคลน
- ชมผลิตภัณฑ์จากผ้าหมักโคลน
11.30 น. ชมและทดลองการทำข้าวเปิ๊ปอาหารถิ่น
(กิจกรรมอาจมีการปรับเปลี่ยนได้อย่างเราต้องรีบเดินทางกลับตามรอบรถทัวร์ จึงทำกิจกรรมปั่นจักยานเที่ยวชมในหมู่บ้านเย็นวันแรกที่เข้าพักเลยค่ะ)
อัตราการเข้าพัก
ท่านละ 600 บาท, เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ 250 บาท, ชาวต่างชาติท่านละ 700 บาท ราคานี้รวมอาหารเย็นและเช้า นอนพักหนึ่งคืน กิจกรรมชมเที่ยวในหมู่บ้านเจ้าของบ้านหรือน้องไกด์พาชมเที่ยว หากสนใจใช้บริการห้องแอร์ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มห้องละ 300 บาท
*ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่เพจของโฮมสเตย์
**ขอขอบคุณข้อมูลข้างต้นจากเพจ โฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น จังหวัดสุโขทัย ด้วยนะคะ
เราได้พักบ้านแม่จันทราที่เรือนเล็กบ้านจันทราเป็นโฮมสเตย์ของพี่ตุ้มและพี่พงษ์ ทริปนี้เราเดินทางมาคนเดียว ทางศูนย์กลางของโฮมสเตย์จัดให้เราเข้าพักที่นี่ ซึ่งก่อนวันเดินทางหลายวันพี่ตุ้มโทรศัพท์มาหาเรา ถามว่าเดินทางมายังไง? มาคนเดียวหรอ? จะไปเที่ยวไหนบ้าง? พร้อมบอกข้อมูลการเดินทางให้ครบเลย
บ้านแม่จันทรามีโฮมสเตย์ 2 หลัง ถ้ามาหลายคนจะได้นอนหลังใหญ่ ส่วนเรามาคนเดียวได้นอนเรือนเล็ก บ้านแยกออกมามีความเป็นส่วนตัว มีห้องน้ำในตัวพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่น ห้องพัดลม มีผ้าเช็ดตัว หมอน ผ้าปูที่นอน มุ้งสะอาดและเครื่องนอนมีกลิ่นหอม ในห้องมีปลั๊กพ่วงให้ โซนนั่งเล่นมีทีวี น้ำดื่ม กาต้มน้ำร้อน กาแฟ น้ำแข็ง เราชอบมุมเปลหน้าบ้านมาช่วงนี้ได้นอนเล่นพร้อมชมวิวสวยๆ ทุ่งนาสีเขียวสบายตาและดีต่อใจ
DAY:1 ปั่นจักรยานชมวิถีชุมชนบ้านนาต้นจั่น ชมทุ่งนา และพระอาทิตย์ตกดิน
หลังจากพี่ตุ้มส่งเราเข้าที่พัก ได้นัดน้องไกด์พาเราไปปั่นจักรยานชมหมู่บ้านตอนสี่โมงเย็น โดยมีค่าเช่าจักรยาน 30 บาท ค่าไกด์ฟรีแต่เราซื้อขนมให้น้องเป็นการตอบแทน สถานที่แรกน้องไกด์พาเราไปคือ ชมวิธีการทำตุ๊กตาบาร์โหนบ้านตาวงศ์ เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่คุณตาวงษ์คิดค้นขึ้น แต่ปัจจุบันคุณตาวงษ์ได้เสียชีวิตแล้ว ตุ๊กตาบาร์โหนเป็นการแกะสลักไม้ขึ้นมาเป็นรูปคนที่กำลังเล่นกีฬากายกรรม น้องไกด์บอกว่าคนสมัยก่อนไม่ดื่มนมถ้าอยากตัวสูงต้องไปโหนบาร์ ตุ๊กตาบาร์โหนจึงเป็นการจำลองวิถีของผู้คนสมัยก่อนมาเป็นเครื่องเล่น โดยบีบที่ปลายไม้แล้วตุ๊กตาจะขยับเป็นท่าทางต่างๆ มีท่ายากด้วยนะ น้องไกด์บอกต้องฝึกเล่นบ่อยๆ จะสามารถทำได้ ซึ่งประโยชน์ในการเล่นตุ๊กตาบาร์โหนคือสามารถใช้เป็นที่บริหารมือได้ สำหรับผู้ที่สนใจสั่งทำไว้ได้และจะจัดส่งให้ภายหลังทางไปรษณีย์
เราไปต่อกันที่โฮมสเตย์ตัวอย่าง น้องไกด์พาเรามาดูอชิโฮมสเตย์สามารถถ่ายรูปและเดินชมได้แค่บริเวณหน้าบ้านพักกับใต้ถุนบ้าน ส่วนบนบ้านสงวนไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าพักบ้านหลังนี้เท่านั้น เราคิดว่าบ้านแต่ละหลังสวยแตกต่างกันนะ บางหลังมีวิวทุ่งนา บางหลังเป็นบ้านต้นไม้ แต่ทุกหลังมีมาตรฐานและได้รับการรับรองเหมือนกัน ความไม่เหมือนกันของที่พักเนี่ยแหละที่ทำให้เราอยากกลับมาพักโฮมสเตย์หลังอื่นอีก ถ้าเคยมาแล้ว...ในการจองที่พักครั้งต่อไปสามารถแจ้งได้ว่าเคยมาพักที่หลังนี้แล้วอยากไปพักหลังอื่น ทางศูนย์ฯ ก็จะจัดสรรให้ค่ะ
ปั่นไปต่อกันที่การทอผ้าใต้ถุนบ้าน น้องไกด์สาธิตการทอผ้าให้เราชม จริงๆ เราก็สามารถลองทอได้นะคะ มีโค๊ดของลายผ้าเขียนไว้เราก็ทอตามนั้น ดูเหมือนง่ายใช่ไหมล่ะ จริงๆ ยากมากสำหรับการเริ่มฝึกเพราะมือและเท้าไม่ยอมไปด้วยกัน ผ้าที่เพิ่งทอเสร็จสามารถซื้อกลับได้ราคาจะอยู่ที่หนึ่งร้อยต้นๆ แต่ถ้านำไปหมักโคลนซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ทำให้ผ้านิ่มด้วยวิธีธรรมชาติราคาจะสูงถึงหลักพันเลยค่ะ ใครที่สนใจซื้อผ้าหมักโคลนหรือสินค้าอื่นๆ ของชุมชนสามารถซื้อได้ที่ร้านค้าของศูนย์กลางชุมชน
เราปิดท้ายการปั่นจักรยานเที่ยวชมหมู่บ้านกันที่สะพานเชื่อมทุ่ง ต้องเดินเท้าระยะทางสั้นๆ เข้ามาจะพบกับทุ่งนากว้างสีเขียวและทุ่งดอกคอสมอสสีเหลืองสบายตาสบายใจมีศาลาเล็กเอาไว้หลบแดด เรามาในช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินแสงแดดจึงสาดเข้ามาเต็มๆ หากใครจะอยู่นานรอชมพระอาทิตย์ตกควรติดหมวกติดร่มมาป้องกันแดดและเป็นพร๊อพถ่ายรูปไปในตัว ส่วนเราเก็บภาพจนจุใจขอกลับก่อน เนื่องจากเมื่อคืนพักผ่อนน้อยและเที่ยวมาตั้งแต่เช้ามืด คิดถึงหมอนและที่นอนมากๆ
มื้อเย็นสุดปัง! กลับมาถึงบ้านพักตาโตหายเหนื่อยหายง่วงเลยทีเดียว เรามาคนเดียวแต่อาหารที่พี่ตุ้มเตรียมให้นั้นจัดหนักจัดเต็ม การใช้กระบอกไม้ไผ่แทนจาน การจัดวางผักต่างๆ น่ากินมาก พอเรากินได้สักพักที่ตุ้มเข้ามาถามว่าพอกินได้ไหม รสชาติเป็นไงบ้างและบอกอีกว่าถ้ากินหมดจะดีใจมาก อาหารในขันโตกเป็นอาหารพื้นบ้านอร่อยทุกอย่าง มีลาบคั่วที่ทำรสชาติแบบกลางๆ กินง่ายจนเรากินหมด ปลานึ่งพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ดถ้ามากลุ่มใหญ่ขนาดปลาจะใหญ่ตามจำนวนคน ผัดหน่อไม้เมนูนี้เราชอบมากเพราะชอบกินหน่อไม้อยู่แล้วแต่ไม่เคยกินแบบผัดไข่อร่อยจนเกลี้ยงกระบอก อีกเมนูหนึ่งรสชาติเหมือนต้มข่าไก่แต่ใส่หัวปลีหรือขนุนอ่อนสักอย่างเนี่ยแหละ พี่ตุ้มบอกแต่เราจำไม่ได้ ส่วนเมนูสุดท้ายหากินได้ที่นี่เท่านั้นคือน้ำพริกซอกไข่ ฟังที่แรกร้องเอ๊ะ! อยู่ในใจ ฮ่าๆ แต่คำว่าซอกหมายถึงการบด ตำเบาๆ คือวิธีการทำน้ำพริกซอกไข่นั่นเอง รสชาติจัดจ้านเปรี้ยว เค็ม เผ็ด กินกับผักลวกปลอดสารพิษอร่อยมาก ตบท้ายด้วยผลไม้ตามฤดูกาล (ถ้ามาหน้าทุเรียนมีขึ้นขันโตกด้วยนะ) กินจนลุกไม่ขึ้นแต่ก็กินไม่หมดเกือบสองทุ่มได้ เพราะเยอะมากจริงๆ พี่พงษ์บอกว่าน้อยกว่านี้ไม่ได้ มันไม่ตรงปก ขันโตกไม่จัดหนักจัดเต็มจะไม่สวย ในเพจโฮมสเตย์ที่นี่ลงรูปอะไรไป ของจริงต้องได้แบบนั้น ซึ่งก็ตรงปกมากๆ มื้อเดียวเกินคุ้ม 600 บาท แล้วค่ะ