มุ่งหน้า ผาชะนะได ..ที่ อช.ผาแต้ม และพักผ่อนริมน้ำที่โขงเจียม
วันแรก: สมาชิก 4 คนพร้อมออกเดินทาง
ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม. ไม่มีเลท 8.55 ถึงอุบลเรียบร้อย หลังจากนั้นก็หยิบแผนที่ท่องเที่ยวต่างๆ จากจุดบริการนักท่องเที่ยน และไปติดต่อรับรถที่ AVIS ทริปนี้เราเช่ารถเก๋ง 1.5 ไว้ ราคาโปรกับออฟฟิสวันละ 750 บาท คืน เลทได้ 4 ชั่วโมงเหมือนเดิม และโทร confirm อีกครั้งกับศูนย์ดงนาทาม สำหรับการจองรถขึ้น ผาชะนะได วันนี้ (เจ้าหน้าที่พูดเหมือนจะไม่มีรถให้เรา แต่พอบอกว่าจองไว้ก่อนหน้านี้แล้วน๊าา..เค้าก็บอกโอเค เดี๋ยวจะให้ คนขับรถโทรนัดเวลา เราก็สบายใจ)
หลังจากรับรถ ก็มุ่งหน้าไปหาก๋วยจั๊บ ของขึ้นชื่ออุบล สักหน่อย แต่ไม่ได้เตรียมข้อมูลร้านอาหารมา search google ดู เจอร้านนี้ร้านแรก..
ตอนไปถึงไม่มีลูกค้าเลย สบายๆ ร้านนี้ตั้งอยู่ในเมือง ใกล้ๆ กับสาธารณสุขจังหวัด ไม่ไกลกับสนามบิน
พออิ่มท้อง ก็ลุยกันได้เลย
มีสระน้ำแต่ด้านในไม่มีน้ำ ทางวัดจัดให้โยนเหรียญลงไปให้ลงกระถาม ตามเรื่องต่างๆ เช่นมีบุญวาสนา สุขภาพแข็งแรง เนื้อคู่ ... รอบวงสระ ก็ใช้เวลาพยายามโยนเหรียญกันอยู่นานโดยเฉพาะเนื้อคู่ 555 จากนั้นก็ไปต่อกันแต่ที่แก่งสะพีอ
แก่งสะพือในหน้าฝนก็เป็นอย่างในรูป สะพือซะเต็มแก่งเลย...555 เราเลยไม่เห็นแก่งใดๆ และไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว เดินผ่านร้านขายของนั่งเงียบเหงากันเลย ..ในช่วงหน้าร้อนน้ำจะลดเห็นหินเล็ก หินน้อย และจะมีนักท่องเที่ยวมาชมวิวกัน (อดเลย) ^^จากแก่งสะพือ เราก็รีบมุ่งหน้า อุทยานแห่งชาติผาแต้ม เนื่องจากนัดรถที่จะพาพวกเราขึ้นผาชะนะได เวลาบ่ายสามโมง ไต่ถามพี่คนขับรถแล้วว่าเรายังพอมีเวลา แวะเที่ยว ผาแต้มก่อนได้ เราจุงมุ่งหน้าไปยัง อช.ผาแต้ม
ถึง อช.ผาแต้มแล้ว เสียค่าเข้าคนละ 20 กับค่ารถ 30 บาท วันนี้เป็นวันศุกร์ คนไม่ค่อยเยอะเที่ยวแบบสบายๆ
จุดแรกที่เราจะเจอคือ "เสาเฉลียง" ตั้งอยู่ระหว่างทางก่อนถึง ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ผาแต้ม
"เสาเฉลียง"คำว่าเสาเฉลียง แผลงมาจาก "สะเลียง" เป็นภาษาส่วยหมายถึง เสาหินที่มีลักษณะแปลก เกิดจากน้ำและกรวดที่ลมพัดพามากัดเซาะต่อเนื่องเป็นเวลาหลายล้านปีเลยทีเดียว ที่ อช.ผาแต้มนี้จะมีหินลักษณะนี้อยู่หลายจุดเลย
ถึงแล้ว อช.ผาแต้ม ในหน้าฝนวันที่แดดร้อนมาก ที่นี่จุดเด่นคือภาพเขียนสีโบราณอายุประมาณ 3,000 ปี เลยทีเดียว
โดยจุดที่ชมก็คือด้านล่างผานี่เอง มีจุดชมภาพเขียนทั้งหมด 4 จุด ระยะทางร่วม 3,800 เมตร เดินเป็นวงกลม กลับมาที่จุดเดิม แต่เราดูเวลากันแล้วเราคงไปได้เพียง 2 จุดแรกเท่านั้น (ท่องไว้ตลอดบ่ายสามโมง สอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ผาชะนะได อยู่ห่างจาก ผาแต้ม 40 กิโลเมตร โดย 10 กิโลสุดท้าย รถเก๋งไม่สามารถขึ้นได้ต้อง FWD เท่านั้น)
เดินเลาะริมผาไปเรื่อยๆๆ
ภาพเขียน จุดที่ 2:"ภาพเขียนสีผาแต้ม" ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด แสดงภาพกลุ่มสัตว์ วิถีชีวิตของมนุษย์ในยุคก่อนพอเดินสักพัก เห็นเวลาไม่คอยท่าเราก็เดินกลับทางเดิม เพราะเวลาจะไม่ทัน นึกขึ้นได้ยังไม่ได้หาเสบียงสำหรับขึ้นไปที่ผาชะนะได เลย (การขึ้นไปผาชะนะได เราต้องเตรียมอาหารขึ้นไปเอง) ก็เลยเหมาเอามาม่าคัพ และน้ำดื่ม 1 แพค จากศูนย์บริการขึ้นไป โทรไปแจ้งพี่คนขับว่า ขอเลทเป็นบ่ายสามโมงครึ่ง เนื่องจากคิดว่าไม่ทันแน่ และรบกวนให้พี่เค้าช่วยหาอาหารให้ด้วย 555 พี่คนขับบอกได้เลยพี่เพิ่งออกจากน้ำตกสร้อยสวรรค์เหมือนกัน 10 นาทีก็จะถึงล่ะ หลังจากนั้นก็อำลาผาแต้ม มุ่งหน้าผาชะนะได
ขับรถไปเรื่อยๆ ใช้ Google ปักหมุดไปที่ ศูนย์ดงนาทาม ขับรถขึ้นไปเรื่อยๆ เอ๊ะทำไมนาน..สัญญาณก็ไม่ค่อยดี..พี่เค้าบอก 10 นาทีถึงนี่ขับมา ครึ่งชั่วโมงแล้ว ปรากฏว่า..ขับเลยจุดนัด จริงๆ แล้วต้องเจอกันที่ อบต.นาโพธิ์กลาง!!! ซึ่งเราเลยมาเป็นครึ่ง ชั่วโมง อีกนิสเดียวก็จะถึงจุด 10 กฺิโลสุดท้ายที่จะขึ้นผาชะนะได แล้ว...ต้องเสียเวลาวนรถกลับลงไปอีก กว่าจะออกตัวก็ปาไปเกือบสี่โมงเย็นแล้ว .. พบปะหน้าคล่าตาพี่กานต์ พี่คนขับ กันเรียบร้อยก็เปลี่ยนรถออกเดินทางได้
รถที่มารับเราปรากฏว่าไม่ใช่ FWD แต่เป็นขับเคลื่อน 2 ล้อ พี่เค้าบอกหาไม่ทัน แต่ก็โอเคน่ะคนขับชำนาญทาง
ระหว่างทางก็โหดตามที่ศึกษาจากหลายเวปมาแล้ว เขย่าท้องไส้ ปั่นป่วนมาก
วัดถ้ำปาฏิหารย์ เห็นอยู่ไกลๆ
ผ่านจุดหินเต่าชมจันทร์
ผ่านจุดชมเสาเฉลียงคู่ เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก แต่พี่กานต์บอกว่าเย็นเกิน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาแวะดีกว่าเนอะ..ตามนั้น
เริ่มมืดแล้วจริงๆ เรายังไม่ถึงจุดหมาย.. เส้นทางพอใกล้ๆ ถึงผาชะนะได แล้วจะเป็นแบบดินแดงลูกรัง สามารถทำความเร็วได้แล้ว พี่เค้าก็เหยียบทำเวลา...
และในที่สุดเราก็มาถึงจนได้...ที่พักของเราวันนี้ ใช้เวลาโยกเยกมาประมาณ 1.30 ชม.ได้ โอยย...ปวดเมื่อยหลังเป็นอย่างมาก เจ้าหน้าที่จัดให้เรานอนในอาคารเอนกประสงค์ตามในภาพ เพราะถ้าไปกางเต็นท์ ก็จะมีแค่เรา กลางป่าเขา และกลัวว่าฝนจะตกด้วย..ก็โอเคค๊าา
ที่พักของเราสำหรับค่ำคืนนี้ .. และกางเต็นท์เพิ่มอีก 2 หลังเล็ก ที่นี่ไฟฟ้ามีน้อย เห็นพี่กานต์บอกว่า หม้อแปลงเสีย หรืออะไรสักอย่าง ไฟหมดตอนไหนคือหมด 555 ก็จะมีเทียนเหมือนเทียนพรรษา ที่ผ่านการใช้งานมานาน 1 เล่มไว้ตรงกลางอาคาร
เก็บข้าวของเรียบร้อย..พี่กานต์บอกว่าเดี๋ยวพาไปอาบน้ำ เล่นน้ำที่น้ำตก กัน...
ในภาพคือ จุดกางเต็นท์ของ อช. กางกันบนลานหินนี่เลย ..เลยสงสัยถามพี่กานต์ว่าแล้วจะปักหมุดยึดเต็นท์ยังไง พี่บอกว่าก็เอากระเป๋า เอาอะไรทับไว้เฉยๆ 555 ช่วงปีใหม่จะมีนักท่องเที่ยวมากางเต็นท์เต็มพื้นที่เลย เดินไปยลน้ำตกห้วยพอกกัน
น้ำตกห้วยพอก..เป็นน้ำตกที่อยู่ใกล้บริเวณจุดกางเต็นท์ น้ำใสไหลเย็นสบายๆ วันนี้น้ำตกเป็นของเราจริงๆ ซึ่งจริงๆ แล้วสามารถเดินลงไปด้านล่างน้ำตกได้อีก แต่เราไม่ได้เดิน เพราะเริ่มมืดแล้ว ก็ได้เล่นน้ำถ่ายรูปให้พอชื่นใจ ก็เดินกลับที่พัก
ถึงแม้ทริปนี้เราจะไม่ได้ยล สามพันโบก เพราะเป็นช่วงฝน แต่ตามทางก็พอจะมีให้เห็นโบกเล็ก โบกน้อย กันบ้าง
ถึงยามนี้ท้องก็ร้องว่าหิวมากๆๆ รู้สึกว่าทั้งวันเราจะได้กิน ก๋วยจั๊บ มื้อเช้า และกาแฟระหว่างทางเท่านั้น
เมนูที่พี่กานต์จัดมาให้จากตลาดแถวบ้าน คือไก่ย่าง ปลาย่าง และข้าวเหนียว แล้วเรายังมีหนังกบที่ซื้อมาจากแก่งสะพือด้วย สวรรค์โปรด กินกันกลางป่า กลางเทียน จุดเตาเพื่ออุ่นไก่ และปลา พอเสบียงพี่กานต์ที่เตรียมมาหมด เหมือนท้องไส้ยังโหยหาอาหาร เราจึงต้องต่อด้วยมาม่า จาก ผาแต้ม...เป็นอันอิ่มท้องเปรมปรี 555
ระหว่างที่เรากลับมาเตรียมอาหาร..ไม่น่าเชื่อจะมีนักท่องเที่ยวอีก 2 คนขับขึ้นมาเอง ...คือทำได้ไง
กลายเป็นว่าคืนนี้มีเรา 2 ก๊วน ระหว่างกินข้าว ก็ได้เสวนา ฮาเฮ กันไป สักสี่ทุ่มดูท้องฟ้าไม่เป็นใจให้ถ่ายดาว ก็แยกย้ายกันเข้านอน เจอกันอีกทีตีห้า เพื่อไปดูแสงอาทิตย์แรก ที่จุดชมวิว
=================================================================
วันที่ 2: ตื่นตีห้า ตื่นได้ทันที (อันที่จริงนอนไม่ค่อยหลับ เหมือนเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น) รีบล้างหน้าแปรงฟัน หยิบกล้องขึ้นรถกันทันที
ขับรถประมาณ 10 นาที ก็มาถึงจุดชมวิว..แต่วันนี้พระอาทิตย์ไม่ออกมาให้เรารับแสงแรกแห่งวัน มีเมฆครึ้ม หมอกจางๆ
เฝ้ารอ..เฝ้าคอย.. จนแล้วจนเล่าก็ไม่มา...จนเมฆฝนเริ่มมาแทน ก็เลยต้องเผ่นกันก่อน
จากนั้นก็อำลา พระอาทิตย์ที่ไม่ยอมมา..มุ่งหน้ากลับเต็นท์เก็บของ ลงจากผาชะนะได เนื่องจาก
วันนี้เรายังมีแพลนอีกหลายที่ พี่กานต์บอกจะพาไปดูเสาเฉลียงคู่ ลงไปด้านล่าง ต่อด้วยน้ำตกแสงจันทร์ น้ำตกนาเมืองและเถาวัลยักษณ์ เป็นอันครบ
ระหว่างทางบนผาชะนะได เราก็จะเจอกับป้ายบอกทางไป จุดชมวิว เสาเฉลียงคู่ ..ซึ่งเส้นทางนี่ถ้าไม่คุ้นชิ้นคงหลงแน่นอน..จริงแล้วที่นี่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกด้วย
ระหว่างทางก็พอจะมีดอกหญ้าให้เห็นบ้าง เป็นหย่อมๆ และต้นยังเล็กๆ กันอยู่เลย...
หลังจากนั้นเราก็ลงจากผาชะนะได แวะกินข้าว และมุ่งหน้าน้ำตกแสงจันทร์ อยากไปถึงก่อน 11 โมง กลัวเจอผู้คนมากมาย 555
ถึงแล้ว "น้ำตกแสงจันทร์" หรือน้ำตกลงรู Unseen in Thailand ถ้ามาตอนกลางคืนคงจะสวยน่าดู
ที่มาของชื่อน้ำตกแสงจันทร์ คือสายธารน้ำตก ที่ลอดผ่านช่องหินที่ถูกน้ำกัดเซาะกัดกร่อน ลงมาเป็นสีขาวนวลคล้ายแสงจันทร์ ยิ่งโดยเฉพาะวันเพ็ญ ที่แสงจันทร์จะสาดส่องลงมาตรงรูหินนี้... อุ้ยๆๆ อยากชมยามวันเพ็ญ
ภาพนี้เป็นด้านบนของน้ำตกแสงจันทร์ ที่น้ำได้ไหลลงรูไป
จากน้ำตกแสงจันทร์ ก็ไปต่อที่น้ำตกทุ่งนาเมือง อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่
"น้ำตกทุ่งนาเมือง" แอบอยู่ภายในป่า
เถาวัลยักษ์ ..เทียบกับคนให้ดูว่ายักษ์จริงๆ 555
เป็นอันจบภาระกิจ ของเราสำหรับ อช.ผาแต้ม สำหรับคืนนี้เราจะพักผ่อนกันให้เต็มที่ ริมโขง ที่โขงเจียม
ที่พักของเราคืนนี้ พิรดาริเวอร์วิว วิวดี ที่พักสะอาด ห้องพักปกติ นอนได้ 3 คน ราคา 1500 บาท เรามา 4 เลย Extra 1 คน ราคา 200 บาท พร้อมอาหารเช้า ..อาหารเช้าที่นี่คือข้าวต้มหมู เค้าจะมาวางไว้หน้าห้องตอนเช้าเลย
วิวหน้าที่พัก ชมวิวฝั่งลาว หลังจาก check-in แล้วก็ไปหามื้อกลางวันกิน ที่แพริมโขง ..กลับที่พัก พักผ่อนตามอัธยาศัย ดูเหมือนเราจะมีเวลาเหลือเลยตกลงกันว่าเราจะไปชม พระอาทิตย์ตกที่ อช.ผาแต้มกัน พร้อมเดินทางกันต่อ
ระหว่างทางจากโขงเจียม ไป อช.ผาแต้ม เราก็จะผ่าน "วัดถ้ำคูหาสวรรค์" (ผ่านกันบ่อยเลย)
เวลาสี่โมงเรามาถึง อช.ผาแต้ม ตัดสินใจ เดินดูภาพเขียนต่อให้ครบจากวันแรกที่เรายังเดินไม่ครบ 3,800 เมตร
จุดที่ 3หลังจากเดินผ่านช่องเบียดลาว เราก็จะถึงกับ ผาหมอน .. เอ๊ะแล้วจุดที่ 4 หายไปไหน
จุดที่ 4 อยู่ที่ใต้ผาหมอนนี่เอง ..จุดชมวิวที่ 4 นี้ช่างหวาดเสียวพอตัว
เฮียนั้น..เดินเลยป้าย จุดที่ 4 ....555จุดที่ 4 เป็นรูปผู้หญิง และรอยฝ่ามือ ซึ่งปัจจุบันจางไปมากแล้ว ...แล้วก็ขึ้นมาที่ผาหมอน เดินกันต่อก็พบกับจุดชมวิวที่สวยมากอีกจุด
เป็นจุดถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง อเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อปี 2004แล้วก็รีบลงมา..เพื่อไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตก แต่เฮียคนนั้น..รอถ่ายพระอาทิตย์ตก ด้านบน ..
พระอาทิตย์ตกแล้ว...ที่ผาแต้ม ลาวันนี้ด้วยภาพนี้เลย....
===================================================================
วันที่สาม: กะจะนอนตื่นสายให้เต็มที่ แต่ไหงตื่นเช้างี้ ทันชมพระอาทิตย์ขึ้นที่โขงเจียมพอดี ..แล้วเราก็ยังมีแพลนสำหรับวันนี้ก่อนเดินทางกลับอีกด้วย ^^
ชมแสงพระอาทิตย์หน้าที่พัก ..หลังจากกินอาหารเช้า 10 โมงเราก็ออกเดินทางต่อ ..
ที่แรกคือร้านกาแฟตึกขาว รศ112 ที่ริมโขง
อาคารสมัย รศ.112 เก่าแก่มาก
พี่คนขายกาแฟให้เข้ามาดูด้านในได้ ... ปรากฏ รูปที่อยู่ในห้องนี้หน้าตาคล้ายพี่คนขายกาแฟมากก
แล้วก็ไปกันต่อที่ แม่น้ำสองสี อยู่เลยไปจากนี้นิดนึง
แต่ด้วยวันนี้มีทั้งครึ้มเมฆ ครึ้มฝน .. เราก็เลยไม่เห็นสองสี ถ้าเป็นหน้าร้อนจะเห็นชัด (โขงสีปูน มูลสีคราม) ไปกันต่อ...
แวะไปเขื่อนสิรินธร .. แดดดันแรงมากกก เราไม่ได้เดินขึ้นไปบนสันเขื่อน ..ท้องร้องบอกเวลาอาหารกลางวัน
จริงๆที่ เขื่อนมีร้านอาหาร แต่เราอยากสัมผัสแบบ แพ..เลยไปกันที่ พัทยาน้อย ซึ่งขับเลยเข้าไปอีก...
ร้านอาหารเยอะไปหมด...เลือกไม่ถูก เลือกร้านนี้เห็นรถจอดแยะดี (จำชื่อไม่ได้แล่ะ)
นั่งกินไป ชมกิจกรรมที่นี่ไป ..เหมือนพัทยาจริงๆ ..ครึกครื้นมาก (มากไป) อาหารก็ธรรมดา อยากจะมาหาปลาเขื่อนกัน แต่กลับไม่มี คนส่วนใหญ่คงมุ่งมาเล่นน้ำกันจริงๆ
เด็กๆ...สนุกกันมาก พออิ่มแล้วเราก็ไปกันต่อ..มีภารกิจอีก 2 จุดที่อยากจะแวะไป ก่อนถึงเวลาขึ้นเครื่อง
วัดทุ่งศรีเมือง..หอไตร ที่เก็บพระไตรปิฏก วันที่เราไปไม่มีคนเลย เงียบเหงา
เหล่านกพิราบ..เข้าครอบครองพื้นที่ .....ไปกันต่อ...ที่สุดท้ายสำหรับทริปนี้แล้ว "วัดพระธาตุหนองบัว"
ถ้าไม่แวะมา..คงเรียกว่ามาไม่ถึง อุบลฯภายในพระอุโบสถ สวยงาม อร่ามทองมาก
เด็กน้อย..ภายในพระอุโบสถ... หมดแพลนสำหรับอุบลแล้วจ้า.. ถึงเวลากลับบ้านแล้ว ..ยังไม่อยากกลับเลย
จากนั้นก็บึ่งมาสนามบิน คืนรถที่ AVIS บ่ายสามโมงครึ่ง check-in เข้าไปรอด้านใน เวลาเครื่องออกบ่ายสี่โมงเย็น ..ชิลๆ
ลากันด้วยภาพนี้ค่ะ..อุบลราชธานี แล้วพบกันใหม่เด้อ....
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านและชมค่ะ ^^
===================================================
บันทึกค่าใช้จ่ายทริปนี้..สำหรับ 4 คน
ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับคนละ 700 บาท
ค่ารถขึ้นผาชะนะได 2,000 บาท
ค่าเช่ารถ AVIS วันละ 750 บวก ชั่วโมงที่เกิน 2,750
ค่าน้ำมัน AVIS 600 บาท
ค่าค้างคืนที่ผาชะนะได 200 บาท
ค่าที่พักที่ โขงเจียม 1,700 บาท
เบ็ดเสร็จแล้วรวมค่ากินค่าอยู่ ตกคนละ ประมาณ 3,700 บาท