ฮักนะ....สกลนคร
คำเตือน : อย่าอ่านรีวิวนี้ถ้าใจไม่แข็งพอ เพราะคุณอาจจะ "ตกหลุมรัก"โดยไม่รู้ตัว ^V^
สกลนคร...เหรอ?????.....เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาในหัวเรามากมาย ตอนได้ยินคำชวนจาก ททท. ให้มาเที่ยวที่นี่ สกลนคร...มีอะไรให้เที่ยว???? เชื่อว่าหลายคนคงคิดเหมือนกันกับเรา
กว่าจะรู้ว่าตัวเองคิดผิด เมืองน่ารักแห่งนี้ก็ได้ "ขโมยหัวใจ" เราไปซะแล้ว
อะไรทำให้เรา "ตกหลุมรัก" ที่นี่??? อยากรู้.....ตามมาค่าาาาา ^^
*******************************************************************************
ฝากติดตามผลงานเพจ FB https://www.facebook.com/travelandoutdoors/
ขอบคุณสำหรับทุกไลค์และแชร์ค่ะ ^V^
*******************************************************************************
Day 1 : (01/04/2017)
08.15 น. เริ่มการเดินทางด้วยสายฝนโปรยปราย แอบลุ้นตลอดทางว่าจะเจอฝนที่นู่นรึเปล่า ^^
มาได้ครึ่งทางฟ้าเริ่มเปิดค่อยเบาใจ
ถึงแล้วววววววววววว...สกลนคร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ
09.30 น. มื้อแรกของเรา ฝากท้องไว้ที่ร้านนนี้ค่ะ "เลิศรสไข่กระทะ" อยู่ตรงข้ามกับโรงแรมกิตติโฮเทล เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 50 ปี เป็นตึกแถว 2 คูหา เปิดขายตั้งแต่ตี 5 ถึงบ่าย 3 โมง
เมนูแนะนำจะเป็น ไข่กระทะ มีไข่ดาว 2 ฟองเสิร์ฟมาพร้อมหมูสับ แครอท และ แตงกวา
ทานคู่กับกับ ขนมปังยัดใส้สไตล์เวียดนาม ทางร้านบอกว่าขนมปังที่ร้านทำเองค่า ^^ เราสั่ง" ใส้กุนเชียงหมูสับ"ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของร้าน กับ"น้ำพริกเผาหมูหยอง"มาลองค่ะ
ราดซอสชุ่มๆ แล้ว....อั้มมมมมมม
ส่วนเครื่องดื่มจะมีชาร้อน แจกฟรี และเครื่องดื่มอื่นๆจำพวก ชาไทย กาแฟ น้ำส้มคั้น ไว้ให้เลือกค่ะ
เอ๊า......ดื่ม ^V^
10.30 น. อิ่มท้องแล้วก็พร้อมเที่ยวแล้วค่า ^V^
สกลนครเป็น 1 ใน 24 เมือง "เขาเล่าว่า"ของ ททท. ที่มีจุดเด่นในเรื่อง "ผ้าผิวสวย"
สวยยังไง???? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกันที่ "กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนกลอย" กันค่ะ
มาถึงแล้วววววว..... แม่ๆรอต้อนรับพวกเราอย่างพร้อมหน้าเลยค่ะ (คนที่นี่จะเรียกผู้ใหญ่รุ่นย่า ยาย ว่า "แม่" เหมือนกันหมด)
"คราม" หรือ Indigo เป็นพืชล้มลุก ที่ใบมีคุณสมบัติให้สีน้ำเงิน หรือสีฟ้าคราม
ที่ภูมิปัญญาชาวบ้านนำมาย้อมสีผ้า ผ้าที่ย้อมด้วยครามนอกจากจะสวย สีไม่ตกแล้ว
เวลาใส่จะเย็นสบาย ที่สำคัญยังมีสารที่ ช่วยปกป้องรังสียูวีด้วย เหตุนี้จึงเป็นที่มาของฉายา "ผ้าผิวสวย" ค่ะ
กว่าจะได้ด้ายสักหนึ่งม้วน ต้องผ่านกรรมวิธีการย้อม ล้าง ตาก วนไปหลายๆรอบ จนกว่าจะได้สีที่พอใจ
จากนั้นจึงจะนำมาทอ ลวดลายที่แม่ๆทำจะมีการคิดค้นมาใหม่เรื่อยๆจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว
ลายนี้เป็นลายใหม่ชื่อ "ลายนิ้ว"ค่ะ ......น่ารักเนอะ ^V^
เห็นแม่ๆทำงานกันอย่างแข็งขันก็อดชื่นชมไม่ได้ ใครชอบผ้าไทยสวยๆ ฝีมือดี แวะมาอุดหนุนแม่ๆได้นะคะ
13.00 น. มาถึงถิ่นก็ต้องมาชิมอาหารอีสาน รสชาติจัดจ้านนนนนนนน ที่ "ร้านลำดวน"
เมนูขึ้นชื่อของร้านนี้คือ "ไก่ย่าง"ค่ะ เป็นไก่ไทยอีสาน ย่างเสร็จยกมาเสิร์ฟร้อนๆเลย
และที่ขาดไม่ได้คือ "ส้มตำปูปลาร้า" รสชาดเผ็ด-เปรี้ยว แซ่บบบลืมมม กันเลยทีเดียว
"ต้มยำหมูมะนาว" ซดร้อนๆ คล่องคอ
"หมูย่างน้ำจิ้มแจ่ว"ก็อร่อย
แต่ที่เราชอบมากที่สุดคือจานนี้ "ปลาทอด" มีความสด มีความกรอบ เค็มกำลังดี...แนะนำค่ะ ^V^
15.00 น. ว๊าปมาอยู่ที่ "ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน" อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ศูนย์นี้ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2527 ณ หมู่บ้านนานกเค้า เพื่อเป็นแบบจำลองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในการหาวิธีแก้ปัญหาและพัฒนาภูมิภาคนี้
พื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนคือ พื้นที่สาธิตเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม จำนวน 2,300 ไร่ และพื้นที่พัฒนาป่าไม้ จำนวน 1,100 ไร่
วันนี้เรามาเยี่ยมชมในส่วนพื้นที่พัฒนาการเกษตร เจ้าหน้าที่กำลังเก็บ "ลูกหม่อน (Mulberry)" พวกเราเลยขอเป็นลูกมือช่วยเก็บค่ะ
และนี่คือค่าแรงของพวกเราในวันนี้ค่ะ.......อร่อยมว๊ากกกกก ^V^
จากสวนลูกหม่อนเรามาเดินมาตามหาพระเอกของศูนย์นี้กันดีกว่าค่ะ
ฉายาของพวกเค้าคือ "3 ดำมหัศจรรย์ แห่งภูพาน"
ได๊แก๊ (เสียงสูง)........แทน แท๊น แท๊น แทน...... สุกรดำ ไก่ดำ และโคดำ นั่นเองค่า ^V^
จากพ่อแม่พันธ์ที่ได้รับการถวายมาจากประเทศจีน (สุกร,ไก่) และญี่ปุ่น (โค) อย่างละไม่กี่คู่ ปัจจุบันทางศูนย์ได้ศึกษาและขยายพันธ์จนสามารถแจกจ่ายให้เกษตรกรได้อย่างทุกวันนี้
และยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ตอนนี้ศูนย์ได้เริ่มทดลองเลี้ยงดำที่ 4 คือ "กระต่ายดำ" (คิดว่าน่าจะเปิดตัวเร็วๆนี้ค่ะ)
เดินดู นู่น นี่ นั่น มาเรื่อยๆจนมาเจอโมเดล " เกษตรทฤษฏีใหม่" ทำให้นึกถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ขึ้นมาทันที ทำเอาน้ำตาแทบไหล T___T
ตอนเด็กๆถ้าใครจำได้ ช่วงข่าวในพระราชสำนัก ที่เราเห็นภาพ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงดำเนินข้ามฝายเล็กๆ
(เครดิตภาพ : http://pr.prd.go.th/sakonnakhon/ewt_news.php?nid=93 )
วันนี้เราจะไป ตามรอยพ่อกันค่ะ สามารถขับรถเข้ามาจนถึงทางเข้า จากนั้นเดินเท้าเข้าไปประมาณ 150 เมตร
ถึงแล้วค่ะ..... "ฝายพ่อ" ดีใจที่ครั้งหนึ่งได้มายืนตรงนี้ ตรงที่พ่อเคยมา
(ใครอยากมาเยี่ยมชมต้องมาวันธรรมดานะคะ เพราะศูนย์เปิดจันทร์ - ศุกร์ เท่านั้น
ส่วนคนที่สนใจอยากเรียนเพื่อสร้างอาชีพ ทางศูนย์เปิดอบรมให้ฟรี เรียนจบแจกจ่ายพ่อแม่พันธ์ให้เอาไปเป็นทุนด้วยค่ะ)
17.00 น. ตามธรรมเนียมมาถึงถิ่นก็ต้องแวะมาสักการะ" พระธาตุเชิงชุม" ตามตำนานกล่าวว่าเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้า 4 พระองค์ (กุกสันโธ โกนาคมโน กัสสะโป และโคตมะ) เคยเสด็จมาโปรดชาวเมืองหนองหาร และมาประทับรอยพระบาทไว้ที่นี่ก่อนจะปรินิพพาน
องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนสี่เหลี่ยม สูง 24 เมตร ภายในมีรอยพระพุทธบาท 4 พระองค์ โดยมีซุ้มประตูสร้างครอบอยู่ทั้ง 4 ด้าน ยอดฉัตรเหนือองค์พระธาตุทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หนัก 247 บาท เชื่อกันว่าการมานมัสการพระธาตุนั้นจะก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่ตนเองและครอบครัว มีความเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
ดังคำกล่าวที่ว่า " จะมีครั้งไหนที่ได้อานิสงส์มากไปกว่าการได้มาบูชาพระธาตุที่สร้างครอบรอยพระบาทแห่งพระพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์"
ภายในวิหารใกล้องค์พระธาตุ เป็นที่ประดิษฐาน "หลวงพ่อพระองค์แสน" เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองชาวสกลนคร เชื่อว่าให้พรด้านโชคลาภให้ได้รับเงินหมื่นเงินแสน
ใกล้ๆกับวิหารเราจะเห็น "บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์" เป็นบ่อน้ำที่มีมาพร้อมองค์พระธาตุ เชื่อกันว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างเมืองมนุษย์กับเมืองพญานาคที่จมอยู่ใต้หนองหารค่ะ
18.00 น. ไหว้พระเสร็จแล้วไปช็อปกันเถอะแกรรรรรร ^V^
ในวันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 16.00 – 20.00 น. ซอยหน้าวัดจะมี "ถนนคนเดินผ้าคราม" ป่ะ...ไปดูกัน
ชาวบ้านจะนำสินค้าที่ผลิตเองมาจำหน่าย โดยมากจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากผ้าครามซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของที่นี่
ใครที่คิดว่าผ้าไทยคงมีแต่แบบผู้ใหญ่ ไม่นาจา สินค้าที่นี่ดีไซน์หลากหลาย โดยมากจะเป็น Minimalist style คือเรียบง่ายแต่เก๋ (ชุดที่พวกเราใส่วันกลับก็ซื้อจากที่นี่เช่นกันค่ะ)
เลือกได้ ลองได้ ต่อราคาได้ แม่ค้าใจดีมว๊ากกกกกก
19.00 น. เดินช็อปจนเหนื่อย ท้องก็เริ่มหิว เย็นนี้เรามาทานมื้อเย็นกันที่ "เฮินพุไทกะต๊ะ" บ้านโนนหอม
เป็นโฮมสเตย์ของชาวภูไทย (บ้างก็ออกเสียงเป็น "ผู้ไท" หรือ "พุไท") เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาด
สาวน้อยภูไทคนสวยออกมาต้อนรับพร้อมน้ำสมุนไพรร้อนๆจิบให้ชื่นใจ
เมื่อเข้ามาในโฮมสเตย์แล้ว อยากให้ถอดหัวใจของคนกรุงทิ้งไปสักพัก สวมชุดแปลงกายเป็นหนุ่มสาวภูไทกันดีกว่าค่ะ
ตามประเพณีของชาวภูไทเมื่อมีแขกมาเยือนเจ้าบ้านจะทำพิธี " บายศรีสู่ขวัญ"
สังเกตุในมือจะมี "ไข่ต้ม"หนึ่งลูกค่ะ คุณตาบอกว่าเป็นเคล็ดต้องเอากลับไปทานให้หมด
(วันนี้ทานไข่ไปแล้วกี่ลูก??? ลองนับดู ^V^)
จากนั้นเจ้าบ้านก็จะชวนแขกมาทาน "พาแลง" หรือทานอาหารเย็น ลักษณะคล้าย "ขันโตก" ของทางภาคเหนือ
ระหว่างทานอาหารก็ชมการแสดง ฟ้อนรำของสาวๆภูไท
การแสดงรำมวยโบราณของหนุ่มๆ
......อันนี้เราชอบอ่ะ...ไม่เคยเห็น ^V^
ทานอิ่มก็ออกมาวาดลวดลายเซิ้งกับสาวภูไทกันดีกว่าค่ะ ใครชอบเสต็ปแดนซ์ก็โชว์ลีลาได้เลยนะคะ
จังหวะเร้าใจใช้ได้เลยค่า...... ม่วนซื่นหลายเด้อ ^V^....
เซิ้งไปหลายรอบแล้วก็ยังไม่มีเหงื่อ เพราะที่นี่อากาศดีมากค่ะ
เวลาเกือบ 2 ทุ่ม อุณหภูมิ 26 องศา...แม่จ้าวววว
สาบานว่านี่ "หน้าร้อน" ^V^
20.00 น. เที่ยวมาทั้งวันแล้ว ได้เวลาเข้าที่พักกันแล้วค่ะ คืนนี้เรานอนที่ @สกล โฮเทล (แอทสกล โฮเทล) เป็นโรงแรมสไตล์โมเดิร์น ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ความสูงเพียง 3 ชั้น ที่นี่จึงไม่มีลิฟท์ค่ะ
มาถึงห้องเราแล้ว 304 เข้ามาดูข้างในกันค่ะ
เตียงนอนจะมีให้เลือกแบบเตียงเดี่ยว หรือเตียงคู่ ห้องกว้างใช้ได้เลยค่ะ
ใครมาคนเดียวก็ไม่ต้องกลัวเหงานะคะ คืนนี้น้องหมีจะนอนเป็นเพื่อนเองค่า ^V^
ข้างในห้องมีตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น ทีวี โต๊ะเครื่องแป้ง และที่สำคัญ ไดร์เป่าผมของสาวๆค่ะ ^V^
ส่วนในห้องน้ำ ชักโครกมีสายฉีดชำระให้ มีเครื่องทำน้ำอุ่น......รีบอาบน้ำแล้วเข้านอนกันเถอะ ^V^
Day 2 : (02/04/2017)
07.00 น. เนื่องจากเมื่อวาน check-in ดึก จึงยังไม่ได้สำรวจโรงแรม ใครตื่นเช้าพร้อมเราไปเดินเที่ยวกันดีกว่าค่ะ ^V^
ภายในโรงแรมจะทาสีขาว เพดานยกสูง ทางเดินมีกระจกใส จึงทำให้ดูโปร่งค่ะ
ชั้นลอยประดับด้วยรูปถ่ายอาร์ทๆบนผนัง ตกแต่งด้วยโคมไฟ มีความสวย มีความชิค ชอบบบบบบบบบ .....ถ่ายรูปวนไปค่ะ^V^
และซิกเนเจอร์ของที่นี่ก็คือ "น้องหมี" นั่นเองค่ะ เราจะเห็นต้อนรับตั้งแต่ทางเข้า ไปจนถึงเตียงนอนกันเลยทีเดียว
บริเวณเคาน์เตอร์ด้านหน้า มีสินค้าที่ทำจากผ้าพื้นเมืองจำหน่ายด้วยนะคะ
เช้านี้เราทานอาหารกันที่นี่ค่ะ @Café Food & Coffee เป็นร้านอาหารของโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกัน
พร้อมแล้วทานกันเล๊ยยยยย ^V^
10.00 น. นอกจากกลุ่มแม่ๆ ที่ตั้งใจอนุรักษ์ผ้าไทยไว้แล้ว ที่น่าชื่นชมของสกลอีกอย่างคือ "กลุ่ม 16 คนรุ่นใหม่" ที่รักในงาน Craft หรือที่พวกเค้าเรียกว่า "งานเฮ็ดมือ"
รวมกลุ่มกันในชื่อว่า "กลุ่มสกลเฮ็ด" นำวัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาออกแบบเป็นงานศิลปะ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และดีไซน์เฉพาะตัว ถ้าใครได้ไปเที่ยวงาน "เทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2560" ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในโซน " DIY อีสานแซบนัว" น่าจะพอคุ้นหน้าพวกเค้าอยู่บ้างค่ะ
ผลงานของพวกเค้ามีอะไรบ้าง ตามมาชมกันเร้วววววว
ถ้าบอกว่าทั้งหมดนี้ทำมาจากเศษผ้าเหลือใช้จะเชื่อมั๊ย???????
ดีไซน์เกร๋เนอะ ยกปลามาทั้งทะเลเลย
อันนี้ก็ปลา ชอบ น่าร้ากกกก ^V^
แค่ได้เห็นผลงานก็มีความสุขแล้ว สมกับชื่อ "สุขชม" จริงๆค่ะ
"ฮูปแต้ม" สมุดทำมือที่ทำมาจากต้นกล้วย เห็นตอนแรกเราร้อง "ว้าวววว" เลยแหละ
ไม่คิดว่าต้นกล้วยจะเอามาทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย ที่สำคัญคือ....ดีไซน์สวย เก๋มาก
"ดอนหมูดิน" เซรามิคที่ทุกชิ้นมีเรื่องราว และเรื่องเล่า
ดีกว่ามั๊ย.....ถ้าเราได้รู้ว่าผลงานที่เราใช้อยู่ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร???
โคตรเท่ห์อ่ะ ^V^
"Mann Craft" ผลงานของดีไซน์เนอร์หนุ่มผู้หลงไหลงานผ้าและงานกระดาษ ด้วยผลงานที่เป็นเอกลักษณ์จนได้รับรอง GI ไปเรียบร้อยแล้วจ้า ^V^
(GI = Geographical Indication คือ การระบุแหล่งที่มาของสินค้าที่มีคุณภาพและเอกลักษณ์เฉพาะตัวทางภูมิศาสตร์ )
นอกจากนี้เขายังคิดค้นน้ำคราม DIY ใครที่เรียนรู้วิธีการย้อมแล้วไม่อยากเสียเวลาหลายๆขั้นตอนยุ่งยาก น้ำครามสำเร็จรูปก็มีขายแล้วนาจา ^V^
"อุฬารฟาร์ม" ฟาร์มผักออแกนิค กล้วยไม้ และต้นครามที่ใหญ่ที่สุดในสกลนคร ใครสนใจอยากปลูกต้นคราม ฟาร์มนี้มีเมล็ดครามจำหน่ายด้วยค่ะ
"กาแฟดริปยิปซี" กาแฟออแกนิคจากภูพาน ผ่านกรรมวิธีการคั่วเฉพาะตัวทำให้ได้กาแฟเข้มข้น อ่อนเปรี้ยว คอดริปทั้งหลายห้ามพลาด
แถมแต่ละเมนูยังชื่อเก๋ซ๊าาาา เช่น กาแฟเถื่อน , กว่าจะรู้เดียงสา, รักพี่เสียดายน้อง อยากรู้ว่ารสชาติเป็นยังไงต้องมาลองค่ะ
นี่แค่ผลงานบางส่วนที่เราเอามาให้ดูเป็นน้ำจิ้ม สินค้าอื่นๆจำพวกผ้าทอดีไซน์สวยๆ ผ้าพิมพ์ลาย และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากวัตถุดิบในท้องถิ่นก็มีอีกเยอะแยะมากมายค่ะ
ใครสนใจปลายปีนี้อย่าพลาดงาน "Sakon Made Festival 2560" ซึ่งจะรวบรวมสินค้าเด็ดๆ ดังๆ ของสกลนครมาประชันกันที่งานนี้ เก็บเงินรัวๆ เตรียมมาช็อปในงานนี้กันค่่ะ ส่วนจะจัดวันไหน ที่ไหน ยังไง ติดตามข่าวได้ที่เพจ FB: "Humans of Sakon Nakhon" (https://www.facebook.com/HumansofSakonNakhon/) ได้เลยค่า
นี่ก็เป็นอีกกลุ่มนิวเจนที่ร่วมกันจัดตั้งเพจนี้เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ความ "เป็นตาฮัก" ของสกลนครให้คนภายนอกได้รู้จักมากยิ่งขึ้น กับ #Verysakon ใครอยากรู้จัก"ความเป็นสก๊ล...สกล" ลองติดตามเรื่องราวผ่านมุมองของน้องๆดูค่ะ เห็นแอดมินเพจนี้แล้วต้องบอกว่า หนุ่ม-สาว สกล "เป็นตาฮัก" จริงๆค่า ^V^
11.00 น. "ร้านครามสกล" แหล่งรวมของฝากที่ผลิตจากผ้าคราม ในบรรยากาศบ้านโบราณในสวน โดยด้านบนเปิดเป็นโฮมสเตย์ ส่วนชั้นล่างจะทำเป็นร้านขายของค่ะ
ความเก๋ของร้านนี้คือนอกจากสินค้าที่วางขายในบ้านแล้ว บางส่วนยังวางตามจุดต่างๆในสวน
จิบน้ำลูกหม่อนเย็นๆ เดินชมสวนไปด้วย เลือกสินค้าไปด้วย....คือดีอ่ะ ^V^
ถูกใจชิ้นไหนก็หยิบแล้วนำมาชำระเงินที่เคาน์เตอร์ได้เลยค่ะ
ส่วนใครที่อยากได้เสื้อครามฝีมือตัวเอง ที่่รานก็มีมุม work shop ให้ได้ลองทำด้วยนะคะ
12.30 น. คน"มีความรัก" ต้องมา "ฟามฮัก"
แล้วคน "มีความหิว" อย่างพวกเราล่ะ ต้องไปไหน?????
เชิญทางนี้เลยค่า...... "โคขุนคุณทอง" เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในฟามฮัก ใครอยากทานโคขุนโพนยางคำ และหมูดำภูพานแนะนำที่นี่เลยค่ะ
ออเดิร์ฟมาแล้ว ส้มตำ 4 สหาย (แอบตั้งชื่อให้เอง ^V^) ใครชอบแบบไหนเชิญเลยค่า
แจ่วฮ้อนรสแซ่บ ถึงเครื่องต้มยำ หอมกลิ่นสมุนไพร เฮลที้สุดๆ ^V^
ยังทยอยมาอย่างเรื่อยๆไม่ขาดสาย และพวกเราก็ยังทานกันเรื่อยๆอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกันค่ะ ^V^
ใครชอบปิ้งย่างเชิญทางนี้ค่ะ ^V^
ลูกค้าที่ทานอาหารที่ร้านสามารถลงไปเที่ยวถ่ายรูปในฟาร์มแกะฟรีนะคะ....มีมุมถ่ายรูปน่ารักๆหลายมุมเลย
15.00 น. หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า "หมู่บ้านท่าแร่" เป็นชุมชนคาทอลิกที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย โดยคริสตชนท่าแร่ดั้งเดิมนั้นอพยพมาจากเวียดนามทางเรือ ราวปี พ.ศ. 2427 นำโดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศส ชื่อ ซาเวียร์ เกโก
"โบสถ์อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล" ซึ่งเป็นโบสถ์ขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายเรือ เป็นการสร้างเพื่อระลึกถึงการอพยพมาตั้งถิ่นฐานของคริสตชนรุ่นแรกนั่นเองค่ะ
ภายในโบสถ์งดงามมาก
ใกล้กันกับโบสถ์จะเป็น ชุมชนเก่าแก่ซึงยังอนุรักษ์ "บ้านโบราณ" บางส่วนเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้มาศึกษา เดินทะลุโบสถ์ไปด้านหลังแล้วเลี้ยวขวา จะเจอบ้านโบราณหลังแรกค่ะ หลังนี้เป็นสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส
สภาพยังดีอยู่มากแม้จะผ่านมาเป็นเวลา 100 กว่าปีแล้วก็ตาม
ภายใต้ความโบราณมีความชิคซ่อนอยู่......ถ่ายรูปวนไปค่ะ
เดินมาประมาณ 50 เมตร จะเจอตึกนี้ค่ะ "คฤหาสถ์อุดมเดชวัฒน์" เป็นสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสผสมเวียดนาม ซึ่งเป็นเรือนโบราณของ องเด หรือ นายคำสิงห์ อุดมเดช สร้างเมื่อปี 2476 เคยเป็นร้านขายของเบ็ดเตล็ด ชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของ ชั้นบนเป็นที่พักอาศัย
ใกล้ๆ กันเป็น
เรือนโบราณของ "องเลื่อน หรือ เตรื่อง โสรินทร์" ที่สร้างเมื่อปี 2475 เป็นตึกสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสผสมเวียดนามเช่นกัน ตึกนี้สร้างโดยไม่ใช้ปูนซีเมนต์ ช่างญวณจะใช้ปูนขาวผสมกับทรายและยางบงและน้ำอ้อย แทนปูนประสานอิฐและปูนฉาบ ทำเป็นโครงสร้างส่วนบนเพื่อยึดผนัง อุปกรณ์บางอย่าง ถูกสั่งซื้อมาจากประเทศฝรั่งเศส ใส่เรือส่งมาถึงกรุงเทพฯ แล้วนำขึ้นรถไฟมาโคราช ก่อนบรรทุกด้วยเกวียนเข้ามาที่ท่าแร่อีกต่อหนึ่ง
และหลังสุดท้าย อยู่ห่างออกไปประมาณ 300 เมตร เป็น เรือนโบราณของ นายหนู ศรีวรกุล (เฮียน เรียนดึงดึง) และนางหนูนา อุปพงษ์ ซึ่งเป็นบุตรของพระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนครเวลานั้น ซึ่งบ้านหลังนี้เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาเกิดเพลิงไหม้ เจ้าของปล่อยทิ้งร้าง จึงทรุดโทรมและมีต้นโพธิ์ขึ้นปกคลุมอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ค่ะ (ข้อมูล : Honeymoonseat - Pantip)
16.30 น. ถ่ายรูปบ้านโบราณเก่าจนพอใจแล้ว จุดหมายต่อไปของเราคือ "อุทยานบัวหนองหานเฉลิมพระเกียรติ" ตั้งอยู่ใกล้ๆกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติค่ะ อุทยานนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2553 เพื่อรวบรวมดอกบัวหลากสายพันธุ์ไว้สำหรับให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจมาชมและเป็นแหล่งท่องเที่ยวค่ะ
มีสะพานไม้ให้เดินชมอย่างใกล้ชิด
มีความสวย มีความหวาน
แต่หันมาทางนี้มีความอิจเล็กๆ ^V^
ดอกบัวจะบานทั่วหนองน้ำในเวลาสายๆ แนะนำไปหลังเวลา 10.00 น. เป็นต้นไปนะคะ^V^
17.00 น. จุดหมายสุดท้ายในทริปนี้ของพวกเราคือ "วัดถ้ำผาแด่น" หินเทพแห่งแดนอีสาน เป็นอีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดหากมาเยือนสกลนนครนะคะ จุดเด่นของวัดคือตั้งอยู่บนภูเขาสูง ทางขึ้นเขาจะค่อนข้างชันและที่จอดรถภายในวัดมีค่อนข้างจำกัด หากมาตอนกลางวันทางวัดจะให้จอดรถส่วนตัวไว้ที่ลานจอดด้านล่าง และมีรถสองแถวคอยรับ-ส่งค่ะ
หลังนี้คือ "ศาลายาใจคนบุญ" ที่นำเอาต้นไม้ขนาดใหญ่หายากอายุหลายร้อยปีมาทำ ด้านในศาลาจะมีพระพุทธรูปหินแกะปางประจำวันเกิดต่างๆ
ภายในวัดเต็มไปด้วยงานประติมากรรมแกะสลักหินทรายขนาดใหญ่ แกะสลักเป็นเรื่องราวต่างๆ
เช่น ภาพแกะสลักหินทรายพระพุทธสีหไสยาสน์ ขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 19 เมตร
รูปแกะสลักหลวงปู่ทวด แกะจากหินขนาดใหญ่ทั้งก้อน มีช้างหมอบด้านข้างและมีงูใหญ่คอยปกป้อง
ด้านนี้จะเป็นพญาครุฑ สังเกตด้านขวามือจะเป็นลานหินขนาดใหญ่มีบันไดให้ไต่ขึ้นไป
ด้านบนจะมีรอยพระพุทธบาทจำลองให้เราได้มาสักการะ ส่วนรอยพระบาทของจริงต้องเดินขึ้นเขาไปอีกค่ะ
วัดแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และครูบาอาจารย์สายวัดป่ากรรมฐาน มาธุดงค์มาปักกลดบำเพ็ญเพียรที่นี่ ตรงหน้าผาใต้ที่ประดิษฐานเจดีย์จึงมีการแกะสลักรูปอาจารย์หลายๆท่านไว้ด้วย
ที่โดดเด่นที่สุดของวัดนี้คือ "เจดีย์สีทอง" ที่ตั้งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็สง่างาม
จบทริปนี้ไปอย่างประทับใจพร้อมกับแสงสุดท้ายที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า
......อยากให้เวลาเดินช้ากว่านี้ ยังไม่อยากกลับเลยนะ.....สกลนคร^V^
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งเชื่อทั้งหมดที่เราเล่าไป
ทุกอย่างคงเป็นแค่เรื่องเล่า ถ้าคุณไม่ลองมาดูด้วยตาตัวเองค่ะ ^V^
--------------------------------------------------------------------
เข้าไปดูแพ็กเกจ ผู้หญิงเที่ยวไทย ตอน "เที่ยวตามรอยผ้า" จังหวัดสกลนคร ได้ที่ www.traveligo.com นะคะ
--------------------------------------------------------------------