..ก็ตามที่หัวกระทู้บอกนั่นแหละ ทริปนี้มันกระชั้นชิดมากๆ คือ เรามีเรียนพิเศษ 5 วัน ก่อนมหาวิทยาลัยจะเปิด แล้วระหว่าง 5 วันนั้น จะมีวันแม่ ซึ่งเป็นวันหยุด คั่นตรงกลางพอดีเป๊ะ ตามประสาคนต่างจังหวัด หยุดวันเดียวอย่างนี้ จะกลับบ้านไปหาแม่ ก็คงเป็นไปได้ยาก ทริปพาเพื่อนเที่ยวไปตายเอาดาบหน้าจึงเกิดขึ้น
..นับ 1 ... 2 ... 3 เริ่มเรื่องได้ .......................
..เช้าวันแม่ วันที่ 12 สิงหาคม 2558 เป็นวันที่ฟ้าครึ้มตั้งแต่เช้า เราคาดว่ามันจะครึ้มอย่างงี้ทั้งวัน จึงสลัดเสื้อแขนยาวทิ้งไว้ที่หอ แล้วมารอรถตู้ที่หน้าโรง(พยา)บาลของมหาวิทยาลัย
..รอไม่นานมากเท่าไหร่ รถตู้ก็มาจอดเทียบฟุตบาท แล้วเปิดประตูเชื้อเชิญให้ผู้โดยสารเข้าไปนั่งเบียดเสียดกันในรถ นั่งมาสักพักก็ถึงอยุธยา ด้วยราคา 35 บาทถ้วน ก้าวแรกที่ลงรถ เรามองหน้าเพื่อนแล้วอุทานเบาๆว่า กูอยู่ส่วนไหนของอยุธยาวะ โชคดีที่อยู่ในยุคที่ทุกคนต้องมีสมาร์ทโฟน เราจึงหยิบมันขึ้นมา แล้วโทรหาคอลเซ็นเตอร์ว่า ตอนนี้กูอยู่ไหน จะบ้าหรอไม่ใช่ละ เราเปิดแอปแผนที่ที่ชื่อว่า OsmAnd เป็นแอปแผนที่ออฟไลน์ ที่ทำให้เราหลงทาง เอ้ย เกือบหลงทาง มาตั้งแต่ทริปแรกจนถึงทริปปัจจุบัน แล้วเราก็รู้ละว่าเราอยู่ที่ถนนนเรศวร รู้ว่าต้องเดินไปทางไหน เอาล่ะ ออกเดิน
..จากบันทึกของหลายๆท่านที่เป็นชาวตะวันตกมาทำการค้ากับสยามประเทศในสมัยนั้น ได้พรรณนาเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในชาติตะวันออก และถูกจัดให้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดลำดับที่ 13 ของประวัติศาสตร์ 5000 ปี เป็นสวยงามมาก สวยเกินที่จะบรรยาย เดินไปทางไหนก็เจอแต่สถูป เจดีย์ ที่เคลือบทอง เหลืองอร่ามไปทั้งแผ่นดิน เราจึงถือโอกาสนี้ทำตัวเป็น อินเดียน่า โจนส์ สักครั้ง
ที่มา : www.manager.com
..เดินจนเหงื่อเต็มแผ่นหลัง ก็ถึงวงเวียน(อะไรไม่รู้) เป็นสถานที่ที่สามารถมองเห็นวัดราชบูรณะ ที่กำลังบูรณะอยู่ และวัดมหาธาตุได้ จากสภาพแล้ว ก็ดูเหมือนบังคับให้เราต้องไปวัดมหาธาตุ
..ค่าเข้า ราคาคนไทย 10 บาท ภาพในวัด อาคารต่างเอียงอย่างเห็นได้ชัด และจุดที่เรียกได้ว่าพีคสุดของวัดคือ เศียรของพระที่โดนต้นไทรพัน ฝรั่งบอกว่า รถเมล์ขับเร็วมากเลย(Amazing)
..ข้างๆกันจะมีพระพุทธรูป น่าจะเป็นพระประธานของโบสถ์นี้ เนื่องจากโรงสร้างอาคารเหลือแต่ฐานราก จึงสัญนิฐานได้ว่า ตัวโครงสร้างของอาคารและหลังคา น่าจะเป็นไม้ และผุพังตามกาลเวลา(ซึ่งมีคนสัญนิฐานไว้ก่อนเรานานแล้วววว...)