เมืองไทยเรานี้แสนดีหนักหนา ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ส่วนบนบกนั้นก็มีทั้งสถานที่แจ่มๆ ให้ได้ชม มีของอร่อยๆ ให้ได้ทาน รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองที่ไม่ว่าจะไปทิศเหนือหรือทิศใต้ ก็มีศาสนสถานคู่บ้านให้เราได้สักการะตามกระแสศรัทธา ส่วนใครที่มีเวลาไม่มากพอจะออกไปต่างจังหวัดไกลๆ ก็ไม่เป็นไรนะครับ วันนี้เราจะพาท่านผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายไปเมืองใกล้กรุง ซึ่งมีเจดีย์องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างนครปฐมกัน

วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ซึ่งหมายความว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้สถาปนาขึ้นเพื่อเป็นวัดประจำพระนคร หรือเป็นวัดประจำองค์พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ภายในองค์พระปฐมเจดีย์ยังได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ สำหรับประวัติความเป็นมานั้น มีการสันนิษฐานกันว่า องค์พระปฐมเจดีย์ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อคราวที่พระสมณทูตได้เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนสุวรรณภูมิ เนื่องจากเจดีย์องค์เดิมมีลักษณะทรงบาตรคว่ำแบบเดียวกับสถูปเจดีย์ที่สร้างขึ้นในกรุงอนุราชบุรี เกาะสิงหลทวีป ประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน ต่อมาเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงออกผนวช ได้เสด็จธุดงค์มานมัสการ หลังจากทรงลาผนวชและได้เสวยราชสมบัติแล้ว ก็ทรงโปรดให้ก่อสร้างเจดีย์องค์ใหม่ห่อหุ้มองค์เดิมไว้ ซึ่งมีความสูงถึง 120เมตร และทรงพระราชทานนามพระสถูปเจดีย์ว่า “พระปฐมเจดีย์” เพราะทรงเชื่อมั่นว่าเป็นเจดีย์องค์แรกที่สร้างขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิ หลังจากนั้นยังมีการบูรณปฏิสังขรณ์อีกหลายครั้งจนปัจจุบัน

และเมื่อเราได้เข้ามาจนถึงทางขึ้นบันไดด้านหน้าองค์พระเจดีย์แล้ว ภาพแรกที่เห็นทำเอาเราต้องหยุดนิ่งยืนแหงนหน้ามองความสูงใหญ่ขององค์พระปฐมเจดีย์ โดยอาณาบริเวณของวัดแห่งนี้ค่อนข้างกว้างขวางอยู่มากพอสมควร ผู้คนที่แวะเวียนมานั้นไม่เพียงเฉพาะแค่คนไทยเท่านั้น ทว่าฝรั่งตาน้ำข้าวก็ยังอุตส่าห์ดั้นด้นข้ามทวีปมาเพื่อเยี่ยมชมความงดงามและความยิ่งใหญ่อลังการกันอย่างไม่ขาดสาย และเราก็ไม่รอช้าเดินขึ้นบันไดเพื่อไปกราบ พระร่วงโรจนฤทธิ์ ในปางห้ามญาติที่ประทับยืนบนฐานโลหะทองเหลืองลายบัวคว่ำบัวหงาย ซึ่งภายใต้ฐานแห่งนี้ก็มีการบรรจุพระสรีรางคารของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เอาไว้ ซึ่งพระร่วงโรจนฤทธิ์นี้ถือเป็นที่รวมศรัทธาของผู้คนอย่างมาก สังเกตได้จากความแออัดของผู้คนที่หมุนเวียนมากราบไหว้อย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งในส่วนห้องด้านหลังก็ยังมีพระพุทธป่าเลไลยก์ ประดิษฐานไว้อีกด้วย ทว่าภายในวัดแห่งนี้ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดรวบรวมและจัดแสดงของเก่าหาดูยากให้ได้ชมกัน ทั้งพระเครื่องต่างๆ อุปกรณ์เครื่องใช้ไม้สอย อาวุธปืนในสมัยก่อน แต่น่าเสียดายที่ทางพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพ เอาเป็นว่าถ้าคุณมีโอกาสได้แวะเวียนมา เราอยากให้คุณลองแวะเข้าไปเยี่ยมชมในพิพิธภัณฑ์ดูซักครั้ง

งานประเพณีหนึ่งของวัดพระปฐมเจดีย์ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันขึ้น12 ค่ำถึงวันแรม15 ค่ำเดือน12 หรือประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน นั่นก็คือ “งานนมัสการองพระปฐมเจดีย์”ซึ่งบริเวณโดยรอบรวมไปถึงองค์พระปฐมเจดีย์จะถูกประดับประดาตกแต่งด้วยดวงไฟอย่างงดงาม ผู้คนต่างหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ สร้างความคึกคักเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษตลอดระยะเวลา 9 วัน 9 คืนของการจัดงาน ถ้าอยากรู้ว่าบรรยากาศจะคึกคักมากเพียงใด ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเองซักครั้งให้ได้

ความน่าสนใจของการมาเที่ยวพระปฐมเจดีย์ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะในช่วงเย็นของทุกวัน ที่บริเวณลานด้านข้างองค์พระปฐมเจดีย์เราจะได้พบกับ “ตลาดโต้รุ่งพระปฐมเจดีย์” ตลาดโต้รุ่งขนาดใหญ่แห่งเมืองนครปฐม ซึ่งถือได้ว่าเป็นไฮไลท์ที่สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะตลาดโต้รุ่งแห่งนี้อยู่คู่กับองค์พระปฐมเจดีย์มาไม่ต่ำกว่า 40 ปีแล้ว แต่เดิมนั้นบรรดาพ่อค้าแม่ค้าจะตั้งแผงขายกันที่หน้าองค์พระ แต่ต่อมาได้มีการจัดระเบียบให้ย้ายไปขายกันที่ลานกว้างบริเวณด้านข้างองค์พระแทน ถ้าใครสนใจอยากจะมาสวมวิญญาณนักชิม ตระเวนหาของอร่อยในตลาดโต้รุ่งแห่งนี้ก็มากันได้ตั้งแต่ช่วง 5โมงเย็นเป็นต้นไป กว่าร้านค้าจะเก็บร้านก็ล่วงเลยไปจนเกือบเที่ยงคืนได้ แต่สำหรับของอร่อยบางร้าน เปิดขายไปได้แค่ครึ่งคืนของก็หมดซะแล้ว ดังนั้น ถ้าไม่อยากพลาดของอร่อยก็อย่ามัวรีรอ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนะ

สำหรับร้านค้าขายอาหารในตลาดโต้รุ่งแห่งนี้ ก็มีให้เลือกทั้งอาหารคาวและอาหารหวานครบสูตร ร้านส่วนใหญ่เป็นร้านเก่าแก่ที่ตั้งขายกันมาตั้งแต่ยุคเริ่มเปิดตลาด และสืบทอดกันมาจนปัจจุบัน ซึ่งแต่ละร้านก็มีความโดดเด่น และมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ถูกปากเหล่านักชิมทั้งหลาย ที่สำคัญราคาไม่แพง ทำให้เราสามารถเพลิดเพลินไปกับการชิมของอร่อยหลายๆ ชนิดพร้อมกันแบบไม่ต้องกลัวกระเป๋าฉีก ซึ่งถ้ามาถึงตลาดโต้รุ่งพระปฐมเจดีย์ทั้งที เราก็อยากจะแนะนำร้านเด็ดๆ ที่ไม่ควรพลาดซักเล็กน้อย เริ่มกันที่ “ไอศกรีมลอยฟ้า” ที่มีลีลาการตักไอศกรีมไม่เหมือนใคร สั่งไอศกรีมแล้วจะยืนชมลีลาการตักของคุณลุงเจ้าของร้านอย่างเดียวก็ได้ หรือถ้าอยากจะขอมีส่วนร่วมโดยการเป็นฝ่ายรับไอศกรีมด้วยตัวเองก็ย่อมได้

ร้านต่อมาคือ “ร้านขนมครกแม่สงัด นครปฐม” ร้านขนมครกขนาดกะทัดรัดที่อาศัยท้ายรถกระบะเป็นแผงค้า แต่รับรองว่ารสชาติของตัวขนมครกไม่กะทัดรัดเลย เพราะตัวแป้งด้านนอกจะกรอบนิดๆ ในขณะที่ตัวกะทิด้านในยังนุ่มชุ่มฉ่ำ ที่สำคัญหอมกลิ่นควันเทียนมากๆ ซึ่งเจ้าของร้านบอกว่าเป็นสูตรมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยคุณยาย เราชิมแล้วต้องบอกว่า หาขนมครกรสชาติแบบนี้ได้ยากเต็มทีแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่อยากให้คุณพลาดความอร่อยนี้ไป หลังจากแนะนำขนมหวานไปบ้างแล้ว ก็ขอแนะนำอาหารคาวกันบ้าง หนึ่งในเมนูยอดนิยมที่เห็นได้ในตลาดโต้รุ่งแห่งนี้คือ หอยทอด ซึ่งเราขอแนะนำให้รู้จักกับ “ร้านหอยทอดนายผอม” ที่มีจุดเด่นอยู่ที่สารพัดเมนูหอยทอด ทั้งหอยนางรม หอยแมลงภู่ ชอบแบบไหนก็สามารถสั่งได้ หอยทอดทุกจานจะเต็มไปด้วยหอยตัวอวบๆ ที่ใส่กันมาอย่างไม่มีหวง ยิ่งเทียบกับราคาแล้วต้องบอกว่าถูกมากๆ แต่ก็ใครกลัวอ้วนหรือกำลังควบคุมน้ำหนัก ร้านนี้ก็มีเมนู “หอยทอดไร้แป้ง” ไว้เอาใจด้วยเช่นกัน ส่วนเรื่องรสชาติความอร่อยคงไม่ต้องพูดกันให้มากความ เพราะร้านหอยทอดนายผอมดังไกลขนาดโกอินเตอร์ได้ลงแนะนำในสื่อต่างประเทศมาแล้ว

นอกจากร้านที่เรานำมาแนะนำในคราวนี้แล้ว ในตลาดโต้รุ่งยังมีร้านรวงอีกมากมาย ซึ่งเราต้องขอสารภาพว่ายังไม่สามารถลองชิมได้ครบทุกร้าน (ถึงแม้ว่าใจอยากจะชิมให้ครบแค่ไหนก็ตาม) เพราะยังมีอาหารอีกมากมายหลายชนิด เช่น บะหมี่เกี๊ยวจอนยาว โกราดหน้า นครหลวงข่าวมันไก่ นายแกละซีฟู้ด ทับทิมกรอบนครชัยศรี เต้าทึงมหาบัณฑิต เลี่ยงจุ้ยหน้าองค์พระ บัวลอยแต่จิ๋ว น้ำแข็งไส ผลไม้แช่อิ่ม ทอดมันกุ้ง ข้าวเกรียบปากหม้อ ขนมถังแตก ขนมเบื้อง ก๋วยเตี๋ยวหมู ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ ข้าวต้มปลา ข้าวหน้าเป็ด ข้าวหมูแดง ลูกชิ้นทอด อาหารตามสั่ง และอีกสารพัดเมนูที่คุณจะนึกออก ซึ่งอย่างที่บอกว่าคราวนี้เรามีโอกาสชิมได้แค่ส่วนน้อยนิดจากทั้งหมด ร้านรวงที่เหลือบอกได้คำเดียวว่าต้องไปเดินเลือกและลองชิมด้วยตัวเอง แล้วคุณจะรู้ว่าตลาดโต้รุ่งพระปฐมเจดีย์เป็นอีกแหล่งรวมของอร่อยที่พลาดไม่ ได้จริงๆ...มาเที่ยวดูซักครั้งซิแล้วคุณจะได้อิ่มทั้งท้อง และอิ่มทั้งบุญไปในคราวเดียวกัน

- ค่าธรรมเนียมการเข้าเยี่ยมชมชาวต่างชาติ 40 บาท คนไทยฟรี

- "งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์" จะจัดขึ้นในวันขึ้น12 ค่ำถึงวันแรม15 ค่ำเดือน12 ของทุกปี ซึ่งมักจะตรงกับช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน

- พิพิธภัณฑ์ปิดทุกวันจันทร์-อังคารและวันหยุดนักขัตฤกษ์ และไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายใน

- ตลาดโต้รุ่งเปิดทุกวันตั้งแต่ 18.00 – 22.00น.