เชื่อไหมว่า…….การเดินทางทำให้เราได้พบสิ่งใหม่ ๆ ประสบการณ์ และเพื่อนร่วมทางแบบไม่รู้ตัว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก สำหรับการเดินทางมาภาคใต้ ครั้งนี้เราอยู่กันที่ จ.สุราษฎร์ธานี
จังหวัดที่มีสภาพภูมิประเทศ ติดทะเลทางด้านอ่าวไทย นอกจากความสวยงามของท้องทะเล และผืนทรายแล้ว จ.สุราษฎร์ธานียังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งให้เราได้ตื่นตาตื่นใจ
และจดจำภาพเรื่องราว ๆ ต่าง ๆ ไว้ในหัวใจ
ทริปนี้ผมตั้งใจมาหาความสุข และความสงบให้ธรรมชาติได้บำบัดใจ บนพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
จะมีก็เพียงสัญญาณแห่งความสุขเท่านั้นครับ ผมเดินทางมายังท่าเรือเพื่อจะนั่งเรือ
แต่ก่อนจะทำภารกิจถัดไปเราต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานก่อน คนละ 40 บาท เพื่อแลกกับวิวสวย ๆ ของสองข้าง
สักพักก็มีเรือของทางรีสอร์ทมาเทียบท่า ผมเห็นรอยยิ้มคุณปุ๊ก ไกด์ประจำรีสอร์ท แพ 500 ไร่ มาแต่ไกล
พร้อมแล้วเราไปตามหาสัญญาณแห่งความสุขพร้อม ๆ กันครับ
จากท่าเรือกินลมชมวิวสวยๆ ภูเขาและสีเขียว ๆ ของป่าไปเพลิน ๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็ถึงที่หมาย
“แพ 500 ไร่” เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.500rai.com/
หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จ และเตรียมตัวไปผจญภัยส่องธรรมชาติที่ “ถ้ำน้ำทะลุ”
กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมค่อนข้างผจญภัยมาก ๆ ฉะนั้นควรเดินทางไปกับผู้ชำนาญเส้นทาง
และควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งสุขภาพกาย และอุปกรณ์ต่าง ๆ
ถ้ำน้ำทะลุจะเปิดให้เข้าชมแค่ปีละไม่กี่ครั้งเท่านั้น เนื่องจากต้องดูระดับน้ำลดหรือในช่วงหมดฤดูฝน
เป็นการป้องกันไม่ให้มีน้ำหลากเข้ามาในถ้ำ ระหว่างที่เรากำลังนั่งเรือ
ไกด์ปุ๊กก็ชี้ให้เราดูภูเขาที่ขึ้นสลับซับซ้อน มีก้อนเมฆปกคลุม บรรยากาศเย็นสบายมาก
ถ้ำน้ำทะลุห่างจากแพ 500 ไร่ไม่ไกลมากนัก ข้างหน้าเป็นท่าเทียบเรือ
เมื่อขึ้นฝั่งแล้วไปเดินลุยกันต่อ ถึงจุดนี้แรงยังเหลือครับเดินไกลได้อีกสบาย ๆเมื่อถึงบริเวณปากถ้ำน้ำทะลุจะพบว่าเป็นถ้ำที่มีลำธารไหลผ่านออกมา ถ้ำแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าถ้ำน้ำทะลุนั่นเอง
ภายในเป็นโถงถ้ำลึกประมาณ 800 เมตร กว้าง 0-15 เมตร มีหินงอกหินย้อยให้ชมมากมายไปจนถึงทะเลอีกฝั่ง
จากนั้นจะมีเส้นทางให้เดินกลับมายังบริเวณปากถ้ำน้ำทะลุ ด้านในค่อนข้างมืดทีเดียว
สิ่งที่ควรพกมาด้วยเมื่อมาเที่ยวถ้ำทะลุนั่นก็คือ ไฟฉาย และกระเป๋ากันน้ำครับ
หินย้อยที่พบภายในถ้ำทะลุ คือความสวยงามที่ธรรมชาติมอบให้เรา
แน่นอนครับถ้าเราไม่ออกตามหามัน เราก็ไม่มีวันเจอ…
เราใช้เวลาประมาณ 30 นาทีกับการดื่มด่ำธรรมชาติที่นี่ ถึงแม้ตัวจะเปียกไปบ้างแต่ก็คุ้มค่ามาก ๆ ครับ
แต่กิจกรรมในวันนี้ยังไม่หมดเพียงเท่านี้
เรารอเวลาแดดล่มลมตก เพื่อที่จะล่องเรือไปชมวิถีสัตว์ป่ายามเย็น ผืนป่า และผืนน้ำที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก
สัตว์ที่อาศัยก็มีจำพวก กระทิง และกวาง แล้วแต่ว่าเราจะได้เจอสัตว์ชนิดไหน
หรือโชคร้ายอาจไม่เจอเลยก็ได้ครับ
แต่ตอนนี้หลบแดด พักร้อน และไปกินมื้อกลางวันเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับเย็นนี้ดีกว่า
จะเห็นได้ว่ากิจกรรมของที่นี่มีเยอะมาก ว่างจากการผจญภัยมาพักผ่อนหย่อนใจที่บ้านพัก
จะกระโดดน้ำเล่นหน้าบ้านพัก หรือพายเรือคายัค ทางที่พักก็มีบริการครับ
ได้เวลาที่เหมาะสม เป็นช่วงเวลาที่ฝูงสัตว์กำลังออกหากินแล้ว ที่นี่สวยงามทุกที่ที่มองออกไปจริง ๆ ครับ
สำหรับคนรักการถ่ายภาพ คงได้ภาพถ่ายที่มีกลิ่นอายของธรรมชาติกลับไปอวดเพื่อนกันเยอะทีเดียว
ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งในนั้น อดไม่ได้ที่จะไม่เก็บภาพความทรงจำต่าง ๆ เหล่านี้กลับไป
เรือเดินทางออกมาไกลพอสมควร การลุ้นว่าวันนี้จะเจอสัตว์อะไรบ้าง เป็นที่น่าตื่นเต้นดีครับ
และแล้วก็สมหวัง ผมได้เจอเข้ากับกระทิงฝูงหนึ่ง ที่เกาะกลุ่มกันออกจากป่ามาหาอาหาร
การส่องสัตว์ควรเว้นระยะห่างให้พอดี ๆ นะครับ ใจเขาใจเรา และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสัตว์ป่าอีกด้วยหลังจากที่เราได้ตะลุย เดินป่า เจอหมอก พักผ่อน และใช้ชีวิตส่วนตัวของตนเองไปอย่างเต็มที่แล้ว
เช้าวันนี้จึงขอเข้าไปในหมู่บ้าน เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ “ชุมชนเขาเทพพิทักษ์”อย่างใกล้ชิด
พี่ณรงค์ขับรถคู่ใจออกมารับผมช่วงสาย ๆ เรากำลังจะข้ามสะพานแขวนของเขารูปหัวใจแห่งนี้
เพื่อตรงไปยังหมู่บ้าน
หลายต่อหลายครั้งที่เราเดินทางมายังภาคใต้ ได้กินอาหาร ได้สัมผัสวิถีถิ่นแต่น้อยครั้งที่เราจะได้หวนกลับไปสัมผัสความรู้สึกเมื่อครั้งพวกเรายังวัยเยาว์
การมาที่"ชุมชนเขาเทพพิทักษ์" ครั้งนี้ไม่พลาดแน่นอนครับ กับของเล่นที่มีชื่อว่า “ลูกหวือ”
ของเล่นธรรมดา ๆ ที่แสนสนุก เสียงดังหวือ ๆ เมื่อเราดึงเชือกแรง ๆ เด็กผู้ชายที่ซนหน่อย ก็จะนำไปปั่นต้นไม้
ใบหญ้าให้มันถูกตัดนี่แหละครับ แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นคนที่ทำลูกหวือ
เป็นคุณลุงที่พิการทางสายตา แต่ความสามารถมากล้นครับ ดูเผิน ๆ
คุณลุงทำทุกอย่างได้ปกติเหมือนคนทั่วไป เผลอ ๆ เก่งกว่าอีกด้วยครับ
ได้การก็ถามไถ่กันไป คุณลุงเป็นผู้ถ่ายทอดการทำลูกหวือให้แก่เด็ก ๆ
ปัจจุบันเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติด้วยนะครับ
ท้องเริ่มส่งสัญญาณเตือนแล้วสิครับ พี่ณรงค์ก็รีบจัดแจงพาผมไปกินข้าวทันที
แต่นักเดินทางแบบผมจะกินเลยก็คงจะง่ายเกินไป ขอลงมือทำเองก็แล้วกันครับ กับเมนู “หลามปลาบอก”
ที่มีเจ้าบ้านคอยช่วย เอ๊ะ !!! หรือผมเป็นลูกมือกันแน่
สมัยก่อนการทำหลามปลาบอก เป็นการเตรียมเสบียงก่อนออกเดินป่า ข้อดีคือไม่เสียง่าย
และสามารถหาวัตถุดิบได้จากโดยรอบ ปลาก็ตกเอา กระบอกใช้ไม่ไผ่
และเครื่องแกงที่เข้มข้นถึงพริกถึงกลิ่น ทุกอย่างพร้อมแล้วก็เริ่มเลยครับ นำเครื่องแกง
และปลากระสูบใส่ลงกระบอก และใช้ไม้ไผ่ที่ตัดเป็นรอบหยัก
ตำเพื่อแยกก้างออก สุมไฟสักพัก ความหอมเริ่มแตะจมูก หอมกลิ่นเครื่องเทศมากเลยครับ
ตอนนี้อาหารทุกอย่างก็พร้อมแล้ว ก็จัดการลุยแล้วกันครับ รสชาติขอหลามปลาบอก
อยากให้ทุกคนได้มาลองชิมจริง ๆ เผ็ดนิด ๆ แต่กินคู่กับยำปลาส้ม อร่อยจนขอเบิ้ลข้าว 2 ห่อ
ตอนนี้เริ่มแน่นแล้วสิครับ พี่ณรงค์จึงอาสาพาเยี่ยมชมสวนโดยรอบ 2 ข้างทางที่เต็มไปด้วยสวนยางและผลไม้ เช่น ทุเรียน มังคุด อื่น ๆ ที่ปลูกตามฤดูกาล
ที่นี่เมื่อผลไม้มากพอจะเปิดบริการให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชิมแบบบุฟเฟ่
ในราคาคนละ 150 บาท อิ่มอร่อย กินผลไม้กันแบบหนำใจไปเลยครับ
การเดินทางมาท่องเที่ยวที่สุราษฎร์ธานีครั้งนี้ ผมได้เติมเต็มการพักผ่อนได้อย่างเต็มอิ่ม
ได้ใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ ไร้ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์ ได้กินอาหาร ได้สัมผัส ความน่ารักของชาวบ้านที่นี่
สุราษฎร์ธานีเป็นจังหวัดที่ไม่ได้เดินทางยากอะไรเลย
ถ้าเป็นไปได้จะกลับมาซ้ำรอยแห่งความสุข รอยนี้แน่นอนครับ
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม คุณณรงค์ ฤทธิ์กุล ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเขาเทพพิทักษ์
โทร : 08 4843 7924
ชมรายการเที่ยวไทยไม่ตกยุค ตอน นอนแพ ชมไพร..ที่เขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ได้ที่นี่ https://youtu.be/vOqvG2swvzA
ติดตามชมรายการเที่ยวไทยไม่ตกยุค
ทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 15.30 – 16.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส