Siripanna Villa Resort & Spa เชียงใหม่ เติมเต็มความสุขด้วยวิถีแห่งล้านนา
wสวัสดีครับ เมื่อต้นปี ทางตากล้องท่องเที่ยวได้รับการติดต่อจาก Siripanna Villa Resort & Spa เชียงใหม่ ให้เข้าไปลองพัก เยี่ยมชมและสัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวล้านนา ซึ่งจริงๆเราเองก็อยากไปสัมผัสอากาศเย็นๆและวิถีชีวิตชาวเหนืออยู่แล้ว แต่ด้วยติดภารกิจทั้งงานและทั้งส่วนตัวหลายๆอย่าง จึงไม่สามารถไปช่วงต้นๆปีได้ จนวันที่ 5-6 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนสัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวล้านนาจริงๆ ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
ทริปนี้เราออกเดินทาง ตอนเย็นวันที่ 4มีนาคม59 หลังเลิกงาน 17.30น. ผมก็ลากกระเป๋าลงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรี โผล่อีกทีก็ที่สถานีสวนจตุจักร เพื่อมาขึ้นรถเมย์สาย A1 รอประมาณเกือบๆ 20นาทีรถก็มาถึง ซึ่งรถสายนี้จะวิ่งขึ้นทางด่วนและวนเข้าไปส่งที่สนามบินดอนเมืองเลย สะดวกรวดเร็วดีครับและที่สำคัญคือประหยัดมากๆ 30บาทตลอดสาย สบายกระเป๋า ^O^
ใช้เวลาราวๆ 30-40 นาทีก็ถึงดอนเมือง เร็วกว่าที่คิดแฮะ ทีแรกก็กลัวว่าจะมาเช็คอินไม่ทันตอนสองทุ่มซะแล้ว เพราะช่วงเย็นวันศุกร์นี่ใครๆก็รู้ว่าถนนแทบจะทุกเส้นใน กทม.บ้านเรา จะกลายเป็นลานจอดรถชั่วคราวกันเลยทีเดียว>_ สองทุ่มนิดๆ เข้าไปเช็คอินตั๋วกันก่อน โดยในครั้งนี้ใช้บริการของสายการบินไทยไลออนแอร์เป็นครั้งแรกครับ สภาพภายในเครื่องก็สะอาดและใหม่ดีทีเดียว รอเครื่องเทคออฟราวๆ 22.00น.ครับ
ใช้เวลาเดินทางเพียง 1ชั่วโมงก็ถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่แล้ว
ราวๆ 23.10น. สภาพตอนนี้ง่วงสุดๆ นั่งทำตาเล็กตาน้อยยิ้มให้กล้องเพื่อถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย ^^’ ในระหว่างที่รอกระเป๋าตรงสายพานลำเลียง ผมก็เดินมายื่นเอกสารเพื่อใช้บริการรถเช่าของ AVIS ที่อยู่ใกล้ๆกัน เดินมาเพียงไม่กี่สิบก้าวก็ถึงเค้าเตอร์แล้ว ซึ่งจริงๆแล้วเวลาปิดให้บริการของ AVIS คือ 23.00น. แต่เจ้าหน้าที่ก็อยู่รอกว่าผมจะมาถึง ก็ 23.20 เข้าไปแล้ว ต้องขอบคุณและขอชมเชยการให้บริการที่ดีแบบนี้ด้วยครับในการเดินทางท่องเที่ยวที่เชียงใหม่ในครั้งนี้ เราได้ใช้บริการรถเช่าของ AVIS Thailand ครับซึ่งมีหลายรุ่นหลายแบบให้เลือกใช้บริการแต่เราเลือกเป็นรถรุ่นนี้ครับเพราะประหยัดน้ำมันและคล่องตัวดีครับ ที่สำคัญเป็นรถรุ่นใหม่ด้วย
เมื่อรับรถเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าสู่ที่พักของเราในทริปนี้ครับ นั่นก็คือโรงแรม Siripanna Villa Resort & Spa…ว่าแต่จะไปขับรถไปยังไงล่ะทีนี้แผนทงแผนที่ไม่มีในหัวเลย ไม่รู้จักเส้นทางเลย…อ้อ..โชคดีที่สมัยนี้เป็นยุคเครือข่ายดิจิตอล การเดินทางของเราในครั้งนี้จึงฝากชีวิตไว้ที่แอพลิเคชั่นตัวนี้ครับ “Google Navigation”
จะเห็นได้ว่าโรงแรมศิริปันนานั้นอยู่ไม่ไกลจากสนามบินมากนัก ขับรถไม่เกิน 20 นาทีก็ถึงแล้วระหว่างเดินทางไปโรงแรมศิริปันนาก็จะขับรถผ่านถนนที่มีแนวต้นไม่ขนาดใหญ่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ดึกๆก็ดูน่าเกรงขาม ดูขนลุกๆดีเหมือนกันนะครับ แต่เส้นทางก็ไม่ได้เปลี่ยวอะไร ยังคงมีร้านค้าและบ้านเรือนอยู่ตามสองฝั่งตลอดทาง
ขับๆไปซักพัก ชักเริ่มแสบๆท้อง เลยต้องมองสอดส่องสองข้างทาง สายตาก็พลางมองไปเห็นร้านกันยาโภชนา เป็นร้านข้าว และบะหมี่ แต่มีดีที่เป็ดย่างและหมูกรอบ เลยจัดซักรอบตอนดึกๆ เล่นเอาซะอิ่มแปร้พุงปริไปเลย ^0^
ข้าวหน้าเป็ดย่าง+หมูกรอบ เนื้อนุ่ม หอม มัน อร่อยครับ ทานตอนหิวจัดๆ อร่อยเพิ่มอีกเป็นหลายเท่าตัวเลย ^+++^ก๋วยเตี๋ยว เส้นเล็ก น้ำใส ซดร้อนๆ ตอนดึกๆ น้ำซุปหอมๆ รสกลมกล่อม โล่งคอดีครับ
หลังทำพิธีเซ่นกระเพาะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางของเราในค่ำคืนนี้…
และแล้วก็ถึงจนได้ รู้สึกโล่งอกเลยทีเดียว ตอนแรกกลัวว่าจะหลงทางมากๆ เพราะเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้เคยใช้บริการพี่ GPS นี่แหละ พี่เขาพาผมเข้าดงเข้าป่า โผล่อีกทีถนนสุด หยุดที่กลางทุ่ง T_T แต่ด้วยทุกวันนี้เทคโนโลยี่เกี่ยวกับแผนที่การนำทางแม่นยำมากๆ ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนสมัยก่อนแล้ว…เยี่ยมจริงๆเลยว่าไหมครับ ^0^
โรงแรม Siripanna Villa Resort & Spa เชียงใหม่ เป็นรีสอร์ทระดับห้าดาวของคนไทยที่ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากความงามของเวียงกุมกาม เติมเต็มความสุขด้วยวิถีแห่งล้านนา นับตั้งแต่ห้องพัก สปาธรรมชาติ ห้องอาหาร และการจัดเลี้ยงด้วยบริการระดับลักซูรี่ล้านนา ภายในรีสอร์ทร่มรื่นด้วยสวนและพันธุ์ไม้กว่า 200 ชนิดมากว่า 20,00 ต้น ล่าสุดรีสอร์ทได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงแรมที่มีการบริการยอดเยี่ยมในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2558 จากเว็บไซต์ทริปแอดไวเซอร์ (Tripadvisor) โดยก่อนหน้านี้ได้คว้ารางวัลระดับเงิน กลุ่ม Luxury เขตเมือง ประเภทอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ จากการประกาศผล Thailand Boutique Award ประจำปี พ.ศ. 2554 ด้วยหล่ะ
เห็นป้ายด้านหน้าโรงแรมแร้วน้ำตาจิไหล..ลุ้นตลอดว่าจะมาถูกไหม ^_^
ซุ้มประตูทางเข้าโรงแรม ดูเวอร์วังอลังการงานศิลป์จริงๆ มีโคมไฟแบบโมบายสไตล์ล้านนาห้อยอยู่ตรงกลาง สวยงามทีเดียว *ด้านหน้าโรงแรมจะมีที่จอดรถราวๆ 25 คันครับ* เดินเข้ามาอีกนิดจะเห็นพุ่มแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ รับกับโมบายโคมไฟสีเหลืองทอง ดูสวยงามไปอีกแบบแจกันพุ่มดอกไม้กับโคมไฟสไตล์ล้านนา
ดึกมากแล้ว บอกเลยว่าหนังตาหย่อนหนักมาก เดินมาเช็คอินที่เค้าเตอร์ด้านหน้า พนักงานต้อนรับจะนำน้ำข้าวออร์แกนิกที่ทางโรงแรมผลิตเองจากนาข้าวของทางโรงแรมเอง มาเสิร์ฟเป็น Welcome Drink ครับ รสชาติหอมหวานกำลังดี ดื่มตอนง่วงๆ สดชื่นขึ้นมาเลยหล่ะ
ก้าวแรกตั้งแต่เดินเข้ามาจนมาถึงเค้าเตอร์ด้านหน้า ผมสัมผัสได้ถึงความเรียบหรูและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะวัฒนธรรมแบบล้านนาที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามจริงๆครับ
หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตามพนักงานต้อนรับ พาไปยังห้องพัก แถมช่วยยกของลากกระเป๋าด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แม้จะดึกแล้วก็ตาม และแล้วก็ได้เวลาสำรวจห้องพักครับ คืนนี้เราจะพักกันในส่วนของ ห้องดีลักซ์ แกลเลอรี่ อาคารศิริปันนาแกลเลอรี่ เป็นที่พักในโซนใหม่
ห้องพักของเราในคืนนี้ครับ เป็นแบบเตียงคู่
มีโซฟาเบด อยู่ใกล้ๆเตียงนอนด้วย
ภายในห้องน้ำก็จะมีห้องอาบน้ำ ครื่องใช้ภายในก็จะมีสแตนดาร์ดทั่วๆไป ถือว่าครบครับ แบบว่าไม่ต้องเตรียมอะไรมาจากบ้านเลยผ้าเช็ดหน้า – ผ้าเช็ดตัว
ของใช่จำเป็นในกิจวัตรประจำวัน มีทั้งแปรงสีฟัน ยาสีฟันสองชุด สบู่ สำลี คอตตอนบัด หวี จัดมาให้ครบเลยครับ ^^มินินบาร์ มี ชา กาแฟ น้ำเปล่าเครื่องดื่มอื่นๆอีกที่เหลือในตู้เย็น และเครื่องต้มน้ำ พร้อมสำหรับคนชอบนอนดึก
คืนนี้สำรวจห้องเพียงเท่านี้ก่อน เดี๋ยวเข้านอนก่อนครับ พรุ่งนี้เดี๋ยวจะตื่นไม่ทันเก็บภาพบรรยากาศแสงเช้ากับศิริปันนาแห่งนี้
————————————————–
เช้าตรู่วันที่ 5 มีนาคม 2559 ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงเหล่าสกุณาที่มาร้องเพลงปลุกแต่เช้า เลยลงไปเก็บภาพบรรยากาศตอนเช้าๆของแสงแรกแห่งวันที่ศิริปันนาแห่งนี้มาฝากครับ
“ตื่นเช้าชมทุ่ง ตะวันรุ่งสาดส่อง ผ่านครรลองแห่งล้านนา เติมเต็มขีวิตชีวาของคนเมือง…” งดงามจริงๆครับ มุมนี้ แสงเช้าสาดส่องผ่านทุ่งข้าวปันนาสู่สายตาผู้มาเยือน อากาศเย็นๆช่วงเช้าของที่นี่ ใครนอนตื่นสายถือว่าพลาดอย่างแรงเลยหล่ะต้นกล้าในนาข้าว สำหรับให้แขกที่มาพักได้ร่วมกิจกรรมการดำนา
นาข้าวออร์แกนิกส์ กำลังเขียวขจี ใกล้ออกรวงเต็มทีแล้ว
แม้จะเข้าสู่ช่วงหน้าร้อน แต่ที่นี่ก็กลับเขียวชอุ่มราวกับช่วงปลายฝนต้นหนาวยังไงยังงั้นเก็บภาพตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว นาฬาชีวิตก็ส่งเสียงดังจ๊อกๆ บอกว่าได้เวลามื้อเช้าแล้ว ไปหาอะไรทานก่อนดีกว่า สำหรับห้องอาหารที่มีชื่อว่า ห้องอาหารสลีบันยัน ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นห้องแอร์ โอเพ่นแอร์ และกลางแจ้ง(ใต้ต้นโพธิ์)
บริเวณบาร์เครื่องดื่ม
โต๊ะอาหารภายในห้องแอร์
มื้อเช้าวันนี้ จัดมาพอประมาณ ทานพอหมด
ผัดเห็ดน้ำมันหอย อร่อยได้คุณค่า
สำหรับมื้อเช้ายังมีอีกหลากหลายเมนูให้เลือกอย่างจุใจไม่มีกั๊ก รับรองเต็มอิ่มแน่นอน
* นอกจากนี้ยังมีเมนูสำหรับมื้อเที่ยงที่ถือว่าคุ้มมากๆครับ ส่วนมากจะมีทัวร์ต่างๆมาใช้บริการ และสามารถ Walk-in เข้ามาทานได้เลยเพียงแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตรงล้อบบี้ก่อนนะครับ
บิสสิเนสลั้นช์ (Business Lunch) เป็นบุฟเฟ่ต์อาหารกลางวัน ผสมผสานเมนูอาหารไทยและอาหารนานาชาติ อิ่มอร่อยเตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลายามบ่ายที่กระฉับกระเฉงด้วยสลัดผักสด ออเดิร์ฟเมือง ซุปประจำวัน หลากหลายเมนูพาสต้า พิซซ่าอบหอมกรุ่น ข้าวซอย ขนมจีนน้ำเงี้ยวและก๋วยเตี๋ยว พร้อมมุมขนมหวานนานาชนิดทั้งขนมไทย เค้กและผลไม้ ปิดท้ายมื้อกลางวันอันสุดพิเศษท่ามกลางสวนอันร่มรื่นใจกลางเมืองเชียงใหม่ ทุกวันจันทร์ถึงวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. – 15.00 น.ราคา 189 บาทต่อท่าน เท่านั้นเอง รวมน้ำดื่มฟรีตลอดมื้ออาหาร
หลังจากทานมื่อเช้าเสร็จแล้ว วันนี้เรามีแพลนที่จะไปตะลอนเที่ยวสถานที่ใกล้ๆตัวเมืองเชียงใหม่ รัศมีไม่เกิน 50 กิโลเมตร เพื่อให้กลับมาทันถ่ายภาพสวยๆของโรงแรมในช่วงทไวไลท์
สถานที่แรกที่เราจะไปเยี่ยมชมนั่นก็คืออุทยานหลวงราชพฤกษ์ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมศิริปันนาเพียง 17 กิโลเมตรเอง ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว
ขับรถไปตามแผนที่โดยใช้ Application Navigation และใช้บริการรถเช่าของ AVIS Thailand สะดวกรวดเร็วดีครับ ซุ้มประตูด้านหน้า ก่อนเข้าชมงานให้ซื้อตั๋วเข้าชม ซึ่งจะมีจุดขายบัตรอยู่ทางด้านซ้ายมือของซุ้มทางเข้าด้านนอกครับแปลงดอกไม้สีสันสดสวยอยู่ด้านหน้าทางเข้าของอุทยานฯ สำหรับถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก
ภาพมุมสูง ของวงเวียนด้านหน้าก่อนเข้าอุทยานฯ
เข้ามาด้านในจะพบกับสวนดอกไม้กลางแจ้งนานาชนิด ออกดอกหลากสีสันอยู่เต็มไปหมดเลยครับ สวยงามมากๆต้นโพธิ์ทอง หรือ ต้นบรมโพธิสมภาร ประกอบด้วย ใบทั้งหมด 21,915 ใบ เป็น ต้นไม้แห่งทศพิธราชธรรม
ภาพมุมสุง ถ่ายตรงบริเวณต้นโพธิ์ทองยาวไปถึงหอคำหลวง
หอคำหลวง
ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ มีอยู่จำนวน 30 ซุ้มแต่ละซุ้มมีกรอบพระบรมฉายาลักษณ์ ติดด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมนำเสนอพระราชกรณียกิจ และพระบรมราโชวาท ซุ้มเฉลิมพระเกียรติสร้างเป็นเส้นทางเดินตรงไปยังหอคำหลวง สองข้างมีเรื่องราวพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงงานอย่างหนักเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทยมาตลอดหลายสิบปีหอคำหลวง สถาปัตยกรรมล้านนาที่สง่างามมากๆครับ เป็นอาคารครึ่งไม้ครึ่งปูน 2 ชั้น สีน้ำตาลแดง ผ่านกระบวนการคิด การออกแบบ จากช่างสิบหมู่พื้นบ้านล้านนานับสิบคน ที่ร่วมกันถ่ายทอดผลงานอภิมหาสถาปัตยกรรมล้านนา ภายใต้แนวคิดที่ว่า “พระบาทสมเด็พระเจ้าอยู่หัว คือ ศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทย” ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าบนเนินดินพื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางเมตร ท่ามกลางเนื้อที่กว่า 470 ไร่ ของศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งภายในอุทยานหลวงแห่งนี้ก็คือ สวนกล้วยไม้ และสวนดอกไม้ติดแอร์ครับ ซึ่งในสวนกล้วยไม้แห่งนี้ได้รวบรวมดอกกล้วยไม้กว่า 300 ชนิดมาไว้ให้เราได้ชมกันในนี้อย่างจุใจ ต้องบอกว่าดอกใหญ่และสวยงามมากๆเลยทีเดียว
หลังจากเดินจนเกือบทั่วและเก็บภาพพอสมควรแล้ว ก็ออกมานั่งพักร้อนดื่มกาแฟเย็นๆ ที่ด้านนอกจะมีร้านกาแฟเครื่องดื่มอยู่ใกล้ๆกับที่จอดรถครับ
ราวๆบ่ายสามโมงเย็นก็ออกจากอุทยานหลวงราชพฤกษ์ ขับรถต่อไปโดยมีผู้นำทางเป็น Google Navigation อีกเช่นเคยครับ ซึ่งคราวนี้เรามุ่งหน้าขึ้นดอย ไปรับลมชมทิวทัศน์ สัมผัสอากาศเย็นๆที่ม่อนแจ่มครับ จะไปดูว่าบรรยากาศช่วงนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ใช้ระยะทางทั้งสิ้นราวๆ 46 กิโลเมตรจากอุทยานหลวงราชพฤกษ์ครับ
เส้นทางขึ้นเขาบางช่วงถนนชำรุดอยู่บ้าง บางช่วงก็อยู่ระหว่างการซ่อมบำรุงครับ บางช่วงก็จะเป็นโค้งหักศอกและชันพอสมควร อารมณ์ประมาณขับรถขึ้นลานจอดห้างฟอร์จูนประมาณนั้นเลย ถ้าขับขึ้นไปเองต้องระมัดระวังด้วย แนะนำให้ใช้เกียร์ต่ำตลอดการขับขึ้นเขา แต่โดยรวมแล้วการขับรถขึ้นไปเองก็ค่อนข้างสะดวกและรวดเร็วดี ระหว่างทางขึ้นเขาก็จะมีจุดท่องเที่ยวอีกหลายๆจุดที่น่าสนใจนะครับแต่ไม่ได้แวะ เช่น ปางช้างแม่สา สวนพฤกษศาตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ สวนสตอเบอรี่ที่ใหญ่ที่สุดให้แวะชมแวะชิมกันสดๆด้วย (แนะนำให้ซื้อลูกเล็ก รสชาติหอมหวานกำลังดี) ถ้าใครไปเที่ยวเส้นทางนี้ถ้ามีเวลาลองแวะดูนะครับ แต่ละที่น่าสนใจทั้งนั้นเลย
ใช้เวลาเดินทางปรามาณ 1 ชั่วโมง 15 นาทีก็ถึงม่อนแจ่มแล้วครับ ระหว่างขึ้นเขาจะมีต้นดอกเสี้ยวที่กำลังออกดอกสีขาวบานสะพรั่งอยู่สองข้างทางเป็นระยะๆ ด้วยหล่ะ
มีลานจอดรถบนนี้เลย…การเดินทางที่สะดวกสบายแบบนี้ ต้องขอขอบคุณบริการรถเช่าจาก AVIS Thailand ด้วยครับ ที่สนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้แปลงผักบนดอย สวนกะหล่ำปลีที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ถูกเก็บเกี่ยวไปจนหมดแล้ว
ซุ้มสำหรับนั่งทานอาหารบนดอย อยู่ติดๆริมเขา นั่งทานข้าวไป ชมวิวไป สุดยอดเลย
ภาพความน่ารักและไร้เดียงสาของเด็กๆ ถ่ายยังไงก็น่าดูเสมอ^^
ร้านกาแฟโครงการหลวง ตรงนี้เป็นจุดชมวิวแบบ 360 อาศา มองเห็นทัศนียาภาพที่สวยงามได้โดยรอบ ที่สำคัญรสชาติเครื่องดื่มของร้านนี้ไม่ธรรมดาครับ โดยเฉพาะชาเขียว อร่อยมากๆๆ แนะนำให้ลองเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่นแต่นักท่องเที่ยวก็ยังทยอยขึ้นมาเยี่ยมชมที่นี่อย่างไม่ขาดสาย ทั้งมาแบบครอบครัว มาเดี่ยว มาเป็นคู่ หรือมาเป็นหมู่คณะ“แม้อยู่สูงแต่ไม่เดียวดาย…แม้เหน็บหนาวแต่อุ่นใจ…ยามมีเพื่อนคอยเคียงข้าง“
มุมนี้จะมีผีเสื้อสีขาวๆ ตัวเล็กๆ บินเต็มไปหมดครับ ทำให้บรรยากาศตรงนี้งดงามราวกับอยู่ในฝันเลยหล่ะ แม้จะเป็นช่วงต้นฤดูร้อน แต่ที่นี่อากาศเย็นกำลังดีตลอดทั้งวันเลย ถ้ามีเวลามากๆ หนีร้อนจากเมืองกรุง มานั่งชมวิว จิบกาแฟ ทานข้าว รับลมเย็นๆ บนนี้คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว ^0^ ได้เวลากลับโรงแรมแล้ว ก่อนจาก…น้องๆร่วมเป็นเกียรติถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกด้วยกัน ยิ้มแย้มแจ่มใสน่ารักสมวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลย ^+++^ หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็ไม่ลืมที่จะให้ค่าขนมน้องๆด้วยนะ (น้องๆบอกแล้วแต่จะให้)