ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
ฤดูฝนนี้คนเดียวที่ " ซาปา " เวียดนาม Sapa, Lào Cai, Việt Nam จ.Lào Cai
    • โพสต์-1
    Somsak •  สิงหาคม 06 , 2561

    บันทึกการเดินทาง(คนเดียว)สู่ " เ มื อ ง ซ า ป า " ประเทศเวียดนาม-เหนือ

             " ซ า ป า " เมืองแห่งสายหมอก แม่น้ำ ภูเขา ทุ่งนาขั้นบันได ท่ามกลางหุบเขาใหญ่

    สวัสดีคร๊าบบบบบบบทุกคน กลับมาอีกครั้งกับ "บันทึกการเดินทาง" ของ "ล่ามติดแอ่ว" ตาดำๆคนนี้เองแหละครับ บทความของบันทึกการเดินทางครั้งนี้ก็อาจจะยาวมากถึงมากที่สุดเช่นเคยนะ บันทึกของผมอาจจะไม่เหมือนคนอื่นนะ ต้องขออภัยด้วย แต่ก็เพราะอยากเก็บรายละเอียดเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ความรู้สึกตอนเดินทางและสิ่งต่างๆที่ได้ประสบเจอระหว่างการเดินทางให้มากที่สุด จะบันทึกตั้งแต่การเตรียมความพร้อมออกก่อนออกเดินทางจนจบการเดินทางเลยล่ะ บางคนอาจจะคิดว่าจะเขียนทำไมยาวและเยอะขนาดนี้ สำหรับใครที่ขี้เกียจอ่านก็ดูแต่รูปก็ได้นะ เข้าใจๆ ไม่ว่ากัน ฮ่ะๆๆ

                                           ทะเลสาบแลนด์มาร์คยอดนิยมกลางเมืองซาปา

    สำหรับการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ไปที่ไหนไกลเลยนะ ไปประเทศเพื่อนบ้านของเรานี่แหละ ห่างจากไทย2-3ชม.เอง คือ "ประเทศเวียดนาม" ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 แล้วนะ ที่ได้มีโอกาสไปเยือนเวียดนาม ครั้งแรกไม่ได้รีวิวเพราะไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปทำงาน ฮ่ะๆๆ ตอนนั้นได้เที่ยวแค่ตอนเย็นหลังเลิกงาน แต่ครั้งนี้มีโอกาสได้กลับไปเวียดนามอีกครั้งแบบเต็มรูปแบบในฐานะของ "นักเดินทาง" กะโหลกกะลา ก็เลยมีเรื่องราวมากมายให้ที่ประสบระหว่างการเดินทาง ฮ่ะๆๆ

    ว่าด้วยเรื่องแพลนหาที่เที่ยว ก่อนจะตัดสินใจเลือก "เวียดนาม" ก็มีตัวเลือกหลายที่เลยนะ ไม่ว่าจะ ลาว อินโดนีเซีย มาเลเซีย ตอนนั้นก็แบบหาข้อมูลเยอะมาก แต่มันมีสถานที่หนึ่งที่อยากไปมานานแล้ว นั่นก็คือ "ซาปา" ดังนั้นจึงลองศึกษาข้อมูลต่างๆจนตกลงกับตัวเองได้ว่า "ไปเวียดนามนี่แหละวะ" หลังจากได้ตัวเลือกมาก็เอาข้อมูล รูปภาพ การเดินทาง งบประมาณต่างๆที่ได้รวบรวมไว้ไปเสนอให้เพื่อนๆได้ดูกัน เผื่อจะหาคนไปออกทริปด้วยกันได้ แต่ก็อย่างที่ดีอยู่แล้วว่า มันไม่ง่ายเลยที่จะชวนใครสักคนไปออกทริปได้ ซึ่งตรงนี้ก็ทำใจไว้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่ๆที่จะลากใครสักคนไปออกทริปด้วยกัน แต่ก็ลองชวนๆดูก่อน เผื่อมีปาฏิหารย์เกิดขึ้นจริง ฮ่ะๆๆๆ แต่ก็ไม่มีไรเกิดขึ้น 

    ถึงจะไม่มีใครไปออกทริปด้วย แล้วไงล่ะ กูชินแล้วล่ะ สบายมากๆ ยังไงแพลนเที่ยวก็ไม่ล่มแน่นอน ตอนนั้นเหมือนมีเพื่อนคนหนึ่งสนใจจะไปออกทริปด้วย แต่พอผ่านไป2-3วัน มันก็บอกว่าไม่ไปละนะ ปัดโถ่ววววว กูอุตส่าห์รอจองตั๋วเครื่องบิน ดูดิอดได้ตั๋วราคาถูกเลย เพราะเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงราคาตั๋วก็ขึ้นลงเหมือนหุ้นเลย ขึ้นแล้วขึ้นเลยนะ ไม่มีลงด้วย ฮ่ะๆๆ รู้ว่าเพื่อนไม่ได้ละก็เลยรีบจัดการจองตั๋วเลย โดยเปรียบเทียบราคาตั๋วเครื่องบินที่เว็บไซต์ Skyscanner  เช็คตั๋วไปมาหลายรอบจนตัดสินใจได้ว่า ขาไป :VietJet Air ขากลับ:Thai Air จองแยกสายการบินเลยเพราะาราคาดีกว่า ส่วนราคาตั๋วเดี๋ยวค่อยแจกแจงท้ายบันทึกละกันนะ ขาไป กรุงเทพ-ฮานอย ของ VietJet Air แต่จองผ่าน ​Trip.com นะ เพราะจากราคาที่เปรียบเทียบมานั้นถูกกว่าจองกับเว็บไซต์สายการบินโดยตรง​เยอะเลยล่ะ

    ขากลับจากฮานอย-กรุงเทพนั้น บินกับ Thai Airways จองบนเว็บไซต์ของสายการบินโดยตรงเลย ราคาถูกกว่า

    ทีนี้มาจองที่พักกันต่อ บอกเลยว่าจองโรงแรมไว้ล่วงหน้าก่อนจะจองตั๋วเครื่องบินและชวนเพื่อนซะอีก เพราะมันสามารถยกเลิกได้ แต่พอรู้ว่าทริปนี้ก็ต้องไปคนเดียวอีกแล้ว ก็เลยยกเลิกโรงแรมที่จองไปก่อนหน้านี้ แล้วเปลี่ยนไปจองที่พักแบบ HOSTEL ก็มีหลายที่ให้เลือกนะ แต่เนื่องจากไม่เคยไปมาก่อนเลยขอเลือกที่พักที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองซาปามาก จึงได้กดจองที่ Sapa Odyssey Hostel ผ่านเว็บไซต์ Booking.com ราคานี่แบบถูกเหี้ยๆเลย ความดีงามของที่พักแม่งก็แบบคุ้มค่ามากกับเงินที่จ่ายไป 3คืน ราคาก็ตามรูปนี้เลยและถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกที่พักนี้ล่ะก็เดี๋ยวไปอธิบายรายละเอียดในบทความละกัน ฮ่ะๆๆ 

    และสิ่งสุดท้ายที่จะขาดไม่ได้เลยคือ การเดินทางจากฮานอยไปซาปา มีรถบัสนอนกับรถไฟ จากที่อ่านข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางนั้น จึงเลือกจองรถบัสนอนดีกว่า เพราะราคาถูกกว่า ใช้เวลาน้อยกว่าและมุ่งตรงไปถึงปลายทางซาปาเลยนะ แต่รถไฟนอนคือ แพงกว่า ช้ากว่า และไปถึงแค่สถานีปลายทางในตัวเมืองจังหวัด Lao Cai จากนั้นต้องหารถต่อขึ้นไปซาปาอีกที มันค่อนข้างจะเสียเวลาและวุ่นวายเนอะ รถบัสนอนละกันแจ่มสุดละ สำหรับการจองรถบัสนอนนั้นผมได้จองผ่านเว็บต์ 12Go.asia ซึ่งมีรถบัสนอนหลายเจ้าหลายเวลาให้เลือกกันมากมายเอาตามใจชอบของแต่ละคนเลย

    สำหรับขาออกจาก ฮานอย - ซาปา ถ้าใช้บริการเจ้านี้ก็ให้ไปขึ้นรถที่ออฟฟิศตามรูปด้านล่างนี้เลย มันอยู่ในย่านชื่อดังอย่าง Old Quarter Hanoi เปิดแผนที่พิมพ์ 16 Hang Chinh ลงใน Map แล้วเดินไปตามที่อยู่นี้โลดดดดดเลย​
    เมื่อจองตั๋วรถขาไปแล้วก็อย่าลืมที่จะจองขากลับจาก ซาปา - ฮานอย ล่ะ เดี๋ยวไม่ได้กลับนะ ใครจะลืมวะเนอะ 555+
    ขากลับจาก ซาปา- ฮานอย เองก็มีจุดขึ้นรถบัสอยู่ที่ Sapa Apollo Hotel อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถบัสเลยเปิดแผนที่พิมพ์ Sapa Apollo Hotel แล้วเดินไปตามแผนที่เลย แนะนำเพิ่มว่าเพื่อความสบายใจและความชัวร์ก็ควรไปจุดขึ้นรถเพื่อตรวจสอบชื่อให้แน่ชัดว่า ชื่อ วันที่ เวลา นี้ถูกไหม อย่างผมไปเช็คตอน 6โมงเย็น เมื่อข้อมูลการเดินทางทุกอย่างถูกต้องก็เที่ยวเดินเล่นหาไรกินรอเวลาขึ้นรถได้เลย 

    ก่อนหน้านี้เคยอ่านรีวิวแล้วเจอคนเวียนามที่รับจองทัวร์ ซึ่งเห็นคนไทยส่วนใหญ่จะจองทัวร์กันเยอะมาก ตอนแรกเลยแอดไลน์แล้วทักไปเพื่อจะจองทัวร์เช่นกัน แต่มาคิดๆดูอีกที อืมมมม มันก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเสียเงินไปจองทัวร์เลยนี่นา ก็เลยยกเลิกการติดต่อกับทัวร์แล้วหาข้อมูลในเน็ตเอง แล้วจัดการวางแพลนทริปเองทั้งหมดเองเลย ไปฝึกฝนสกิลภาษาอังกฤษของตัวเองผ่านการเดินทางต่อละกัน อ่อเกือบลืมบอกบางอย่างไปเลย บางคนอาจจะไม่รู้ว่า คนไทยฟรีวีซ่าเข้าเวียดนามนะ มีแค่พาสปอร์ตเล่มเดียวก็เดินเข้าประเทศได้สบายเลย อยู่ได้ยาวๆ30วัน ไปเที่ยวกันเลยยยยยยยยย               

    Day 1 27 July 2018 
    ในเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็รอจนกระทั่งถึงวันเดินทางคือ 27 ก.ค 2018 แพ็คเป๋าแล้วดิ่งตรงไปสนามบินสุวรรณภูมิ ไฟลท์บินวันนี้ก็ 14.30 น. ไปถึงสนามปุ๊บก็ดิ่งตรงแลกเงินบาทเป็นเงินดอลล่าส์ก่อน แลก 7,000THB = ประมาณ210USD แล้วก็ไปเคาน์เตอร์ Check-In ของสายการบิน VietJet Air แต่ด้วยความเคยชินกับการบิน VietJet จึงเผลออออไปต่อคิวที่เคาน์เตอร์Domestic พอถึงคิวปุ๊บ พนักงานถามว่า: ไปไหนคะ ตรู: ฮานอยครับ ฮานอยเชิญที่ ROW N ค่ะ ตรงนี้ Domestic ค่ะ ตรูสตั๊นไปแป๊บๆ: อ่อ ขอบคุณครับ ฮ๋ะๆๆๆ 

    ปล่อยไก่ตัวใหญ่ซะอายเลย จากนั้นก็รีบวิ่งไปไปเช็คอินฝั่ง Inter ยังไม่พอนะ ไปเข้าผิดช่องอีก เห็นช่องที่มีจอสีแดงกันไหม นั่นแหละคับ ผมเดินไปช่องนี้ แล้วเขาก็บอกว่า เชิญช่องด้านข้างคับ เอ่าาาอะไรวะ งง ดิ นี่มันก็ช่อง VietJet นี่ เขาเล่นอะไรกันเนียะ ปกติก็ไม่เคยวุ่นวายไรกับการเช็คอินแบบนี้นะ เพราะเดินทางไปต่างประเทศบ่อยอยู่ จากนั้นก็ย้ายไปต่อคิวช่องด้านขวา แต่นั่นแหละแถวไม่เป็นแถว งงไหม คือแม่งแซงกันง่ายๆเลยนะ กำลังต่อคิวอยู่ก็มีคนเดินทาลัดคิว เอ่อเอาเข้าไป ไม่อยากวุ่นวายก็เลยไม่ได้ว่าอะไร พอได้ตั๋วมาก็พร้อมจะเดินทางแล้วววววววว พร้อมบินแล้วววววววว

    ทริปนี้ได้มาขึ้นเครื่องที่ GATE F3 ซึ่งดูๆจากจำนวน ผดส.แล้ว ต่างชาติจะเยอะกว่าเวียดนามซะอีกนะเนียะ แนะนำสำหรับคนที่บินสายการโลวคอสต์นะว่าเตรียมขวดน้ำเปล่าไปเกทขึ้นเครื่องด้วยก็ดี จะได้กดน้ำใส่ขวดแล้วเอาขึ้นเครื่องเหมือนผม เพราะสายการบินเหล่านี้ไม่มีบริการอาหารเครื่องดื่มนะจ๊ะ เจอกันนะ ฮานอยยย เวียดนาม

    ตอนที่พนักงานแจ้งให้เปิดหน้าต่างคือคือเห็นแม่น้ำขนาดใหญ่จากบนเครื่องบินคือไม่รู้หรอกนะว่าอยู่น่านฟ้าประเทศอะไร มันคือ แม่น้ำ หรือ เขื่อน กันนะ? 555+

    พอไม่นานนักก็เดินทางถึงฮานอยไปแลกเงิน USD > VND พอแลกเงินปุ๊บบบคือแบบโอ้โหหหหหได้จับเงินล้านแล้วเว้ย ได้ตั้ง4,800,000ดองแหนะ ฮ่ะๆๆๆ จะเก็บจะใช้ยังไงหมดล่ะทีนี้ ยังตื่นเต้นกับจำนวนเงินมหาศาลนี้อยู่ 555+ จากนั้นก็รวดซื้อซิมเน็ตที่ร้านเดียวกันกับที่แลกเงินเลย เลือกค่าย Viet Tel แพ็กเกจ 4G LTE 5วัน ในราคา 2แสนดอง อ่ออออใช้จ่ายเงินกันเป็นหมื่นเป็นแสนแบบนี้นี่เอง ลำบากเรื่องคำนวนเงินอีกละ ฮ่ะๆๆๆ 

    จากนั้นก็ออกมาข้างนอกเพื่อนั่งรถ Shuttle bus สาย86 จากสนามบินเข้าเมืองฮานอย ก่อนมาก็กังวลเรื่องการต่อรถเข้าฮานอยมาก เพราะหลายๆคนโดนแท็กซี่โกงกันไปเยอะเลย แต่ดีที่เก็บข้อมูลมาดีเลยไม่พลาดในส่วนนี้ ตอนออกไปขึ้นรถก็ต้องเดินแบบว่า มั่นใจว่ารู้จุดขึ้นรถบัส อย่าทำตัว งง เหมือนคนกำลังหลงทางอยู่ ไม่งั้นจะพลาดตกเป็นเหยื่อของเหล่าแท็กซี่จอมโกงสนามบินได้นะ จำไว้ง่ายๆเลยว่า 

    หลังจากเดินออกมาข้างนอกแล้ว ให้เลี้ยวซ้าย แล้วข้ามไปเลนที่ 3 รถบัสสาย 86 จะมาจอดตรงป้ายบริเวณนั้น ขึ้นรถบัสแล้วก็ไม่ต้องไปถามนะว่าเท่าไหร่ เตรียมตังค์จ่ายไว้เลย 30,000ดอง ก็ประมาณ 43 บาท เอ่อราคาก็ไม่แพงนะ หรือถ้าไม่แน่ใจก็อ่านป้ายราคาที่ติดไว้ด้านข้างรถ เขามีระบุไว้อยู่นะ ไม่ตกเป็นเหยื่อแท็กซี่สนามบินก็คือว่าผ่านละ ไปด่านต่อไปกันต่อ

    จากนั้นก็นั่ง (ยืนเหอะ ไม่ได้นั่ง คนเยอะ) รถบัสยาวๆ ไปจนถึงในเมืองฮานอย ลงรถที่ย่าน Old Quarter Hanoi เขาว่ากันว่าเป็นแหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แหล่งรวมจุดท่องเที่ยว นักเดินทาง งี้นะ พอลงปุ๊บก็เปิดแผนที่เพื่อตามหาออฟฟิศของรถบัสนอนที่จองไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้หลงและไปขึ้นรถบัสถูกที่ 

    นี่ไงงงงงง เจอออฟฟิศแล้วววว พอถึงที่หมายก็สอบถามพนักงานว่า ตั๋วใบนี้ ชื่อนี้ เวลานี้ ขึ้นรถที่ออฟฟิศนี้ถูกต้องไหม ตอนนี้ก็ 17.30น. เวลาขึ้นรถไปซาปาก็ 21.50น. รถออก4ทุ่มตรง คือเหลือเวลาอีกเยอะกว่าจะถึงเวลาขึ้นรถไปซาปา พอทุกอย่างถูกต้องก็ได้เวลาออกไปตระเวนเดินเที่ยวรอบๆฮานอยกันละ เดินไปเดินมาเดินวนไปวนมาจนเหนื่อย หาร้านอาหารกินก็ตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะกินร้านไหน อยากกินอะไร ฮ่ะๆๆๆ

    แม่ค้าปั่นจักรยานขายผลไม้ ที่เห็นอยู่นั่นก็ เงาะ กับ มังคุด ไม่รู้ว่ารสชาติผลไม้บ้านเขาจะเป็นไงบ้าง ไม่ได้ลองเลย แต่เอ๊ะป้าคนนี้เขาไม่ปั่นเลยนะ แต่ป้าแกจูงจัรยานแล้วเดินขาย เดินตามเค้าไงถึงรู้

    ตึกรามบ้านช่องของเขานี่เป็นเอกลักษณ์ดีนะ ออกแนวตะวันตกไหม ไม่แน่ใจแต่ว่าชอบสไตล์แบบนี้นะ คือมันดูคลาสสิคดีนะ 

    โดยเฉพาะตึกนี้นะ รูปทรงตัวตึกคือเท่ร์แบบมีสไตล์ ดูจากตรงนี้แล้วน่าจะเป็นพวกร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของต่างๆ ดูแล้วน่าจะแหล่งแลนด์มาร์คสำคับของฮานอยด้วยนะ

    ส่วนนี่ก็สะพานแดงกลางทะเลสาบเมืองฮานอยที่ใครๆไปก็ต้องไปถ่ายรูป นับว่าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญเลยก็ว่าได้นะ แต่ส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจอะไรที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เท่าไหร่นัก พวกพิพิธภัณฑ์ไรงี้ จึงไม่ได้เข้าไปเดินสะพานหรอก อีกอย่างเหมือนวันนี้เขาปิดไม่ให้เข้าด้วย ก็เลยแชะแค่รูปไว้เป็นพิธีแค่นั้น 555+

    มาถึงตึกนี้ก็เท่ากับว่าเดินวนรอบทะเลสาบได้เกือบรอบละ ช่วงเย็นๆตอนตึกนี้เปิดไฟ+ธงเวียดนามโบกสะบัดไปด้วยแล้ว มันดูสวย ดูมีเสน่ห์ดีนะ พอมีมอไซค์ขับผ่านมามันก็ทำให้เห็นและรู้สึกว่า เอ่อ นี่คือเวียดนามจริงๆ เอ่ออันนี้กูคิดเองงงงนะ ฮ่ะๆๆ

    และได้เหลือบไปเห็นร้าน Mc ตรงข้ามกับตึกนี้คือแบบ อื้มมมมันเจ๋งใช่เล่นเลยนะ แต่คนเยอะเลยไม่เข้าไปในร้าน และเมื่อเดินไปได้ไม่นานนักก็ได้เจอกับรุ่นพี่เอกเดียวดันสมัยเรียนมหาลัยแบบบังเอิญมากๆ คือรู้ว่าพี่แกเองก็มาเที่ยวฮานอย แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันโดยไม่ได้นัดหมายแบบนี้ ฮ่ะๆๆ ขอเอารูปคู่ลงกำเน้อคับปี้แป้ง อิอิ คุยกันแป๊บๆแล้วก็แยกย้ายกันไปคนละทาง แต่ก็ยังสวนกันอีกครั้งในซอยแถวๆนั้นแหละ ฮ่ะๆๆๆ

    จนกระทั่งทุ่มครึ่งคือพลังร่างกายจะหมดละ ต้องหาร้านอาหารละ หิวแล้ว เดินวนไปหลายรอบมาก และแล้วก็เลือกร้านที่คนน้อยๆ ไม่พลุกพล่าน ร้านนี้ละกัน ร้านไรวะ ชื่อร้านก็ไม่มี วางกระเป๋าก่อนหนัก

    แล้วสั่งอาหาร เมนูอาหารไม่มีรูปนี่เป็นอะไรที่จินตนาการภาพยากมากก็เลยเลือก Sliced-Chicken noodle soup เข้าใจว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อไก่สับ กินได้นะ ไม่ได้ปรุงไรเลย นี่คือมื้อแรกที่เวียดนามเลยก็ว่าได้

    เครื่องปรุงก็มีนะแต่พริกคือเผ็ดมากกกก เลือกไม่ได้ปรุงไรเลยดีกว่า เดี๋ยวท้องเสียตอนนั่งรถไปซาปาละจะลำบาก สังเกตุบนโต๊ะก็เหลือบไปเห็นส้มลูกเล็กๆ ลองปอกกินดู รสชาตินี่ส้มเขียวหวานมาก เปรี้ยวนะ 555+

    ก่อนกินเตี๋ยวก็ได้ขอให้ป้าแม่ค้าถ่ายรูปให้ ป้าก็บอกว่าถ่ายไม่เป็นนะ ก็เลยสอนวิธีกดถ่ายรูปให้ป้าก่อน และนี่ก็คือฝีมือช่างภาพสมัครเล่นของป้าแม่ค้าก๋วยเตี๋ยว พอให้ป้าดู ป้าก็บอกว่า Ohh My hand ๆ ก็หัวเราะกัน ป้าก็บอกว่าจะถ่ายใหม่ไหม ไอ่เราก็เลยบอกป้าว่า ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ คือจริงๆแล้วผมชอบภาพนี้นะ มันอาจจะดูไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่รูปนี้มันดูมีเรื่องราวนะ จะลบก็ไม่กล้าลบ ก็เลยเก็บไว้แบบนี้แหละ 

    กินเตี๋ยวเสร็จปุ๊บ ยังเหลือเวลาอีกเยอะเลยแห๊ะ ตอนนั่งกินข้าวอยู่ก็ได้ฟังเพลงจากร้านเหล้าฝั่งตรงข้าม ซึ่งเปิดแต่เพลงของ Kygo ดีเจคนโปรดเลย ก็เลยเลือกไปนั่งร้านนั้นต่อยาวๆ สั่งเบียร์ไป1ขวด Hanoi Beer เอ่อเห้ย รสชาติมันดีว่ะ ราคาก็ถูกด้วย แค่ 20,000ดองหรือ28บาทเอง ถูกมากกกกกกก

    ตอนนั้นคือรู้สึกผ่อนคลายมาก บวกกับได้นั่งฟังดนตรีแนวEDM ของ Kygo ในขณะที่ฝนตกปรอยๆไปด้วยแล้วคือแบบ ฟินนนนนนนมาก ชอบสุดๆ

    ตอนนี้ก็ได้เวลาเตรียมตัวไปขึ้นรถบัสละ ก็ไปรอที่ออฟฟิศตอน21.40น. ตอนนั้นก็มีกันอยู่3คน อีก2คนมาจากฝรั่งเศส จากนั้นพนักงานก็พาไปขึ้นรถตู้ เพื่อไปส่งที่จุดขึ้นรถบัสนอน พอรอได้สัก5นาที รถบัสก็มาจอดตรงหน้าแล้วก็ขึ้นรถบัสกันได้เลย เก็บกระเป๋าเดินทางใต้ท้องรถ ถอดรองเท้าใส่ในถุงที่เขาเตรียมให้แล้วก็ไปเลือกที่นั่งกันเลย

    รถบัสนอนก็จะเป็นลักษณะแบบนี้ ภาพเบลอเพราะรีบถ่ายรีบขึ้นรถไปเลือกที่นั่ง เดี๋ยวไม่ได้ที่นั่งตามที่หวัง ฮ่ะๆๆๆ

    อย่างที่บอกไปว่านี่คือรถบัสนอน ดังนั้นที่นั่งก็จะเป็นลักษณะที่แบบยาว ยืดขาได้สบาย ปรับเบาะนั่งให้ตั้งเพื่อนั่งและนอนได้ตามใจชอบ เคยอ่านรีวิวมามีคนบอกว่าไม่สามารถปรับเบาะได้ เพราะเบาะบังคับให้ต้องนอนตลอดทาง แต่จากที่พิสูจน์มากับตัวเองนั้น ขอบอกเลยว่าเบาะนั่งของรถบัสนอนนี้สามารถปรับเบาะได้จะนอนก็เอนเบาะ จะนั่งก็ปรับเบาะให้ตั้งได้ มันดีงามมากจริงๆ บนรถก็จะเรียงกัน3แถว แถวละ2ชั้น จะนั่งตรงไหน บนหรือล่างก็เลือกได้เองตามสบายเลย ไม่สามารถจองที่นั่งล่วงหน้าได้ ก็ประมาณว่าใครไปก่อนก็เลือกที่นั่งได้ก่อน (บนบัสมีห้องน้ำ WiFiนะ)

    คำเตือนสำหรับการใช้บริการรถบัสนอนคือ เนื่องจากทุกคนต้องถอดรองเท้าขึ้นรถและในรถก็มีคนจำนวนมาก จึงทำให้มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์(กลิ่นเท้า)จากหลากหลายคนตลบอบอวลไปทั่วรถตลอดการเดินทาง6ชม.กว่าๆ ดังนั้นขอแนะนำให้เตรียมยาดมไปเหมือนผมด้วยจะดีมาก เพราะมันเหม็นม๊ากกกกกกก ยาดมช่วยได้เยอะเลยทีเดียว เอ๊ะหรือกลิ่นเท้าตัวเอง ก็ไม่น่าใช่นะเพราะลองดมดูแล้วก็ไม่มีกลิ่น 555+ ตอนนั้นคือแบบไม่ไหวละ อัดยาดมคาจมูกแม่งเลย ไม่งั้นมีสลบแน่ๆ (ดูสีหน้ากูเอาเองนะ) ได้เวลาออกเดินทางกันละ เจอกันอีกทีซาปานะ ส่วนคืนนี้หลับฝันดี Zzzz

    รถบัสจะแวะระหว่างทางประมาณ3ครั้ง สามารถลงไปเข้าห้องน้ำ หาไรกินได้ ครั้งสุดท้ายจะแวะที่ปากทางไปซาปาในเมือง Lao Cai จุดตามแผนที่นี้ ก่อนต้องขับรถขึ้นเขาสูงเพื่อไปซาปา ดูจากแผนที่แล้วคืออยู่ชายแดน เวียดนาม-จีน เลยนะเนียะ เห็นคุนหมิงไหม โหหหห ใกล้เมืองใหญ่ของจีนซะด้วย รวดไปเที่ยวคุนหมิงดีไหมเนียะ 555+


    Day 2  28 July 2018 ​ 

    GOOD MORNING SAPAAAAAAAAAAA เดินทางมาถึงปลายทาง ซาปา ประมาณตี5.30 ซึ่งถึงไวกว่ากำหนดด้วยนะ เช้าแรกที่ซาปาก็ต้องตกใจกับอากาศที่หนาวเย็น 17องศา แต่เอาเข้าจริงๆมันก็ไม่ได้หนาวมากนะ กำลังเย็นๆสบายๆ ชอบอากาศแบบนี้ 

    ลงจากรถได้ไม่ทันไรน้องฝนก็ตกลงมาต้อนรับนักเดินทางทั้งหลายซะละ แต่ไม่หนักมากก็ยังดีไป พอเอากระเปาออกมาปุ๊บก็เปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าแตะ กางร่มสักหน่อย แล้วไปบอกลา2ฝรั่งเศสที่เจอกันในฮานอย เพราะ2คนนี้ต้องเดินทางต่อไปอีกที่ เห็นบอกว่าไกลออกไปอีก3ชม.จากซาปา โหหห เดินทางมาราธอนเลยนะ

    จากนั้นก็เดินจากจุดจอดรถ เดินไปเรื่อยๆเพื่อไปหาร้านเช่ามอไซค์ ฝนก็ยังคงตกไม่หหยุด ดีนะใส่ขาสั้น รองเท้าแตะ ไม่ต้องกลัวเปียก

    พอเดินไปได้สักพักก็เจอร้านเช่ามอไซค์ โชคดีมากนะที่ร้านเปิดเช้า ก็ทำเรื่องเช่ามอไซค์สำหรับ3วัน ราคาก็ตกที่ 340,000VND = 480THB ราคานี้สำหรับ3วันถือว่าถูกมากเลยนะ ทางร้านก็จะเก็บพาสปอร์ตไว้เป็นหลักประกัน ดังนั้นควรถ่ายรูปหน้าพาสปอร์ตไว้สำหรับใช้เช็คอินที่พักนะ ดีที่ถ่ายรูปเก็บไว้อยู่แล้ว ไม่งั้นไม่รู้ว่าจะเกิดไรขึ้นเป่า

    นี่ไงงงงง ได้บัดดี้นำทางคู่ใจมาแล้ว ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะเจ้าถิ่น ขอให้ปลอดภัยจากการขับขี่ที่นี่ด้วยนะ 555+ เนื่องจากฝนตก จะให้กางร่มแล้วขับมอไซค์ก็น่าจะไม่ไหว ก็เลยหาร้านขายเสื้อกันฝนสักตัว ก้ได้ตัวนี้มา ราคาเท่าไหร่วะ เอ่อจำไม่ได้ละ ตอนนั้นคือจ่ายๆไป ขอให้มีเสื้อกันฝนก็พอ ความจริงมันจะมีกางเกงกันฝนติดมาด้วย แต่มันเกะกะอีกทั้งใส่ขาสั้นอยู่ละเลยไม่ใส่กางเกงกันฝนละกัน เปียกแค่ขาสบายๆ คลุมตัว คลุมกระเป๋า โอเคพร้อมแล้ว

    ตอนนี้ก็ได้มอไซค์สำหรับแว๊นเที่ยวซาปาละ เปิดแผนที่ต่อแล้วขับหาที่พัก เนื่องจากว่าเช้ามาก หมอกหนา บวกกับฝนตกจึงต้องขับอย่างระมัดระวัง อ้อ เวียดนามขับมอไซค์เลนขวานะ กูนี่เผลอไปขับเลนซ้ายหลายครั้งละ และแน่นอนโดนบีบแตรใส่ไม่ยั้งเลยล่ะ 555+ เวลาขับมอไซค์ที่นี่ก็อย่าไปตกใจกับเสียงแตรที่ได้ยินล่ะ มันคือเรื่องปกติของที่นี่ ตอนแรกก็ งง ว่ากูไปทำไรผิดวะถึงบีบแตรใส่กูงี้ ฮ่ะๆๆ ก็น่าจะจริงแหละ 

    เปิดแผนที่เพื่อหาที่พักเช่นเคย ​พอขับไปเรื่อยก็ไปถึงที่พัก ตอนนี้ก็เวลา 06.50น. โอ้โหหหหคือถึงที่พักเช้ามากกกกกกกกกกกก ก็ทำเรื่องเช็คอินว้ก่อน แต่ยังไม่สามารถเข้าห้องพักได้ เพราะต้องรอเวลาเช็คอินคือ 12.00น. รอออออวนนนนนไป วางเป๋าไว้ที่นี่จนกว่าจะได้เข้าห้องพักละกัน

    หลังเช็คอินเสร็จก็ไปไปนั่งพักที่ระเบียง แว๊บแรกที่เห็นวิวจากโฮสเทลคือแบบ เหี้ยยยยยยยยยยยยย วิวทิวทัศน์แม่งโคตรคูลลลสัสมากก คือที่พักหลักร้อย วิวหลักล้านมันเป็นแบบนี้นี่เอง ชมวิวเพลินเลยคือเพลินจริงๆ มันเหมือนฝัน ไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

    มาตอบคำถามที่ว่า “ทำไมถึงเลือกที่พักนี้ล่ะก็” นี่เลยวิวจากที่พักคือเหตุผลหลักเลยที่เลือกพักที่นี่ วิวจากห้องพักยิ่งแล้วใหญ่คือดูจากเตียงนอนก็เห็นวิวแจ่มๆแบบนี้เลย แถมราคาแม่งก็โคตรถูก 3คืนที่พักที่นี่จ่ายไปเพียงแค่ 630บาท ใช่ราคานี้เลย ไม่ผิดแน่นอน คือประทับใจกับโฮสเทลแห่งนี้มากๆ เตียงก็ใหญ่ ครบครัน สะดวกสบาย พนักงานก็ใจดี บอกตรงๆเลยว่าปลื้มโฮสเทลนี้มากๆ แนะนำๆ

    คือจะบอกว่าตลอดระยะเวลา4วัน3คืนที่พักที่นี่ได้เห็นวิวสายหมอกที่สวยงามแบบนี้ทุกกกกกกวันเลยและไม่เบื่อด้วย

    นั่งรอเวลาก็นานละ ตอนนี้ก็08.30น. แล้วแต่ฝนก็ยังคงตกปรอยๆไม่หยุด ซึ่งจะรอให้ฝนหยุดตกแล้วค่อยออกไปเดินก็คงไม่ได้ละ เสียดายเวลา เลยติดสินใจเดินออกไปสำรวจรอบๆเมืองซาปาละกัน ก็เดินไปทั้งที่ฝนยังลงอยู่นี่แหละ

    บ้านเมืองที่นี่จะออกแนวตะวันตกซะส่วนใหญ่ เพราะเคยเป็นเมืองตากอากาศของเหล่าทหารฝรั่งเศสมาก่อนในอีดต จากที่อ่านมาก็ประมานี้นะ ไม่แน่ใจเหมือนกัน ฮ่ะๆๆ 

    อากาศที่ซาปาคือดีมากนะ หมอกหนา เย็นสบายมากๆ แต่เห็นคนอื่นใส่เสื้อคลุมกันหนาวแล้วแบบ เห้ย!! มันหนาวขนาดนั้นเลยเหรอ นี่กูใส่ขาสั้น ไม่สวมแขนยาวยังไม่หนาวเลย แต่กลับชอบมากด้วยซ้ำ แต่ก็นะ บางคนอาจจะไม่ชอบก็ได้ ไม่ว่ากัน แต่สงสัย ฮ่ะๆๆ  

    เดินไปเรื่อยๆจนมาถึงจุดศูนย์กลางของเมืองซาปา บริเวณลานหน้าโบสถ์คริสต์ หลายๆคนมาก็จะถ่ายรูปกับโบสถ์แห่งนี้ แต่คนอยู่แถวนั้นเยอะมาก ถ่ายออกมายังไงก็คงหลีกไม่พ้นคนแน่ๆ ก็ได้แต่ถ่ายแบบนี้แหละ และบริเวณในเมืองซาปาก็ตามรูปนี้เลย ดูรูปวนไปก่อนนะ  

    บริเวณนี้คือจุดศูนย์กลางของเมืองซาปาเลยก็ว่าได้นะ เพราะแถวนี้คือเหมือนเป็นจุดนัดพบปะกันของคนที่นี่เลย

    จากที่เดินผ่านร้านอาหารในเมืองซาปามานั้น ร้านนี้ถือว่าเป็นร้านที่นักเดินทางฝรั่งนิยมเข้าไปกันนะ ฝรั่งเยอะมากกก

    เดินไปเรื่อยๆ ระหว่างเดินขึ้นเนินก็ไปสะดุดตาเข้ากับต้นองุ่นเกาะตามบ้านหลังนี้แล้วรู้สึกชอบอ่ะ มันดูสวยดี ออกผลแล้วด้วย ว่าจะเก็บกินแต่ก็กลัวโดนด่า ฮ่ะๆๆๆ  

    เอาละดิคือเริ่มหิวข้าวละ ไม่รู้จะกินไร เดินไปเรื่อยๆเผื่อจะเจอร้านอาหารโดนๆ แต่ก็ไม่โดนเลย จนกระทั่งเห็นร้านซาลาเปาก็ลองชิมซาลาเปาของซาปาสักหน่อย เป็นไส้ผัก+หมูสับ เอ่อก็อร่อยดีนะ กินตอนอุ่นๆ อากาศเย็นๆคือเข้ากันดีมากๆ

    ตอนนี้ก็เดินมาบนเนินที่ค่อนข้างสูงแบบไม่รู้ตัวละ ตอนนี้คือเดินไปเรื่อยๆโดยดูแผนที่บ้าง เผื่อหลง แต่ก็ไม่หลงนะ

    ตอนนี้คือ10โมงเช้ากว่าแล้ว แต่หมอกยังคงปกคลุมทั้งเมืองอยู่เลย เย็นสดชื่นนนนนนมากๆ เดินกลับลงมาในเมืองอีกที ก็แวะไปเดินดูตลาดเช้าของซาปา ส่วนใหญ่จะเป็นชาวเขาที่นำ ของป่า สินค้าหัตถกรรม มาขายกัน

    ตอนนี้ 11.30น. ซึ่งก็ใกล้เวลาเช็คอินละ เลยเดินกลับมายังที่พัก รอไม่นานก็ได้เวลาเข้าห้องพัก ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่มีใครอยู่ในห้องพัก เข้าห้องปุ๊บ สิ่งแรกที่ทำคือวางกระเป๋าแล้วออกไปชมวิวตรงระเบียงห้องพัก เชี้ยยยยยยพีคสุดๆคือวิวแม่งแจ่มแม่งโคตรเจ๋งเลย ตื่นตาตื่นใจก็วิวตรงหน้ายังไม่หายเลย ถ่ายรูปวนไปจนกว่าจะเบื่อ ฮ่ะๆๆ

    และเตียงนี้ก็คือเตียงของผมเอง ใจจริงอยากได้เตียงติดระเบียงเตียงนั้นหน่ะ แต่มีคนอยู่ก่อนแล้วเลยอดไป คืออยู่จากเตียงในห้องพักก็ยังสามารถเห็นวิวภูเขาที่มีสายหมอกปกคลุมได้แบบเต็มๆตาอ่ะ มันแจ่มมากจริงๆชอบว่ะ​

    หลังจากเก็บของเสร็จ อาบน้ำเสร็จก็ออกไปแว๊นมอไซค์เที่ยวละกัน ฝนเริ่มหยุดละ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่อยากละสายตาออกห่างจากวิวสวยๆเลย อยากดูต่อเรื่อยๆ แต่ก็ต้องไปดูที่อื่นด้วยไง ฮ่ะๆๆ ยังมีเวลาชมวิวตรงนี้อีกหลายวัน แหะๆ

    ตอนนี้ก็เวลา13.00น. แล้วได้เวลาออกไปตระเวนรอบๆแล้ว ตอนแรกก็วางแผนมาละแหละว่าจะไปไหนบ้าง แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ไปตามที่วางแผนไว้ ฮ่ะๆๆ ขับออกจากที่พักได้ไม่นาน ก็มีสาวแปลกหน้าเวียดนามคนหนึ่งโบกมือให้หยุด เลยหยุดแล้วถามว่ามีไรเปล่า นางพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ก็บอกว่า "Go home Ta Van กลับบ้านที่ตาฟาน" ประมาณว่าขอติดรถกลับบ้านด้วยนะ ก็บอกไปว่า ไม่ได้ไปทางนั้นนะ นางก็บอก Go go และก็ขึ้นรถโดยที่กูยัง งงๆอยู่ ห๊ะะะะะะ!! ฮ่ะๆๆ

    เอาวะขึ้นมานั่งขนาดนี้แล้ว จะไล่ลงก็กะไรอยู่ ไปส่งก็ไปส่งวะ พยายามมองโลกในแง่บวกเข้าไว้ แต่ไปด้วยความไม่เต็มใจเพราะความจริงแล้วคือกลัวและระแวงมาก กลัวว่ามันจะจี้จะปล้นจะฆ่าชิงทรัพย์ไหม วันนี้เสือกพกเงินมาทุกบาททุกสตางค์ซะด้วย ตอนนั้นคือระแวงมาก รีบขับจะได้รีบไปถึงบ้านนาง พอขับไปได้ไม่นานนัก ด้วยความระแวงและไม่ไว้ใจก็เลยพยายามมองกระจกอยู่ตลอดทางว่านางจะทำไรกับประเป๋าเป้ไหม 

    ตอนนั้นก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเสียบไอโฟนไว้กระเป๋าด้านข้าง แต่จำไม่ได้ว่าข้างไหน ตอนนั้นจึงเอามือซ้ายเช็คช่องกระเป๋าด้านซ้ายดู ซึ่งพบว่ามือถือหายไปไหนแล้ว ทำไมไม่มีในช่องเป๋าด้านข้าง จึงรีบเบรครถกระทันหันและพูดขึ้นด้วยความกลัวและใจเต้นนิดๆว่า "You steal my phone คุณขโมยมือถือฉัน" นางก็น่าจะฟังไม่ออกหรอก เลยรีบเอากระเป๋าเป้มาเช็คอีกครั้ง ตึ่งโป๊ะ มือถือเสียบอยู่ด้านขวาจ้าาาาาา อายนิดนึง ดีนะที่นางฟังไม่รู้เรื่องและเอาแต่ยิ้มให้ กูก็ยิ้มตอบแล้วบอก Sorry และขับไปต่อ โดยที่มือซ้ายจับมือถือไว้ ฮ๋ะๆๆๆ 

    แต่ถึงอย่างนั้นแม่งก็ยังระแวงอยู่ดี ในหัวนี่คือแบบจินตนาการไปไกลมาก อยากรู้ไหมว่าจินตนาการว่าไง คือจินตนาการว่า มันจะพากูไปในที่ๆไกลหาพรรคพวกมันแล้วเรียกค่าไถ่ไหมวะ จะพากูไปฆ่ากลางป่าไหมวะ ตอนนั้นคือคิดแต่ว่าเอาไงดีๆ เมื่อไหร่จะถึงบ้านมันวะ แต่ระหว่างทางก็แอบสังเกตเห็นว่านางพยายามเอามือล้วงกระเป๋าข้างที่เสียบแบตสำรองไว้ ตอนนั้นคือคิดว่าทำไมกูต้องมาเจอไรแบบนี้ด้วยเนียะ 555+

    จนกระทั่งนางสะกิดว่าถึงบ้านแล้ว นางก็ลงรถแล้วบอก Thank you ไอ่เราก็ You're welcome ไม่เป็นไร แล้วก็รีบสตาร์ทมอไซค์ออกไปจากพื้นที่เขตนั้น ฮ่ะๆๆ คือยังกลัวว่าจะมีคนตามหลังมาอีกไง จนขับไปได้ไกลพอสมควรละถึงสบายใจ

    วันนี้ก็เลยแบบเอ้าวะ ไหนๆก็ขับมอไซค์ออกมาจากซาปาซะไกลขนาดนี้แล้ว ก็ขอขับไปเรื่อยๆดูไปเรื่อยๆละกัน ยังมีเวลาอีกเยอะกว่าจะเย็น ซึ่งต้องบอกว่าขับไปค่อนข้างไกลเลยทีเดียว ก็ขับไปตามเส้นทางหลัก ไม่ได้เปิดแผนที่ไรเลย เพราะขากลับก็คงกลับเส้นเดิมนี่แหละ

    ระหว่างทางก็ได้เห็นวิวสองข้างทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ทุ่งนา แม่น้ำ ภูเขา หมู่บ้านและผู้คนมากมาย ถูกใจวิวตรงไหนก็จอดละก็แชะภาพให้เต็มที่ไปเลย

    แต่ในขณะที่ขับมอไซค์กลับนั้นได้เห็นเด็กน้อย2คนกำลังเล่นน้ำอยู่ เลยแวะจอดแล้วเข้าไปทักทายน้องๆ แต่เสียดายที่น้องๆพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ พูดได้ไม่กี่คำคือคำว่า Hello, Money Money เอาแล้ววววว ฮ่ะๆๆๆ เลยบอกไปว่า No Money ก็ยืนดูตรงนั้นแป๊บๆก็แว๊นออกไปต่อ

    ขับออกมาได้สักพักก็เจอจุดที่ทุ่งนาสวยๆ มีภูเขาใหญ่เป็นพื้นหลัง พูดจากใจจริงนะถึงแม้เมืองไทยจะมีแบบนี้ก็จริง แต่ส่วนตัวก็ยังไม่เคยเห็นทุกนาที่สวยเหมือนซาปาเลยนะ แบบนี้ต้องตั้งกล้องแล้วเข้าไปยืนเก๊กท่าถ่ายรูปสักหน่อย

    เอ่อว่าแต่มันคือป้ายอะไรล่ะ ก็ลองอ่านแบบภาษาอังกฤษ ลองสะกดดู แต่ก็นะ อ่านไปก็เท่านั้นเป่าวะ อ่านไปก็ไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่รู้ว่าอ่านถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ ก็เลยลองถามเพื่อนคนเวียดนามดูว่ามันแปลว่าอะไร เพื่อนก็บอกว่าเป็นป้ายเกี่ยวกับการรณรงค์ "การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม"

    ตลอดสองข้างทางที่ขับผ่านคือเต็มไปด้วย ทุ่งนาเขียวขจีที่ดูแล้วสวยงามและสดชื่นมากๆ อดที่จะแชะรูปไม่ได้จริงๆ

    ขับไปเรื่อยๆ สายตาก็ไปสะดุดเห็นป้ายซาปาหลักกิโลเมตรที่ 14 ละคือแบบ เอ่อ มันดูเจ๋งดีแห๊ะ คือมึงขับมาตั้งไกลแล้วเพิ่งมาเห็นป้ายหลักกิโลเมตรเนียะนะ ฮ่ะๆๆ ก็เอาแต่ขับดูวิวอ่ะเนอะ ไม่ได้สังเกตุหลักกิโลเมตร ว่าตัวเองนะ แหะ!

    ไหนๆก็ไหนๆละ จอดมอไซต์ ตั้งกล้อง ตั้งเวลา แล้วก็ไปเก๊กท่าถ่ายรูปสักหน่อย ภาพมันก็จะย้อนแสงหน่อยๆ ตอนถ่ายรูปก็เห็นและได้ยินเสียงเด็กน้อยพูดไรสักอย่างแล้วทุกคนก็หันมาดูที่ผมหมดเลย ได้ยินเขาพูดแว่วๆว่า "ซาปา" ก็เลยหันไปมองครอบครัวนี้แล้วก็ยิ้มกลับให้ทุกคนและทุกคนก็ยิ้มกลับมาเช่นกัน

    คือตอนนั้นเนียะ ครอบครัวนี้เขากำลังล้างเนื้อล้างตัวหลังจากทำนาเสร็จ ดูแล้วอบอุ่นมากๆ เห็นภาพครอบครัวนี้แล้วอดคิดถึงครอบครัวตัวเองเมื่อสมัยตอนยังเป็นเด็กไม่ได้จริงๆ คิดถึงพ่อขึ้นมาทันทีเลย เอ้าๆไม่ดราม่าๆ ฮ่ะๆๆ

    จากนั้นก็ขับรถออกไปเรื่อยๆต่อ เรื่อยๆแบบไม่มีกำหนดการ ไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะทุกที่ที่ขับผ่านคือสิ่งใหม่ๆที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกกับตา ดังนั้นการเที่ยวตะลอนในวันนี้จึงไม่มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนว่าจะไปที่ไหน 

    เอากล้อง GoPro ไปด้วย แต่ก็แทบไม่ได้ใช้ถ่ายไรเลย ใช้แต่มือถือถ่ายรูปทั้งนั้น กล้องCanonก็แทบไม่ได้ใช้ 555

    พอดูนาฬิกาอีกที อหหหหห นี่มันจะ5โมงกว่าๆแล้ว กูอยู่ส่วนไหน ไกลจากซาปาแค่ไหนล่ะเนียะ ไม่ได้การละต้องรีบย้อนกลับซาปาแล้ว แต่ก็ยังไม่กลับนะ ยังขับไปเรื่อยๆอีก

    เพราะไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะกลับถึงซาปา ตอนนั้นฝนก็เริ่มตกลงมาละ ไอ่เราก็รีบบึ่งรถกลับเลย แต่เอาเข้าจริงมันก็ใช้เวลาขับกลับซาปาไม่นานหรอก ประมาณ30นาทีได้ ประมาณ6โมงก็ถึงซาปา 

    หลังจากกลับถึงที่พักก็นั่งชมวิวจากห้องพักสักพัก อาบน้ำแล้วก็ออกไปเดินเล่นในตัวเมืองซาปากันหน่อย วันนี้วันเสาร์ ตอนนั้นอากาศประมาณ18องศา ซึ่งเย็นๆสบายๆนะ ไม่มีขายาวกับคนอื่นเขาหรอ เตรียมมาแต่ขาสั้นก็ทนเย็นไป วันนี้คือคนเยอะมากกกกกกก บรรยากาศก็คล้ายๆถนนคนเดินบ้านเรา 

    แต่ที่นี่จะมีลานกิจกรรมหน้าโบสถ์ที่เหล่าวัยรุ่น เด็กๆ ต่างๆจะออกมารวมตัวกันทำกิจกรรมละเล่นต่างๆ บ้างก็นำสินค้ามาขาย บ้างก็มาจับกลุ่มคุยกัน ละเล่นกีฬาพื้นบ้าน โดดยางกัน เอ่อมันก็ดีแห๊ะ

    เดินไปเรื่อยๆ เดินหาร้านอาหารนะ คือไม่รู้ว่าจะเข้าร้านไหนดีเพราะไม่รู้จะกินไร ก็เลือกร้านที่มี2ชั้น จะได้ชมวิวไปด้วย มื้อนี้เลยกินสปาเก็ตตี้สูตรซาปา+ฮานอยเบียร์ รสชาติก็ถือว่าใช้ได้เลยล่ะ แต่ฝนก็ดันตกลงมาปรอยๆ แต่แป๊บเดียวก็หยุดละ พอกินเสร็จก็ถือขวดเบียร์ลงไปจ่ายตังค์ พนักงานก็บอกว่านำขวดเบียร์ออกนอกร้านไม่ได้นะ โห่ววววกะจะเดินไปดื่มไปสักหน่อย จะดื่มให้หมดในเวลานั้นเลย แล้วเดินออกจากร้าน ฮ่ะๆๆ

    จากนั้นก็เดินกลับไปยังที่พัก เพื่อไปพักผ่อนชาร์จพลังไว้ลุยต่อพรุ่งนี้ คืนนี้หลับฝันดีกับอากาศ 17องศา อ่อ ในห้องพักไม่มีแอร์นะ เป็นห้องพัดลม แต่อากาศเย็นสบาย ไม่ต้องใช้แอร์หรอก สำหรับคืนนี้หลับฝันดี Zzzz

                               

    Day 3  29 July 2018 ​

    สวัสดีตอนเช้า " ซ า ป า " ตื่นมาพร้อมกับวิวสายหมอกปกคลุมเหนือภูเขาที่สวยงามแบบนี้อีกเช่นเคย

    ถามว่าตื่นกี่โมง กินข้าวกี่โมง เนื่องจากว่าที่พักไม่รวมอาหารเช้าก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องรีบตื่นไปกินข้าว ฮ่ะๆๆ ตอนแรกกะว่าจะตื่น6โมงและออกไปวิ่ง แต่เนื่องจากฝนตกหนักเลยออกไปไหนไม่ได้ ก็เลยนอนต่อและตื่นอีกทีตื่น8โมง ตื่นมาอีกทีฝนก็ยังตกไม่หยุด เพื่อนร่วมห้องก็ยังไม่ลุกไปไหนสักคน ก็ออกไปไหนไม่ได้อ่ะนะ ฝนมันตกขนาดนี้ เลยอาบน้ำ แต่งตัวละก็ลงไปสั่งอาหารเช้าเป็นข้าวผัดไก่ใส่ผัก รสชาติบ้านเราอร่อยกว่าเยอะและวิวจากห้องอาหารนี่แจ่มมาก

    และแน่นอนบรรยากาศเย็นสบายแบบนี้มันเหมาะกับการดื่มชาร้อนๆสักแก้วเป็นอย่างมาก ก็ไม่รอช้า สั่งชาเขียวร้อนมาดื่มให้ฟินกันไปเลย พอดื่มชาเข้าไปแล้วร่างกายรู้สึกตื่นตัว สดชื่น ผ่อนคลายมากๆ กินข้าวไป ดื่มชาไป มันใช่สุดๆ

    แต่แล้วพอนั่งกินข้าวเสร็จและกลับขึ้นห้องพักไป หมอกจางๆที่ปกคลุมอยู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นหมอกหนาทึบทันที โอ้โหหหห อะไรจะขนาดนี้น้อ หมอกหนาไม่พอ ฝนก็ยังไม่หยุดตกอีกนะ ออกไปไหนยังไม่ได้ก็นั่งชมวิวนอนเล่นวนไป แต่กว่าสภาพอากาศจะสงบเป็นปกติก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่าๆแล้ว อากาศปกติที่ว่านี้คือ ฝนยังตกอยู่แต่ตกน้อยลง ยังมีหมอกปกคลุมอยู่

    วันนี้เสียเวลาไปกับการเวลาให้อากาศดีขึ้นหรือง่ายๆคือรอให้ฝนตกเบาลงมาครึ่งวันกว่าละนะ เสียดายเวลาจริงๆ ตอนนี้ก็จะบ่ายโมงละ ได้เวลาออกไปตะลอนเที่ยวละ วันนี้ตั้งใจไว้ว่าจะไปหมู่บ้าน Cat Cat (แคท แคท หรือ กั๊ตกั๊ต ก็ไม่แน่ใจเพราะเรียกกันหลากหลายมาก งั้นก็เรียกว่า กั๊ตกั๊ต ละกัน) 

    หมู่บ้านนี้ไม่ไกลจากซาปาเท่าไหร่นะ คือตั้งอยู่ข้างล่างซาปาอ่ะ อยู่บริเวณตีนเขาเลย ขับมอไซค์ไปแป๊บเดียวก็ถึง ก็จอดมอไซค์แล้วเดินไปตามถนน ไม่ได้ซื้อตั๋วในจุดทางเข้าแรกด้านบน แต่เดินไปเรื่อยๆตามถนน ฝนก็ตกลงมาอีกครั้ง เห้อออนะ ไม่เป็นไร ฮำฝนไปนี่แหละ มีเสื้อกันฝนซะอย่างจะกลัวเปียกทำไม จนเจอทางเข้าที่2 ก็เลยซื้อตั๋วในราคา70000ดอง เพื่อเข้าไปเที่ยวในหมู่บ้าน ทางเข้าที่2นั้นจะต้องเดินผ่านทุ่งนาไปก่อน แต่พอถึงหมู่บ้านจริงๆแล้วคือแบบรู้สึกเสียดายตังค์มากๆ ทำไมถึงเสียดายอ่ะเหรอ ก็สภาพแวดล้อม ลักษณะหมู่บ้าน สินค้าต่างๆนั้นเหมือนหมู่บ้านดอยปุยของเชียงใหม่เลย แทบไม่มีไรแตกต่างกันเลย คือเป็นคนที่ไม่ชอบสถานที่แบบนี้อยู่แล้ว แต่ไหนๆก็เข้ามาแล้วก็เดินดูไปเรื่อยๆละกัน

    เนื่องจากฝนที่ตกทุกวันทำไมให้สีของแม่น้ำ น้ำตก กลายสภาพเป็นสีโกโก้กันเลยทีเดียว ไม่เหมือนที่คุยกันไว้เลยนี่

    จะบอกว่าหมดเวลากับหมู่บ้านแห่งนี้ไปชั่วโมงกว่าๆเลยนะ นานพอสมควรนะเสียดายเวลามาก ฮ่ะๆๆ แต่ก็นะไหนๆก็ไปถึงซาปาแล้วไม่ลองไปก็คงไม่รู้หรอกว่าในหมู่นี้เป็นยังไง แต่ตอนนี้รู้ละ ครั้งหน้าก็จะไม่ลงไปอีกละ 555+ แต่ประเด็นที่เสียเวลาไปเยอะคือขาเดินกลับไปยังจุดจอดมอไซค์นั้นอยู่สูงมาก เท่ากับว่าทางเดินขึ้นก็ชันมากเลยล่ะ

    พอขึ้นไปถึงจุดจอดรถแล้วนี่แบบถอนหายใจยาวๆ เหงื่อแตก เหนื่อยสุดๆ จากนั้นก็ไม่ชักช้าให้เสียเวลา รีบแว๊นไปเที่ยวต่อ แต่ตอนนั้นกำลังขับผ่านรางรถไฟที่อยู่เหนือหัว แต่ตอนนั้นรถไฟยังไม่มานะ ก็เลยยืนรอรถไฟอีกประมาณ 10นาทีได้ รอแล้วรออีกกว่าจะมาให้เห็น เพราะหลายๆคนคงเห็นคลิปที่รถไฟเคลื่อนผ่านภูเขาในมุมสูงในเฟซกันแล้ว หลายๆคนคงอยากลองไปนั่งสักครั้ง เพราะอาจจะเป็นไฮไลท์สิ่งหนึ่ง แต่สำหรับผมคืออืมมม เฉยๆนะขอผ่านละกัน

    เมื่อรถไฟเคลื่อนผ่านไปแล้ว เราก็ได้เวลาออกไปตระเวนเที่ยวต่อได้ละ ไปไหนดีล่ะทีนี้ เอาวะ ขับรถกลับไปเส้นทางเดิมของเมื่อวานที่ไปมาแล้วละกัน ไปซ้ำอีกรอบจะเป็นไรไปวันนี้ไปเก็บรายละเอียด ขับลัดเลาะเข้าหมู่บ้านด้วยละกัน

    ปัจจุบันในเมืองซาปานั้นเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง โดยเฉพาะโรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เยอะมากจริงๆนะ

    ระหว่างทางนั้นได้เห็นน้องกำลังอาบน้ำให้น้องควาย โดยที่ควายนั้นนั่งอยู่ในแอ่งน้ำราวกับว่าแช่น้ำอยู่ในอ่างจากุซซี่เลยนะนั่น เป็นภาพที่น่ารักมากๆ เห็นแล้วยิ้มตามกันเลยทีเดียว สีหน้าน้องควายนี่ก็แบบฟินมากๆเลยล่ะ

    นั่งแช่น้ำเย็นๆสบายเลยนะมึงงงงงง อยากเล่นน้ำบ้างจังเลย ฮ่ะๆๆ น้ำไหลมาจากภูเขาซะด้วย คงเย็นชื่นใจแน่ๆ

    และไม่ไกลกันนั้นก็มีน้องเลี้ยงควายอีกคน กำลังยืนเฝ้าควายอยู่ พอหันกล้องที่กำลังถ่ายวิดีโออยู่รน้องก็โบกมือเต้นไปมา และทักทายกลับมาว่า Hellooooooo ดังๆ ฮ่ะๆๆ น่ารักมากๆเลยเนอะ เด็กไร้เดียงสาจริงๆ

    แต่วันนี้เจอเรื่องระทึกอย่างหนึ่งที่เจ็บปวด ขำ ตลก ปะปนกันไป ประเด็นคือระหว่างที่ขับมอไซค์ไปเห็นวิวสวยมากๆ ใจก็อยากลงไปถ่ายรูปนะ แต่หาทางลงไม่ได้ แต่ทันใดนั้นมีลุงคนหนึ่งขี่มอไซค์ขึ้นมาจากทางแคบๆ ไอ่เราก็เลยลองขับไปดูว่าลงได้ไหม สรุปว่าลงได้ ก็เลยตัดสินใจขับมอไซค์ลงไปตามทางเทคอนกรีต แต่ทางชันมากนะ ต้องขับดีๆ พอขับมาได้ครึ่งทางก็เห็นป้ายสีน้ำเงินด้านซ้ายของรูปบนที่เขียนติดว่า "ห้ามนักท่องเที่ยวขับมอไซค์ลงไปในพื้นที่นี้" โอ่ววววว ไม่ทันละไหม กูขับลงมาขนาดนี้แล้ว ก็เลยหาที่จอดมอไซค์ แต่เอ้าไหงเป็นทางตันซะงั้น แต่ก็ขับลงมาได้ไกลละ และนี่คือจุดสิ้นสุดของถนน

    ก็เลยจอดแล้วก็ถ่ายรูปมุมนี่นั่นวนไปเรื่อยๆ เจอลุงเจ้าของทุ่งนาก็ยิ้มให้แล้วแกก็ถามว่ามาจากไหน ก็ตอบไปว่า ไทยแลนด์พร้อมรอยยิ้ม จากนั้นแกก็บอกว่าขอให้สนุกนะ แล้วก็เดินเข้าบ้านไป ระหว่างที่เดินถ่ายวิดีโอแล้วเดินขึ้นไปบนคันนานั้นก็ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นคือขึ้นไปเหยียบก้อนหินแล้วลื่นล้มตกคันนา ท้องกระแทกกับก้อนหิน เลนส์กล้องหลุดหายไปไหนไม่รู้ ได้แผลที่ขาทั้ง2ข้าง แต่โชคดีที่ไม่ได้ปล่อยมือถือหลุดไปด้วย ถ้าปล่อยนี่งานเข้าแน่ๆ

    ถอดถุงเท้า รองเท้า แล้วรีบไปล้างแข้งล้างขาลบรอยวีรกรรมครั้งนี้ให้เหลือน้อยที่สุด จะได้ไม่ต้องมีใครมาถาม 555+

    รอยเปื้อนที่เสื้อคือรอยจากการที่หน้าท้องไปกระแทกกับก้อนหินตอนล้ม ตอนนั้นคือจุกมากกกก หายใจไม่ออกด้วย

    สภาพรอยบาดแผลที่ขาทั้ง2ข้าง ตอนนี้คือเจ็บมากกกกกกกก ยาก็ไม่มีเลยต้องทนเจ็บไปก่อน ตลกก็ตลก เจ็บก็เจ็บ

    และทั้งหมดนี่คือสภาพหลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ความจริงมีคลิปตอนลื่นล้มติดมาด้วยนะ สภาพนี่เละตุ่มเป๊ะเลยเปื้อนหมด จากนั้นก็รีบไปหาเลนส์กล้องก่อน ตกอยู่แถวนั้นแหละ แล้วรีบมาล้างไม้ล้างมือ ก่อนที่คนอื่นจะมาเห็น ฮ่ะๆๆๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็เกิดขึ้นจากความไม่ระมัดระวังของตัวเองทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

    ถามว่าลื่นล้ม บาดเจ็บ ได้แผลมาแล้วทำไงต่อ ก็เที่ยวต่อดิเนอะ ไม่ได้บาดเจ็บไรมากขนาดนั้น นักรบย่อมมีบาดแผลเป็นธรรมดา ทำทุกเวลาให้มีความสุขและสิ่งที่เกิดขึ้นก็ถือว่าเป็นประสบการณ์+ความทรงจำอย่างหนึ่งของทริปนี้ด้วย

    ณ ตอนนั้นคือรู้สึกแบบว่าทุ่งนาแถวนี้เป็นของเราหมดเลย เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวหรือชาวบ้านแม้แต่คนเดียว ฮ่ะๆๆๆ มันเงียบสงบ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ มีเพียงแต่เสียงลมที่พัดผ่านมาและพัดกระทบกับใบข้าว เสียงสัตว์ต่างๆ เช่น แมลง กบ นก และเสียงแม่น้ำที่ไหลผ่านบริเวณด้านล่าง เสียงธรรมชาติเหล่านี้เป็นเสียงที่ไพเราะยิ่งกว่าเสียงเพลงซะอีก

    เอาละ!! เจอมุมเจ๋งๆละ ตั้งกล้องปรับมุมในตำแหน่งที่ชอบ ตั้งค่าเวลา กดชัตเตอร์ แล้วไปยืนเก๊กท่าถ่ายรูปสักหน่อย 

    รูปนี้เป็นรูปที่ถ่ายซ้ำ2-3ครั้ง เพราะกะระยะเข้ากล้องผิด ไกลเกินบ้าง ใกล้เกินบ้าง กว่าจะได้สักภาพใช้เวลาเนอะ แหะ

    และแน่นอนรูปนี้คือรูปที่เป็นประเด็นมากที่สุด เพราะหลายๆคนถามมาว่า "เห้ย ไปคนเดียวจริงเหรอวะ" "ถ่ายคนเดียวจริงเหรอวะ" "ใครถ่ายให้วะ" เอ่อออออกูบอกแล้วไงว่าไปคนเดียวววว จะโกหกเพื่อไรกันเล่า รูปนี้ก็แค่ตั้งกล้องถ่ายด้วยโหมดวิดีโอแค่นั้นเอง แล้วก็เอามาตัดเป็นภาพนิ่งนะ ไม่ได้ยากไรเลย ใครที่เที่ยวคนเดียวบ่อยๆน่าจะรู้นะ

    เดินลัดเลาะเส้นทางคันนาไปเรื่อยจนสุดปลายทางที่แม่น้ำขนาดใหญ่ที่มีทุ่งนารายล้อมและมีภูเขาขนาดใหญ่เป็นพื้นหลัง ซึ่งมันเป็นจุดหนึ่งที่สวยงามมากๆ เห็นแบบนี้แล้วลืมเจ็บไปชั่วขณะเลยนะนั่น ฮ่ะๆๆๆ

    เห็นไหมล่ะว่าเจ็บแค่ไหนก็ยังยิ้มได้ อย่าให้ความเจ็บปวดทำลายเวลาแห่งความสุขดิ ต้องเที่ยวให้สนุก เดี๋ยวแผลมันก็หายเจ็บเอง คืออยู่บริเวณนี้ค่อนข้างนานพอสมควรเลยนะ เพราะชอบแถวนี้มาก 

    ดูเวลาอีกทีตอนนี้ก็ปาเข้าไป 17.20น. แล้ว ใกล้เวลากลับซาปาแล้ว แต่วันนี้ไม่รีบเพราะรู้แล้วว่าระยะทางที่ขับออกมานั้นใกล้ไกลจากซาปาแค่ไหน ก็ยังคงแว๊นมอไซค์ชิลๆวนไป ที่นี่สามารถเห็นน้ำตกได้ตามข้างทางง่ายมากๆ

    และน้ำตกเหล่านี้นั้นจะไหลผ่านตัดกลางถนนเลยนะ นั่นก็หมายความว่าต้องขับมอไซค์ฝ่าน้ำที่ไหลตัดถนนไงล่ะ

    วิวจากข้างทางก็มีหลายจุดมากมายที่สามารถแวะถ่ายรูปได้ มาคนเดียวก็ถ่ายคนเดียวอ่ะเนอะ มันก็สนุกดีนะ แหะๆ

    ตอนนี้ก็ใกล้จะ6โมงเย็นละ เลยต้องแว๊นกลับซาปาแล้ว ขากลับก็เช่นเคย โดนฝนตกใส่อีกละ ฮ่ะๆๆ พอกลับถึงที่พัก สิ่งแรกที่ตกใจมากคือ ส้นรองเท้าพังพินาศไปข้างหนึ่งแล้วโว้ยยยยยยยย ชิปหายละ แล้วพรุ่งนี้จะเอาที่ไหนมาใส่ละเนียะ โอเค ตอนนี้ทำไรไม่ได้ก็ปล่อยไว้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้ละกัน มันคงพังจากที่ลื่นล้มที่คันนานั่นแหละ ฮ่ะๆๆ

    หลังกลับถึงที่พัก อาบน้ำเสร็จก็ต้องออกไปหาไรกินละ มื้อเที่ยงวันนี้ไม่ได้กินไรเลยนอกจากน้ำเปล่า แต่ก่อนจะเจอร้านอาหารก็ไปเดินดูก่อน แล้วแวะซื้ออัลมอนด์ถุงละ70บาท 3ถุง เอาไปเป็นของฝาก แม่ค้าพูดอังกฤษไม่ได้อีกแล้ว เอาไงล่ะทีนี้ แต่ภาษามือก็สามารถแก้ปัญหาการสื่อสารได้ดีเลยนะ ยกถุงอัลมอนด์ขึ้นมา1ถุงพร้อมนิ้วชี้1นิ้วและถามว่าเท่าไหร่ เขาก็คงเข้าใจนะ ก็เอาเครื่องคิดเลขมาจิ้มๆแล้วให้ดูราคา เท่านั้นก็สิ้นสุดการซื้อขายอัลมอนด์ ฮ่ะๆๆๆ

    จากนั้นก็เดินกลับย้อนลงมาแล้วเข้าไปร้านอาหาร ชื่อร้านไรไม่รู้จำไม่ได้ หรือ ไม่ได้ดูชื่อร้านเลยก็ไม่แน่ใจ เมนูอาหารที่สั่งก็จะประมาณนี้ เอ่อ ชื่อเมนูก็จำไม่ได้เหมือนกันนะ รสชาติก็กินได้ ไม่ได้แย่ไรมาก

    แต่เมนูที่เซอไพรซ์มากที่สุดคือ Vegetable Soup หรือ ซุปผัก ตอนออเดอร์ก็จินตนาการเอาว่าคงเป็นน้ำซุปใส่ผักมาด้วย แต่พอพนักงานมาเสิร์ฟคือ งง ว่าเมนูไรวะ กูสั่งด้วยเหรอ ก็เลยถามพนักงานว่า "โทษนะครับ นี่เมนูอะไรครับ" พนักงานก็ตอบว่า "ซุปผักค่ะ" จ้าาาาาาาซุปผักนี่เอง อ่ะๆลองชิมๆ ชิปหายยยยยย ซุปไรเนียะ รสชาตินี่แบบ โอ่ววว รับประทานไม่ได้จริงๆ กินละจะอ้วก ฮ่ะๆๆๆ ซุปถ้วยนี้ก็เลยเหลือไว้แบบนี้แหละ ฮ่ะๆๆๆๆ

    และแน่นอน เบียร์ฮานอย คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ด้วยความที่ราคาถูกและรสชาติดี มื้อนี้ก็เลยจบลงที่เมนูนี้กับเบียร์ฮานอย

    พอกินข้าวเย็นเสร็จก็เดินกลับที่พัก ไปนั่งฟังเพลงที่ล๊อบบี้ พูดคุยกับพนักงานเกือบ5ทุ่ม แล้วก็กลับเข้าห้องพัก

    พอขึ้นห้องปุ๊บบบ มีสมาชิกใหม่มาเพิ่มเป็นสาวไต้หวัน แต่ดึกแล้วก็เลยไม่ได้พูดคุยไรมาก ทักทายแล้วเข้านอนสำหรับคืนนี้ก็ GOOOOOOOD NIGHT ครับทุกค๊นนนนนนนนนนนนนนนนนน  : )

                                

    Day 4  30 July 2018 ​
    GOOOOOOOD MORRRRRNING EVERYONE  วันสุดท้ายแล้ววววนะที่จะได้อยู่ซาปา

    เช้านี้เองก็ตื่นเช้าพร้อมกับความหนาแน่นของหมอกที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณเช่นเคย หมอกหนาไม่พอ ฝนก็ตกเหมือนทุกๆเช้า อดออกไปวิ่งออกกำลังกายอีกละ แต่ถึงไม่ตกก็คงจะออกไปวิ่งไม่ได้ เพราะรองเท้าได้พังไปเรียบร้อยแล้ว ฮ่ะๆๆ ก็เลยอาบน้ำ ล้างหน้า แต่งตัว นอนเล่นมือถือสักพักแล้วก็ลงไปทานอาหารเช้าที่ล๊อบบี้

    สำหรับมื้อเช้าวันนี้กินไรดี นั่งเปิดดูเมนูพลิกไปพลิกมา มีไรใหม่ๆน่าลองบ้างเนียะ สรุปว่ากิน แพนเค้กหน้ากล้วย เอ่อไม่รู้เรียกชื่อถูกรึเปล่านะ อย่าใส่ใจเลย คือแพนเค้กเอาแอปเปิ้ลมาวางแล้วราดน้ำผึ้ง สั่งชาเขียวร้อนๆ1แก้ว อาหารเช้ามื้อนี้ก็ฟินไปกับบรรยากาศที่รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่เหมือนสายหมอก ดื่มด่ำให้ฟินลืมไปเลย อิ่มละ เอาไงต่อดี!!

    ตอนนี้ก็ประมาณ9โมงกว่าๆนิด ฝนก็เริ่มซาลงแล้ว วันนี้เลยมาคิดๆดูว่าไป Trekking เดินป่า ดีไหมนะ แต่ก่อนอื่นไม่มีรองเท้าเดินป่าไง เพราะมันพังไปแล้ว ก็เลยออกไปหาซื้อรองเท้าแบบใส่ชั่วคราวสำหรับไปเดินป่าละกัน พอเก้าวออกจากที่พักปุ๊บ ทันใดนั้นก็มีป้าชาวม้งวิ่งเข้ามาทักอย่างไวและถามว่า "สวัสดี มาจากไหน ชื่ออะไร วันนี้มีแพลนจะไปที่ไหน ไปเดินป่ากันไหม" ตอนนั้นก็แบบยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็เลยตอบไปว่า รอแป๊บนะ ผมขอไปซื้อรองเท้าก่อน ซึ่งร้านขายรองเท้าก็อยู่ใกล้ๆโฮสเทลนั่นแหละ ป้าก็ยืนรออยู่หน้าร้าน ในขณะนั้นก็คิดอยู่ว่าเอาไงดี ไปกับป้าเขาไหม หรือ ไปหาคนอื่นดี พอซื้อเสร็จป้าก็ชวนอีกรอบ ป้าก็ยังถามอีกว่ามาได้กี่วันแล้ว ไปเที่ยวไหนมาบ้าง ไปเดินป่าไหม

    ก็เลยบอกว่ามาได้3วันแล้ว ระแวกนี้ก็ไปมาเกือบหมดแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปเดินป่าเลย ผมสนใจจะไปเดินป่านะ ป้าก็เลยบอกว่างั้นดีเลย เดี๋ยวป้านำทางไปให้ ราคาอยู่ที่ 50 USD ตอนแรกก็แบบ เห้ยไมแพงจังวะ แพงเกินไป รู้สึกเหมือนจะโดนโกงก็ตรงนี้แหละ ป้าก็บอกว่ายูอยากได้ราคาเท่าไหร่ล่ะ ลองบอกมาสิ ก็เลยบอกไปว่า 40 USD โอเคไหม แต่แล้วป้าก็ไม่เข้าใจเลขภาษาอังกฤษอื่นนอกจากคำว่า 50ดอลล่าส์ เห้ออออออ เอาไงดี ก็เลยจิ้มจำนวนเงินเป็นเวียดนามดองให้ดู ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เลยให้เจ้าของร้านรองเท้าอธิบายให้ จนตกลงไปกับป้าและอีก2คนที่ติดตามป้า

    ส่วนตัวคือรู้สึกตะหงิดๆกับราคาเดินป่านี้นะ ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังเลขผิดจาก ฟิฟทีน15 เป็น ฟีฟตี้50 รึเป่า ก็เลยบอกว่า "โอเค ไม่ต่อราคาละนะ เดี๋ยวฉผมจ่ายให้50ดอลละกัน 50ดอลเนียะสำหรับ3คนนะ ผมจะไม่ซื้อสินค้าใดๆหลังจากเดินเสร็จนะ แต่ขอจ่ายเป็นเงินไปเลย" เพราะปกติชาวม้งที่นำทางเที่ยวจะเสนอขายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยวหลังจากเดินป่า ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านั้นเลยตกลงกันไว้ก่อน ฮ่ะๆๆ ตอนแรกป้าจะพาไปทางหลักที่รถสัญจรไปมา ก็เลยบอกว่าผมไปทางนั้นมาหมดแล้ว 2-3รอบแล้ว ผมอยากไปเดินเส้นทางในป่า ไม่ใช่เส้นทางคอนกรีตนี้นะ ในใจคิดละว่า แน่ะๆกะจะสับขาหลอกกูอ่ะดิ นึกว่ากูรู้ไม่ทันอ่ะดิ ไม่ได้กินกูหรอก ก็เลยชี้จุดว่าอยากไปเดินเส้นนี้นะ ไม่ใช่เส้นนี้ จนป้าก็บอกว่าโอเค ได้เลย เกือบไปละกู

    และนี่คือไกด์ชาวบ้านนำทางเดินป่าในครั้งนี้ เสื้อสีฟ้าคือป้าที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ ส่วนอีก2คนคุยแทบไม่ได้เลย แต่ก็พอพูดได้บ้าง อีกคนเป็นช่างภาพให้ ตลอดการเดินป่าในครั้งนี้ บนหัวก็คิดอยู่ว่า อืมมมมม กูโดนโกงค่าเดินป่าเป่าวะ จากที่ศึกษาข้อมูลมามันไม่ได้แพงขนาดนี้นี่หว่า เอ๊ะยังไง ก็ได้แต่คิด ฮ่ะๆๆๆ 

    เส้นทางเดินป่าวันนี้เป็นเส้นทางที่โหดเอาการอยู่นะ เพราะฝนตก ถนนขรุขระ ดินแฉะ ลื่นมากด้วย เกือบล้มไป2-3ครั้งละ แต่นี่แหละคือสิ่งที่ต้องการ มันเป็นการผจญภัยที่สนุกมากๆ เดินท่ามกลางสายฝนกลางป่า

    ฝนตกๆหยุดๆวนไปมา ตลอดเส้นทางก็จะได้เห็นทุ่งนา แม่น้ำ ภูเขา คือไม่เหนื่อยกับการเดินเลย แต่กลับรู้สึกชอบซะมากกว่าอีก

    เดินๆไปได้สักพัก ก็เจอกับกลุ่มเดินป่ากลุ่มใหญ่ระหว่างเดินลงเนินที่ลื่นมากๆ กลุ่มฝรั่งเหล่านั้นคือเดินช้ามากๆ ช้าเพราะอะไร เพราะมีผู้หญิงง๊องแง๊งเดินด้วย ทุกคนก็เลยต้องรอสาวคนนั้น ฮ่ะๆๆ แต่สำหรับผมนั้นเดินได้เลยแบบไม่ต้องอะไรมาก จนกระทั่งเดินแซงกลุ่มฝรั่งนั้นไปไกลลับหูลับตา แต่ก็จะได้เจอกับกลุ่มที่ออกไปเดินป่าด้วยเยอะมากๆตลอดเส้นทางเดินป่า ความจริงถ้าใครไม่กลัวหลงก็สามารถเดินป่าเองได้นะ ระยะทางเดินถึงปลายทางคือ14กม. ไม่ใช่ใกล้ๆเลยนะนั่น แต่ก็สนุกดี ได้เห็นอะไรแปลกๆใหม่ๆ

    วิวระหว่างเดินป่าก็เป็นอะไรที่ชอบมากๆ ภูเขาใหญ่น้อยสลับกันไปมา มีแม่น้ำตัดตรงกลางไหลผ่าน แต่สีน้ำจะแดงมากๆ ถ้าสีน้ำใสสะอาดมันคงจะเป็นภาพที่ต้องสวยมากๆแน่ๆ มโนกันไปละกันเนอะ 

    อย่างที่บอกไปคือต้องเดินฝ่าแม่น้ำด้วย คนนำทางก็เดินสบายไง ไม่ต้องเปียกอะไร แต่ผมนี่รองเท้าก็เปียกหมด เปื้อนดินลงน้ำๆวนไปแบบนี้แหละ รองเท้าคู่ใหม่ที่ซื้อมานั้นแทบไม่เหลือสภาพเลย 555+ ประเด็นคือไม่กันลื่นด้วยนะ สังเกตุดูข้างบนของภาพนี้นะ นั่นคือบ้านเรือนที่อยู่ใกล้ๆโฮสเทล แสดงว่าเดินลงมาลึกมากแล้ว 

    มีช่วงหนึ่งที่เดินผ่านเด็กเลี้ยงควาย น้องกำลังยืนเล่นอยู่กับน้องควายที่กำลังกินหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย พอยกกล้องถ่ายรูปน้อง หน้าตาน้องก็ออกมาประมาณนี้ พี่ขอโทษที่ถ่ายรูปครับน้องพี่กลัวแล้ว ฮ่ะๆๆ ขำๆนะ ชอบการใช้ชีวิตแบบนี้นะ เด็กๆรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ที่นี่จำได้เจอกับเด็กเลี้ยงควายเยอะมากๆนะ ชอบมากๆ

    พอเดินผ่านน้องไปได้แป๊บๆ ว่าจะถ่ายรูปน้องควายเดี่ยวๆซะหน่อย อยู่ๆก็มีสายตาเด็กน้อยมองจากเหนือหลังควายข้ามมาที่กล้องอีกครั้ง ดูสายตาน้องควายด้วยนะ ฮ่ะๆๆ ทำไมถึงรู้สึกชอบภาพนี้จัง ก็เลยโบกมือลาน้อง แล้วเดินต่อไป

    หลังจากที่เดินไปได้ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงจุดนั่งพักผ่อน เป็นศาลาพักใจแหละ แต่วิวตรงนี้เองก็สวยงามมากๆเช่นกัน มองเห็นน้ำตกจากด้านบนนี้ด้วย คนอื่นเขานั่งพักกัน แต่ผมนี่นั่งไม่ติดเลย ตื่นตากับวิวตรงหน้าอยู่เห็นบ้าน ทุ่งนา ภูเขา แม่น้ำ น้ำตก คือองค์ประกอบแบบนี้มันใช่อ่ะ ฟินลืมกันเลยทีเดียว

    การเดินป่าครั้งนี้ก็ขึ้นลงขึ้นลงวนไปจนกระทั่งถึงลงมาถึงจุดนี้ จุดที่สิ้นสุดการเดินขึ้นเนินสูง จากนี้ก็จะเป็นทางเรียบ

    มีทางเดินช่วงที่ใกล้ถึงหมู่บ้านTa Van เป็นทางเดินที่สามารถมองเห็นทุ่งนาที่มีบ้านเรือนกระจายอยู่ตามจุดๆต่างๆและมีแม่น้ำไหลผ่านกลางทุ่งนา มันเป็นวิวที่สวยมาก ต้องหยิบกล้องขึ้นมาแชะภาพเก็บไว้สักหน่อย 
     

    เห็นวิวแบบนี้แล้วก็ที่จินตนาการไปว่าอนาคตคืออยากปลูกบ้านอยู่กลางทุ่งนาที่มีแม่น้ำไหลผ่านแบบนี้บ้างจังเลย 

    ในเมื่อวิวสวยขนาดนี้ก็อยากมีรูปตัวเองถ่ายคู่กับวิวนี้บ้าง ก็เลยขอให้น้องผู้หญิงที่ติดตามมาด้วยช่วยถ่ายรูปให้ 

    พอเดินเข้ามาในหมู่บ้านก็จะมีชาวบ้านขายของพวกพืชผักข้างทาง ป้าที่นำทางเดินป่าก็เลยแวะหาซื้อของกลับบ้าน

    ที่เห็นเยอะก็ๆมีแตงกวา หน่ออไม้ พริก ประมาณนี้ แต่มันแลดูสดมากๆเลยนะ คงเพิ่งเก็บเกี่ยวมาแน่ๆ 

    จากนั้นก็เดินต่อไปเรื่อยๆ เห็นน้องคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆอยู่ข้างทางก็คิดว่าน้องนั่งทำอะไร พอเดินเข้าไปใกล้ๆถึงรู้ว่าน้องกำลังนั่งตกปลาอยู่ ดูเบ็ดตกปลาน้องซะก่อน เก๋าแค่ไหน ก็เลยถามน้องว่ามีปลาไหม น้องก็คงฟังไม่เข้าใจ ได้แต่หันหน้ามาแล้วก็ยิ้มตอบ ในใจน้องคงจะคิดอยู่ว่า มึงพูดไรเนียะ กูฟังไม่เข้าใจ ไปไกลๆเลย ฮ่ะๆๆ ขำๆนะ

    ตอนนี้ก็สิ้นสุดการเดิน Trekking ของวันนี้แล้ว เริ่มเดินตั้งแต่ 10โมงเช้า-บ่าย2.30น. ก็ปาเขาไป4ชม. ระยะทาง 13.5กม.  ป้าบอกว่าเดี๋ยวพาไปกินข้าวเที่ยงที่บ้าน จะทำอาหารให้กิน ตอนแรกก็ปฏิเสธไปก่อนว่าไม่เป็นไร เกรงใจ แต่ป้าก็บอกว่าไม่เป็นไร ไปไป ก็เลยตัดสินใจไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านป้า แต่ข้าวเที่ยงที่ว่านี้คือ เวลา 14.30น. แล้วนะ

    บ้านป้าตั้งอยู่บนเนินต้องเดินขึ้นจากถนนหลัก400เมตร คือแบบ โฮ้วววววว ไกลนะนั่น เนินทั้งนั้นนนนน แต่ก็เดินขึ้นไปถึงนะ ป้าก็ลงมือ ก่อไฟ อุ่นข้าวและทำอาหาร ระหว่างนั้นก็ได้แต่นั่งดูเขาทำอาหารกัน ช่วยไรก็ไม่ได้ 

    ไม่นานนักก็ทำอาหารเสร็จ ก็เลยช่วยป้ายกโต๊ะทานข้าวออกมาข้างนอกบ้าน พร้อมที่จะกินแล้ว เมนูอาหารก็มี เต้าหู้อุ่น เต้าหู้ผัด ต้มหมูใส่ไข่ต้มทอดและซุปผักไรไม่รู้ (ไข่ต้มทอดคล้ายๆไข่ลูกเขยอ่ะ ชื่อเมนูบอกไม่ถูกจริงๆ เลยอธิบายตามภาพที่เห็น 555+ ) และที่ขาดไม่ได้เลยคือ น้ำชาร้อน คนที่นี่เขาเทชาร้อนใส่ข้าวเปล่า เหมือนข้าวต้มชาของญี่ปุ่น ลองทำตามดูแล้วกินก็ถือว่าใช้ได้เลยนะ อร่อยดี

    ได้เวลากินข้าวเที่ยงแล้วววววววว ท้องร้องหิวข้าวละ กินไปคุยไปแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าต่างๆ มันสนุกและมีความสุขมากๆ พอกินข้าวเที่ยงเสร็จก็นั่งคุยกัน พักผ่อนยาวๆจนถึงบ่าย4โมง ลุงก็พาลูกๆกลับมาบ้าน จากนั้นก็เครียเงินค่าเดินป่าของวันนี้ให้กับป้า ตอนจ่ายเงินเสร็จ ผู้หญิงอีก2คนที่ติดตามมาก็ถามว่าสนใจซื้อสินค้าหัตถกรรมไหม ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ขอซื้อสินค้าใดๆทั้งสิ้นนะ แต่จะจ่ายเงินค่าเดินป่าให้ ตอนแรก2คนนี้น่าจะไม่ได้ยินหรืออาจจะฟังไม่เข้าใจ ก็เลยจ่ายไปแต่เงินค่าเดินป่าและป้าก็บอกว่าเดี๋ยวจะแบ่งเงินให้2คนเดียว เป็นอันว่าจบ ก็เลยจ่ายเงินเพิ่มให้อีกจากที่คุยกันไว้ตอนแรก ง่ายๆ ตอนนี้คือเงินที่พกมานั้นหมดตูดแล้วนะ 

     

    หลังจากกินข้าวเสร็จ เครียเงินค่าเดินป่าเสร็จเรียบร้อย ป้าก็ยื่นสมุดบันทึกให้เขียนความรู้สึกลงในสมุด ซึ่งมีหลายหลายภาษามาก มีคนไทยเขียนไว้2-3คน และสิ่งที่พีคที่สุดคือ เขาเขียนไว้ว่า "ได้Trekkingผ่านที่พักซึ่งได้ราคาเดินป่า 18USD" ตอนนั้นคือแบบเห้ย ทำไมราคามันต่างกันขนาดนี้ล่ะวะ ในใจก็คิดแบบเห้อออโดนโกงจนได้สินะกู มาตายตอนจบจริงๆ กะว่าจะไม่โดนโกงแล้วนะ แต่ก็คิดบวกว่า ไม่เป็นไร เขาต้องแบ่งเงินส่วนนั้นกัน3คน  ก็เขียนให้ป่าเสร็จ จากนั้นก็ได้เวลากลับซาปาแล้ว ความจริงต้องจ้างวินมอไซค์ให้ไปส่งที่ซาปานะ แต่เนื่องจากเงินที่พกมานั้นหมดไปกับค่าเดินป่า ลุงก็เลยอาสาจะพาไปส่งที่ซาปาให้เอง จะกลับแล้วเชียวฝนก็ดันมาลงอีก แต่ไม่หนักมากก็เลยไม่สวมเสื้อกันฝนละ เปียกก็เปียกวะงี้ บอกลาทุกคนแล้วขี่มอไซค์ออกมา

    แต่ขับไปได้สักก็ต้องมาเจอกับรถที่กำลังซ่อมแซมถนน ต้องรอให้รถถังคันนี้ถอยออกมาก่อนถนนถึงจะเปิดและให้ขับผ่านไปได้ รออยู่ตรงนี้ประมาณ 5 นาทีเลยนะ ติดนานกว่าสี่แยกไฟแดงรินคำเชียงใหม่อีก แม่งฝนตกอีกก ฮ่ะๆๆ 

    กลับถึงซาปาก็เกือบ5โมงเย็นแล้ว จากนั้นก็บอกขอบคุณลุงแล้วก็แยกย้าย จากนั้นก็รีบเข้าที่พักเพื่ออาบน้ำ แต่สิ่งที่ตื่นตาตื่นใจเซอไพรซ์ที่สุดของทริปนี้คือ วันนี้ท้องฟ้าเปิด หมอกที่ปกคลุมเหนือภูเขาวันนี้ไม่มีแล้ว ทำให้ได้เห็นภูเขาทั้งลูกแบบเต็มตา มันคือสิ่งที่รอคอยมาตลอดที่พักที่นี่นะ

    เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามันมีเมฆหมอกปกคลุมตลอด ทำให้เห็นภูเขาได้ไม่หมด แต่วันนี้โชคดีมาก ได้เห็นภูเขาแบบเต็มๆทั้งลูกเลย มองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว ชอบวิวนี้มากกกก แทบไม่อยากละสายตาไปไหนเลย

    หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ต้องเข้าไปในเมืองเพื่อไปหาจุดขึ้นรถบัสที่จะออกเดินทางสู่ฮานอยในคืนนี้เวลา 4ทุ่ม ตามที่ได้บอกไปด้านบนคือ ต้องไปที่โรงแรม Sapa Apollo ก็เปิดแผนที่แล้วขับมอไซค์ตาม จนกระทั่งเจอโรงแรม จึงเดินเข้าไปสอบถามข้อมูลกับว่า ชื่อนี้ เวลานี้ ขึ้นรถที่นี่ถูกต้องใช่ไหม และข้อมูลทุกอย่างก็เรียบร้อยดี

    พอทุกอย่างเรียบร้อยเสร็จก็เลยเดินเล่น เที่ยวชมรอบๆในเมืองซาปาหน่อย ฝนก็ไม่ตกด้วย อากาศเย็นสบายดี

    จากที่เดินเที่ยวชมรอบๆเมืองซาปาแล้วรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังเดินเที่ยวอยู่ในยุโรปเลยอ่ะ คือตึกรามบ้านช่องต่างๆของที่นี่มันให้ฟิลแบบตะวันตกเลย มันสวยแบบมีสไตล์ คลาสสิคสุดๆไปเลย

    ใจกลางเมืองซาปานั้นจะมีทะเลสาบอยู่ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนี้เลยก็ว่าได้นะ เพราะถ่ายรูปออกมาแล้วมันสวยมากๆ ตึก ทะเลสาบ ภูเขา ท้องฟ้า สวยใช่เล่นเลยนะเนียะ ดูรูปกันยาวๆเลยนะ

    หลังจากเดินเที่ยวรอบๆซาปาได้ไม่นานก็ขับมอไซค์กลับไปยังที่พัก เพื่อไปเก็บข้าวของสำหรับเดินทางกลับฮานอย พอกลับถึงที่พัก เก็บสำมะโนครัวเสร็จปุ๊บก็ไปนั่งชมวิวอยู่ระเบียง สักพักสาวไต้หวันชื่อ ถิน สมาชิกใหม่ของห้องพักก็กลับเข้ามา อาบน้ำเสร็จก็ออกมานั่งอยู่ระเบียงและทักทายซึ่งกันและกัน จากนั้นบทสนทนาก็ได้เริ่มขึ้นยาวๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเที่ยวของแต่ละคน สรุปได้ว่า ถิน เดินทางมาเที่ยวเวียดนามได้3อาทิตย์แล้วเริ่มเดินทางมาขากโฮจิมินห์และซาปาคือที่สุดท้ายของทริป เท่านั้นแหละไอ่เรานี่ตาโตเลย ตกใจไงว่าดีเนอะ ลางานมาได้นานขนาดนี้ บ้านเรานี่แทบจะลาแบบนี้ไม่ได้เลย ก็เลยบอกกับถินต่อว่า เนียะวันนี้ถือว่าโชคดีมากๆเลยนะที่ได้เห็นภูเขาเต็มๆโดยที่ไม่มีเมฆหมอกปกคลุม นางก็ตกใจว่าเห้ยจริงดิ โชคดีจริงๆเลยนะเนียะ พอเวลา2ทุ่มก็ชวนกันออกไปกินข้าวเย็นที่ร้านเดิมที่กินเมื่อวาน

    และนี่ก็คือ ถิน สาวไต้หวันที่เดินทางคนเดียวเหมือนกัน กินข้าวไปคุยไปเฮฮา แล้วเราก็แลกเปลี่ยน IG กัน มีรู้คู่รูปนี้รูปเดียว เห็นไหมว่าการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวมันมีข้อดีหลายอย่างนะ เช่น ได้พบเจอและได้รู้จักผู้คนแปลกหน้าใหม่ๆ แต่ถ้าไปกับเพื่อนก็คงจะยากที่จะได้รู้จักคนแปลกหน้า เพราะเราก็ต้องพูดคุยกับเพื่อนตลอด ฮ่ะๆๆ พอ3ทุ่มกว่าๆก็ต้องกลับที่พักเพื่อกลับไปเอาข้าวของและเช็คเอ้าท์

    จากนั้นก็บอกลาพนักงานแล้วขับมอไซค์ที่เช่ามาไปคืนก่อน  ต้องไปเอาพาสปอร์ตคืนด้วยนะ แล้วค่อยเดินไปยังจุดขั้นรถบัสที่โรงแรม Sapa Apollo ไม่ไกลจากที่เช่ามอไซค์นะ เดินแป๊บเดียวก็ถึง

    จากนั้นก็นั่งรอเวลาเดินทางจาก ซาปา สู่ ฮานอย เวลา 22.00น. เห็นแบบนี้อากาศเย็นนะ แต่ไม่ถึงกับหนาวมาก อุณหภูมิก็อยู่ที่ 18องศา ใครที่จะมาซาปาแต่ไม่ชอบอากาศเย็นก็ควรพกเสื้อกันหนาวมาด้วยนะ แต่ผมชอบมากกกกนะ

    อากาศแบบนี้กำลังดี ไม่ได้หนาวแบบ 18องศา ที่เมืองไทยเลย มันต่างกันมาก สำหรับคืนนี้หลับฝันดีครับ :)

    Day 5 31 July 2018
    Good Morning HANOI สวัสดีฮานอยตอนนี้ตี 5.30น.  ถึงเช้ามืดเกิ้นนนนน จะไปไหนดีล่ะเนียะ เดินเรื่อยๆวนไป

    ไม่รู้จะไปไหนก็เลยเดินไปเรื่อยๆ ว่าจะไปเที่ยว Haoi Train Street ทางรถไฟฮานอย เพราะเห็นเขาไปเที่ยวกัน ก็เลยเปิดแผนที่แล้วเดินตามไป แต่ไม่รู้ว่าจุดที่นิยมมันคือจุดไหน ก็เลยยกเลิกไม่ไปละ ยืนดูขบวนรถไฟแล่นผ่านพอละ ฮ่ะๆๆ

    จากนั้นก็เดินเที่ยวไปเรื่อยๆ ช่วงเช้าบริเวณรอบๆทะเลสาบนั้นคึกคักไปด้วยผู้คนที่มาออกกำลังกายกัน ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ด้วยถือว่าดีมากๆ ตลอดเส้นทางรอบๆทะเลสาบนี้นั้นมีกิจกรรมต่างๆมากมาย เช่น วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน เต้น ตีแบด โยคะ รำไทเก๊กและอีกมากมาย 

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่เห็นแล้วชอบมาก เรียกว่า "ชมรมหัวเราะเพื่อสุขภาพ" ละกันเนอะ เพราะเหล่าลุงป้ากลุ่มนี้เขาจะหัวเราะกัน หัวเราะแบบเต็มที่ไม่ต้องอายใคร พอหัวเราะเสร็จก็จะเต้นไปหัวเราะไป โดยไม่มีเพลงประกอบ แต่จะพึมพำเป็นทำนองกันเอง เห็นแล้วเราก็มีความสุขและยิ้มตามไปด้วย ชอบมากๆ

    กำลังถ่ายวิดีโออยู่ แต่ทันใดนั้นก็มีลุงคนหนึ่งขร่มอไซค์ผ่านมา แล้วก็มองมาที่ผม อย่ามองเยอะนะลุง เพราะลุงมองผม ผมก็เลยต้องไปแคปรูปจากวิดีโอมาลงในบันทึกการเดินทางนี้เลยนะเนียะ ฮ่ะๆๆ

    พอเดินไปได้เรื่อยๆถึงนึกขึ้นได้ว่า เพื่อนฝากซื้อ เม็ดบัวอบแห้ง โอ้โหหหหหห จะบอกว่ามันหายากมากกกกก อาจจะเช้าเกินไปที่จะหาซื้อด้วยแหละ แต่ที่แน่ๆตามร้านสะดวกซื้อนั้นไม่มีขายเลย เปิดกูเกิ้ลเขาก็บอกว่ามีขายในบิ๊กซี แต่ตอนนี้มันเช้ามากไง บิ๊กซีก็คงยังไม่เปิดอ่ะ ก็เลยไม่ซื้อละ ไปลุ้นซื้อเอาที่สนามบินดีกว่า มีไม่มีค่อยว่ากัน

    ตอนนี้ก็ 8โมงแล้ว ต้องรีบไปสนามบินแล้วล่ะ ว่าแต่ต้องไปขึ้นรถบัสสาย 86 ที่ไหนวะ เอาละไงๆ กลับมาเปิดกูเกิ้ลหาป้ายรถบัสสาย 86 กันต่อ แล้วพบว่ารถบัสจะหยุดที่ป้ายหน้าที่ทำการไปรษณีย์ ตามที่ผมมาร์คสีแดงไว้ในรูปบน ทะเลสาบแห่งนี้มันดีนะ ถ้ารู้ตัวว่าหลงทางแล้วก็หาทางกลับไปทะเลสาบเพื่อไปตั้งหลักใหม่ เหมือนคูน้ำเชียงใหม่ ฮ่ะๆๆ

    ยืนรอไปแป๊บๆรถบัสก็มาจอดรับผู้โยสาร แล้วก็ดิ่งตรงไปสนามบินเลย ค่ารถบัสก็เท่ากับขามาจากสนามบินเป๊ะๆเลย นั่งรถไม่นานนักก็ไปถึงสนามบิน ตอนนั้นเคาน์เตอร์ยังไม่เปิดให้เช็คอิน ก็เลยไปห้องน้ำแล้วเปลี่ยนกางเกงก่อนแล้วค่อยกลับมาเช็คอินอีกครั้ง แล้วไปหาข้าวเช้ากิน  

    ขากลับนี่โหลดกระเป๋าด้วย เพราะมันหนักหรือขี้เกียจแบกแล้วรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ ฮ่ะๆๆ เจอกันกรุงเทพนะน้องกระเป๋า

    ได้ตั๋วบินกลับบ้านแล้วววววววว ไม่มีรูปก็เลยไปแคปรูปมาจาก IG Story นะ มันก็จะไม่ชัดเท่าไหร่นัก ฮ่ะๆๆๆ

    จากนั้นก็ไปนั่งนอนรอในเกทก่อนเลย พอจะได้กลับไทยแล้วนรู้สึกเพลียมาก ไม่อยากกลับเลย อยากเที่ยวต่อมากๆ แต่ก็นะ ต้องกลับไปผลิตตังค์สำหรับทริปหน้าต่อไง เอ่อออ นั่นไง เกือบลืมซื้อเม็ดบัวอบแห้งเลย เท่านั้นแหละไปเดินหา 2-3 ร้านแรกมีนะ แต่ไม่มีแบบซอง มีแต่แบบกล่องใหญ่ ซึ่งมันแพงมาก ก็เลยเดินหาไปเรื่อยๆ

    จนมาเจอที่ร้านนี้มันมีแบบที่กำลังตามหา ตอนนั้นก็แบบเหมาหมด 8ซองที่วางอยู่บนชั้นนะและซื้ออย่างอื่นเพิ่มด้วย พอจ่ายเงินพนักงานบอกว่าราคาเท่านี้ๆนะ แต่กลับมาดูเงินที่เหลืออยู่ยังขาดไปอีก 3000ดองหรือประมาณ5บาท เอ่อตีเป็นบาทละขาดแค่5บาทเองแห๊ะ ฮ่ะๆๆ พนักงานก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร เงินส่วนที่ไม่พอจ่ายนั้นไม่เป็นไรนะ จ่ายเท่าที่มีก็พอละ ไอ่เราก็เลยถามว่าได้เหรอ พนักงานก็ยกนิ้วขึ้นแล้วบอกว่าชู่ๆเงียบๆ ฮ่ะๆๆ ก็เลยขอบคุณและเดินออกมาจากร้าน ซึ่งพนักงานคนนั้นก็คือ ผู้หญิงผมสั้นที่กำลังคุยกับลูกค้านั่นเอง จากนั้นก็กลับไปนั่งรอในเกทต่อ แต่พอค้นกระเป๋าดูอีกทีกลับนึกขึ้นได้ว่าซ่อนเงินไว้ในกล่องใส่แบตโกโปรนี่เอง ก็เลยกลับไปที่ร้านแล้วบอกว่าขอจ่ายเงินส่วนที่ขาดนะ พนักงานก็บอกไม่เป็นไรรรรรร ก็เลยบอกพนักงานว่างั้นช่วยหาของฝากเพิ่มหน่อยให้ได้ของในราคา 5แสนดองนี้เลย พนักงานก็เลยจัดให้ตามคำขอ พนักงานใจดีมากๆ ยกนิ้วให้เลย

    หลังจากนั้นก็ได้เวลาขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางกลับเมืองไทย ลาแล้วนะฮานอย เวียดนาม ขอบคุณสำหรับประสบการร์ดีๆตลอดทริปที่อยู่ในเวียดนาม ขอบคุณทุกคนที่ได้พบเจอระหว่างทริป สุดท้ายนี้ก็ต้องขอบคุณตัวเองที่กล้าออกไปผจญภัยในพื้นที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ขอบคุณที่ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี อีกอย่างคือ การเดินทางคนเดียวในต่างแดนมันทำให้ได้ฝึกฝนตัวเองไปด้วยในหลายๆด้านนะ ไม่ว่าจะการเอาตัวรอด การดูแลตัวเอง การแก้ไขปัญหาที่ประสบ การเข้าสังคม การแสดงออก การกินอยู่ การตัดสินใจ การวางแผน การฝึกภาษาอังกฤษและการเอาชนะความกลัวต่างๆ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา ไม่มีใครสามารถมากำหนดชีวิตเราได้ ดังนั้นอยากแนะนำให้คนที่อยากเดินทางคนเดียว ลองก้าวออกมาจากความกลัวเหล่านั้น แล้วคุณจะรู้ว่าการเดินทางคนเดียวมันสนุกแค่ไหน สู้ๆ

    สุดท้ายของสุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกกับทุกๆคนที่ได้อ่านบทความบันทึกการเดินทางครั้งนี้ว่า "อยากให้ลองเปิดใจแล้วออกไปผจญกับโลกว้างคนเดียวดูสักครั้ง แล้วจะรู้ว่าการเดินทางคนเดียวนั้นมันเป็นยังไง" เป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะครับ สนุกกับชีวิตให้เต็มที่ เพราะชีวิตเป็นของเรา จบแล้วกับบันทึกการเดินทางในครั้งนี้ เจอกันใหม่ทริปหน้าครับ : )

    ขอเพิ่มเติมเล็กน้อยกับคำถามที่ว่า ไปคนเดียวแล้วใครถ่ายรูปให้ ถ่ายคนเดียวถ่ายยังไง ก็ตามรูปนี้เลยนะ ใช้ขาตั้งกล้องเปผ้นตัวช่วยหลักในการถ่ายรูป  ตั้งกล้องปรับมุมกล้อง ตั้งเวลา แล้วก็แค่ไปยืนเก๊กท่าตามสบายใน จบข่าว

     

    สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้ 4คืน5วัน
    1. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ 5,800 THB
    2. ค่ารถบัสนอนไป-กลับ ฮานอย - ซาปา 660 THB
    3. ค่าที่พักโอสเทล 3 คืน 621 THB
    4. ค่าเช่ามอไซค์ 3 วัน 540 THB น้ำมันเครื่อง 350 THB
    5. ค่าอาหาร+เครื่องดื่ม 950 THB
    6. ค่าเดินป่า Trekking 1,700 THB
    7. ค่าอื่นๆ 1,620 THB
    รวมทั้งหมด 12,200 THB โดยประมาณ


     

     

     

     

     

    • โพสต์-2
    Somsak •  สิงหาคม 13, 2561

    ข้อดี-ข้อเสีย "ซาปา" มีดีอะไรบ้างล่ะ

    • จุดเด่น:
    • 1.ทะเลหมอก เห็นได้ทุกวันเลย หมอกหนามาก อากาศสดชื่นสบายๆ ชอบๆ 2.เมืองเล็กๆกลางหุบเขาใหญ่ที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติเขีวขจี อุดมสมบูรณ์ 3.ร้านอาหารพื้นเมืองเยอะมาก เลือกเลยจะกินอะไร ราคาก็แพงถูกปนกันไป 4.ค่าเช่ามอไซคือถูกมากกกกกกก มีแบบออโต้และเกียร์ พนักงานบริการดีมากๆด้วย 5.ตึก อาคาร บ้าน เรือน ที่นี่ส่วนใหญ่จะออกแนวตะวันตก ส่วนบ้านชาวบ้านจริงๆมีหลากหลายแบบ 6.แนะนำให้นั่งรถบัสนอนไป ราคาถูกกว่า ใช้เวลาน้อยกว่า ส่งถึงปลายทางซาปาด้วย
    • จุดด้อย:
    • 1.ต้องคำนวณค่าเงินให้เป็น ใช้เงินดองให้เป็น เพราะอาจจะโดนโกงได้ 2.ถ้าจะไปเดินป่าละก็ ไปจองกับที่พักเหอะ อาจจะได้ราคาถูกกว่าจองเองกับช้าวบ้าน 3.อากาศเย็นสบาย มีแดด ไม่ร้อน แต่ควรทาครีมกันแดดด้วย ไม่งั้นไหม้แน่ๆ พลาดมาแล้ว 4.ฝนมักจะตกช่วงเช้า พอเที่ยงๆก็หยุดตก แต่ออกไปเที่ยวทั้งที่ฝนตกเหอะ เสียดายเวลาถ้ารอฝนหยุด 5.ตามจุดชมวิวข้างทางจะมีเด็ก ชาวบ้านวิ่งเข้ามาขายสินค้า ตื้อมากกก บางทีก็น่ารำคาญมากนะ 6.
    • ข้อสรุป:
    • อยากแนะนำให้ลองไป ซาปา นะ ไปแล้วมันได้อะไรหลายอย่างจริงๆ แน่นอนคือประสบการณ์ ความทรงจำ มันเป็นเมืองเล็กๆที่ใหญ่มาก ตั้งอยู่กลางหุบเขาสูง มันดูสง่างามมากๆ หลงรักเมืองนี้มากๆ ขอให้สนุกกับการเดินทางนะครับ
    คะแนน
    • โพสต์-3
    Somsak •  สิงหาคม 13, 2561
    "ลองเปิดใจเดินทางไปท่องเที่ยวคนเดียวดูสักครั้ง แล้วคุณจะรักตัวเองมากขึ้นกว่าที่เคยรักมาก่อน"
    ล่ามติดแอ่ว
    • โพสต์-4
    Somsak •  สิงหาคม 13, 2561
    • โพสต์-5
    Somsak •  สิงหาคม 13, 2561

    SAPA VIETNAM