ทริปนี้เป็นทริปหายใจทิ้งประจำปีกับคุณเพื่อนสมัยมัธยม หายใจทิ้งกันมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว เพื่อนเราเป็นคนจัดการเรื่องเที่ยวทั้งหมด เรื่องซื้อดีลต้องยกให้เพื่อนเลย หลักการซื้อดีลที่คุณเพื่อนถ่ายทอดให้ฟัง คือ

1. หาวันว่างที่เราจะไปก่อน

2. เลือกที่พักที่เราถูกใจแต่อย่าเพิ่งกดซื้อ

3. โทรไปถามที่พักว่าที่เขาขายดีลใช้ได้ใช่ไหม แล้ววันที่เราไปว่างไหม ถ้าว่างก็จองไว้ก่อนบอกว่าเดี๋ยวเราไปซื้อดีล ซื้อได้จะโทรไปหาเพื่อยืนยันอีกครั้ง

     สรุป คือ ได้ดีลมา 2 ดีล สำหรับค้าง 2 คืน ที่รีโซเทลแก่งละว้า กาญจนบุรี ราคา 2,780 บาท สำหรับ 2 คน

เริ่มทริปกันเลย ชื่อทริปก็บอกแล้วว่าไปหายใจทิ้ง ดังนั้นเป็นทริปที่ไม่เน้นเที่ยว เน้นพักผ่อนเป็นหลัก อาจมีเดินเที่ยวใกล้ๆ หรือทำกิจกรรมในที่พักเท่านั้นพอ เราอยู่ศรีราชา เพื่อนอยู่กรุงเทพฯ เราออกจากศรีราชา 6.30 น. ไปเจอเพื่อนที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ประมาณ 9 โมง   เรากับเพื่อนต่อรถตู้ที่อนุสาวรีย์ฯ เลย ขึ้นวินตรงแถวเซนจูรี่ ไปลง บขส. กาญจนบุรี ค่าโดยสาร 120 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ไปถึงก็เดินโง่ๆ แถว บขส. อยู่แป๊บ ก็มีคุณพี่รถรับจ้าง ไถ่ถามว่าไปไหนเราตอบว่าไม่เป็นไรค่ะ คือเรากำลังอ่านป้ายรอบๆ ตัว แต่คุณพี่บอกว่า บอกมาเถอะครับ ไม่ต้องไปกับผมก็ได้ เดี๋ยวบอกข้อมูลให้ครับ น่ารักจริง มีน้ำใจ เราเจอคุณพี่ท่านนี้ที่ให้ข้อมูลการเดินทางกับเราทั้งไปทั้งกลับ น่ารักมาก ไถ่ถามชื่อ เลยรู้ว่าชื่อคุณพี่ประเสริฐ หน้าตาหล่อเข้ม แบบชายไทยแท้ เจอคุณพี่ที่ บขส. ก็แวะทักทายกันนะคะ

บขส.กาญจนบุรี

คุณพี่ประเสริฐ ใจดีให้ข้อมูลการเดินทาง

      ถ้าจะไปรีโซเทลไปได้ 2 แบบ ไปรถบัสแดงที่ไปทองผาภูมิ กับรถตู้ สรุปเราไปรถตู้กัน เพราะคุณเพื่อนเราทำหน้าตาเลิ่กลั่กเมื่อเห็นรถแดงแบบโอเพ่นแอร์ บอกว่าไม่ได้นั่งนานแล้วตั้งแต่เด็กๆ เราเลยบอกไปกินข้าวก่อนละกัน แล้วหารถตู้ไปกัน วินรถตู้ อยู่แถวๆ บขส. ค่ารถคนละ 115 บาท ใช้เวลาเดินทาง ชั่วโมงกว่าๆ ระหว่างทางมีเจ้าหน้าที่รัฐตรวจบัตรประชาชนด้วยค่ะ ถ้าจะไปก็อย่าลืมพกบัตรประชาชนไปด้วยนะคะ 

ถ้าไปรถคันนี้ ค่ารถ 50 บาท รถมีตลอด

แต่เราไปรถตู้

     ถึงปากซอยที่จะไปลงท่าเรือไปรีโซเทล ก็ขึ้นรถที่ทางโรงแรมติดต่อไว้ เสียค่ารถไปยังท่าเรือ คนละ 50 บาท นั่งเรือไปประมาณ 15 นาที ก็ถึงที่พัก นำเอกสารดีลที่ซื้อไว้ติดต่อกับ Front เราก็เข้าห้องพักกับเพื่อนเลย

ปากซอยทางเข้าไปยังท่าเรือ

รถรีสอร์ทไม่ว่างรถชาวบ้านมารับ เสียค่ารถคนละ 50 บาท

ถึงแล้วท่าเรือ

เรือมารับ ไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ

นั่งเรือประมาณ 10 นาที ก็ถึงที่พักแล้ว

ถึงแล้วค่ะ

ติดต่อ Front เช็คอิน

บ้านพัก ภายในห้องพัก

     เก็บข้าวเก็บของกันสักครู่ก็ออกมาเดินเล่นแถวรีสอร์ท ได้ข้อมูลจากรีสอร์ทมาว่ามีถ้ำ เดินไปไม่ไกล เราเลยเดินไปทะเลาะไปกับเพื่อนสักพักก็ถึงถ้ำละว้า สอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่ดูแลบอกว่าเข้าได้ แต่เวลาก็ใกล้ปิดแล้วเราเลยบอกเพื่อนเอาไว้มาพรุ่งนี้กันดีกว่า ขากลับมีน้องหมาเดินตามมาด้วย ถ้าไม่กลัวเจ้าถิ่นก็ตามมา

บรรยากาศบริเวณรีสอร์ท

บริเวณที่พัก

สวนผลไม้ของรีสอร์ท

ดอกส้มหอมมาก

รีสอร์ทเลี้ยงน้องทุยด้วย

คุณแม่บ้านของรีสอร์ท เราเจอตอนทำความสะอาดห้อง

ระหว่างทางเจอหนุ่มน้อยกับคุณแม่

ร้านขายของที่ระลึกในรีสอร์ท

     เรากลับรีสอร์ทไปเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำ เป็นสระนานาชาติ นึกว่าอยู่ยุโรป ฝรั่งเต็มสระ พูดภาษาแปลกๆ ไม่ใช่ภาษาอังกฤษแน่นอน เรากินข้าวทุกมื้อที่รีสอร์ท ค่าอาหารราคาตามรีสอร์ทเป๊ะๆ ไม่ถูกไม่แพงมาก 

     คืนนี้เรามีนัดดูการแสดงระบำมอญ ที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ลูกค้าที่สนใจ มีค่าเข้าชมนะคะ คนละ 160 บาท นักแสดง นักดนตรีหน้าคุ้นๆ มาก ตื่นเช้ามามากินข้าวเช้าเท่านั้นแหล่ะ รู้เลย เป็นพนักงานในรีสอร์ท จุดเด่นของรีสอร์ทนี้คือการอยู่ร่วมกับคนพื้นถิ่น พนักงานที่บริการเราอาจจะพูดไม่ชัด แต่ตั้งใจบริการดี ความสามารถก็รอบตัว ทำได้ทุกอย่าง รวมถึงเป็นนักแสดงด้วย การแสดงน่ารักดี นักแสดงชายจะออกท่ารำได้แรงกว่า มีกระโดดไปมาด้วย สวยดีค่ะ ถ้าว่างๆ ก็เข้าไปชมกัน ที่เข้าชมระบะมอญ ทางรีสอร์ทจัดไว้สวยดีค่ะ เรียบง่าย ทำจากไม้ไผ่ เริ่มแสดงสองทุ่มสิบห้านาที ใช้เวลาในการชม 45 นาที ชมการแสดงเสร็จเราก็เข้านอนเนื่องจากที่พักออกแนวป่าเขา ดังนั้นการนอนตอนกลางคืนก็จะมีเสียงน้องตุ๊กแกส่งเราเข้านอน น้องเขาอยู่รอบๆ ที่พักค่ะ เราเปิดไฟหน้าห้อง แมลงมาเต็ม น้องตุ๊กแกเขาเลยมาหาของกิน ฟังเสียงเขาเพลินๆ ไป

ที่จัดแสดง

รอชม

ระบำมอญ

ระบำมอญ

     เช้าวันที่สองตื่นมาก็หาของกินใส่ท้อง ออกจากห้องก็เจอหมาน้อยทำหน้าซื่อมาเลย เราไปกินอาหารเช้าของทางโรงแรมตามปกติ เสร็จแล้วเราก็เดินไปท่าเรือของที่พัก แน่นอนน้องหมาตามมาด้วย ระดับน้ำตอนเช้าต่ำกว่าตอนช่วงเย็น สามารถเดินเล่นริมแม่น้ำได้บางช่วง เป็นหาดหิน น้ำใสดี ที่สำคัญน้ำไม่แรง เราแนะนะให้เล่นน้ำที่แม่น้ำในช่วงเช้าจะดีกว่า เพื่อนเราใส่ชูชีพลอยไปตามน้ำเลาะริมแพตอนช่วงบ่าย คุณเพื่อนหน้าเสียเลย บอกน้ำแรงอยู่ ตอนขึ้นแพกว่าจะโหนตัวขึ้นได้เหนื่อยมาก เพื่อนเล่นรอบเดียว ก็ขึ้นเลย 

ตามมาตลอด

     เสร็จจากชมแม่น้ำในตอนเช้า เราก็เดินไปเที่ยวที่ถ้าละว้า ที่นี่อยู่ในความดูแลของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติไทรโยค ค่าเข้าชมคนละ 100 บาท ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าเราสนใจมีไกด์เด็กนำทาง ไม่มีค่าใช้จ่าย สุดแล้วแต่เราว่าจะให้ค่าขนมในช่วงปิดเทอมเท่าไหร่ จนท.บอกเราว่าแล้วแต่ว่าเราจะเอาหรือไม่ เรากับเพื่อนพยักหน้าขอน้องไกด์มาเวย มาช่วยดูแลลุงกะป้า การเข้าถ้ำเราต้องขึ้นบันไดร้อยกว่าขั้น พอถึงปากถ้ำน้องยอดไกด์เด็กบอกเราว่า ให้นั่งพักสักพักก่อนให้หายเหนื่อย เพราะเมื่อเข้าถ้ำอากาศจะน้อย แล้วก็ค่อนข้างร้อนอบอ้าว  เข้าไปห้องแรกน้องยอดพาไปไหว้พระก่อน แล้วก็เดินผ่านทางสะพานเหล็กน้องยอดเน้นเลยว่า อย่าจับราวเหล็ก มูลฉี่ค้างคาวเต็มเลย เราเลยหันไปคุยกับเพื่อน นี่ถ้าไม่เอาไกด์เด็กน้อยมา คงได้จับราวเหล็กที่เต็มไปด้วยมูลและฉี่ค้างคาวเป็นแน่ ห้องแรกเราก็เจอเจ้าถิ่นก่อน เจ้าค้างคาว น้องยอดบอกว่ามี 3 สายพันธุ์ ที่อยู่ในถ้ำนี้ ในถ้ำมีไฟทางเดินให้นักท่องเที่ยวเดินชมถ้ำได้ อย่าเดินนอกเส้นทาง อย่าจับต้องอะไรที่เราไม่รู้ น้องยอดไกด์เด็กจะเป็นคนคอยบอกเราตลอด ตรงนี้จับได้ จับไม่ได้ ตรงไหนเดินได้ ทางเล็กๆ แคบๆ ก็ให้ระวังศีรษะ เอาน้องยอดมานี่ คุ้มเลย ทำให้คนซุ่มซ่ามอย่างเราปลอดภัยจากการเดินถ้ำ ส่วนรายละเอียดห้องไหนเป็นห้องไหนบ้างนั้นเราจำได้ไม่หมด อยากให้มาชมกันเองมากกว่า เสร็จจากชมถ้ำเราให้กำลังใจน้องยอดไป 100 บาท ค่าขนม

บันไดทางขึ้นไปถ้ำ
เวลาในการเดินในถ้ำ

ไกด์สุดหล่อน้องยอด กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 ครับ

การกำเนิดถ้ำ

บันไดชันมาก

ข้อควรระวัง และข้อปฏิบัติ เตือนไว้หน้าถ้ำเลย

ปากทางเข้าถ้ำ

ไหว้พระกันก่อน

ทางเดินเข้าห้องค้างคาวเจอแล้วเจ้าถิ่น

ห้องหนุมาน หินงอกด้านซ้ายมือมีรูปเหมือนหนุมาน แต่โดนนักท่องเที่ยวฝรั่งเอามือไปเท้าทำให้หินหักไป

หนุมาน หักไปแล้ว

หินดนตรีทางออก

     ขากลับเดินกลับอีกทาง เพื่อไปหาร้านซื้อของกิน เราเดินตามมือน้องยอดที่ชี้มาว่ามีของขายอยู่ทางโน้น เดินล่องลอยกันมาเรื่อยๆ เจอร้านขายของที่ระลึก เพื่อนเราหอบหิ้วเปลที่ทำจากผักตบชวากลับบ้าน เดินโต๋เต๋กันต่อไปทางรีสอร์ทที่พัก เจอร้านของชำของชาวบ้านแล้วดีใจมาก เป็นของกินที่ขายตามราคาปกติ พวกเราสอยขนมไปกันใหญ่ เผื่อน้องหมาด้วย เอาให้หายอยากกันไป ช่วงบ่ายวันนี้ฝนตกยาวเลย อากาศดีมาก เรานอนจนอิ่ม ตกเย็นก็ไปเล่นน้ำ กินข้าว เข้านอนเตรียมตัวกลับบ้านพรุ่งนี้   ร้านขายของที่ระลึก ภายในร้านขายของที่ระลึกของชาวบ้านเปล เพื่อนเราหอบหิ้วกลับกรุงเทพฯ ร้านของชำ ราคาปกติค่ะมิตรใหม่ กินขนมอิ่ม เลยมีอาการแบบนี้

     เช้าวันที่สาม เราต้องกลับแล้ว เราออกจากรีสอร์ตประมาณ 8.30 น. ล่องเรือกลับไปที่เดิม รอรถสองแถวจากรีสอร์ทไปส่งที่ปากทาง รอรถบัสแดงที่ศาลาพัก ต้องขึ้นรถแดงแล้ว เลี่ยงไม่ได้ รถตู้ไม่จอดรับคนกลางทาง ขึ้นรถแดงได้อย่างเดียว เรารอประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ได้ขึ้นรถบัสแดงที่มาจากทองผาภูมิ ไปลง บขส.กาญจนบุรี ค่ารถ 50  บาท ในรถลมโกรกเย็นดี เรากับเพื่อนนั่งตรงที่นั่งติดประตูท้ายรถ ซึ่งพี่กระเป๋ารถบัสอยู่ตรงแถวนั้นด้วย เราก็ถามโน่นนี่ไปตามประสาคนชอบคุย พี่กระเป๋าก็ชอบคุยด้วย ได้เรื่องมาหลายอย่างเช่น กาญจนบุรีปลูกสตอเบอรี่ ทุเรียน เงาะ มังคุด ด้วย

นั่งเรือกลับ

รถรีสอร์ทมาส่งที่ป้ายรถ

ภายในรถบัสแดง

รถบัสแดงที่เรามากัน

     ถึงที่ บขส. กาญจนบุรี ประมาณสิบโมงครึ่ง เจอพี่ประเสริฐผู้ใจดีคนเดิม เราถามข้อมูลรถไปลงที่ต่างๆ เรากับเพื่อนแยกย้ายกันไปจองตั๋ว เราไปจองตั๋วรถกลับศรีราชาตอนเที่ยง ส่วนคุณเพื่อนโทรนัดรถตู้ลงฟิวเจอร์ตอนเที่ยงเช่นกัน ก่อนเดินทางแยกย้ายก็หาของกินกันก่อน เบ็ดเสร็จใช้จ่ายกันไปคนละ 3,280 บาท ร่ำลากันไป ทะเลาะกันใหม่ในทริปหายใจทิ้งปีหน้า เราถึงศรีราชา สี่โมงครึ่ง พกความสุขกลับมาพร้อมทำงานต่อ พฤษภาคมนี้เราจะไปเยือนคีรีวง แล้วจะเขียนมาเล่าให้ฟังอีกค่ะ บ๊าย บาย

รถกลับศรีราชา