Halo Bromo - Kawah Ijen @ INDONESIA
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสถานที่ท่องเที่ยวในกระแสช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นประเทศเพื่อนบ้านของเรา หลายๆคนน่าจะเคยได้ยินชื่อ "โบรโม่ คาวาอิเจี้ยน" มันคืออะไรและอยู่ที่ไหน น่าสนใจอย่างไรทำไมถึงเป็นที่ที่คนไทยนิยมไปกัน มาร่วมหาคำตอบกับพวกเราในรีวิวนี้ได้เลยครับ
ข้อมูลทั่วไป
- โบรโม่ คือหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังดับไม่สนิทจาภูเขาไฟทั้งหมดประมาณ 400 ลูกของอินโดนีเซีย ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2,392 เมตร ซึ่งเคยเกิดระเบิดมาแล้วถึง 3 ครั้ง ภายในระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ครั้งล่าสุดที่ภูเขาไฟโบรโม่เกิดการระเบิดก็คือเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 ที่ผ่านมา
- คาวาอิเจี้ยน คือภูเขาไฟที่มีการระเบิดหลายครั้งในอดีตและมีการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ โดยการระเบิดครั้งสำคัญคือ ปี 1817 ที่มีการปะทุและเกิดทะเลสาบรอบปล่องภูเขาไฟ
การติดต่อไกด์
ไกด์ท้องถิ่นมีหลายเจ้าให้เลือกมากมาย เรื่องราคาก็แตกต่างกันไปแล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละคน ผมได้รวบรวม contacts แต่ละเจ้าไว้แล้วตามนี้เลยครับ (อาจจะมีมากกว่านี้)
-
- Novan : bromozigzag@gmail.com
- Tommy : blueisland_024@yahoo.com
- Adit : apalerentcar@yahoo.co.id
- PINK : pinkhouse_rc@yahoo.com
- Arta : info@artabalitours.com
- Arif : arif.travel35@yahoo.com
- Dyana : da_rifi@yahoo.co.id
- Didik : kuatrachmadi51@gmail.com
ส่งอีเมลไปแจ้งเขาว่าเราต้องการจะไปที่ไหนบ้าง อยากพักที่ไหน มีเวลากี่วัน แจ้งไฟท์บินทั้งไปและกลับ ทางไกด์จะจัดตารางมาให้พร้อมราคา ซึ่งถ้าไม่พอใจก็สามารถต่อรอง ปรับเปลี่ยนได้แล้วแต่ตกลงกัน สำหรับกลุ่มผมนั้นลงเอยที่ Arif ไม่ใช่เพราะตอบเร็วสุด ถูกสุด ก่อนที่จะเลือกไกด์พวกเราก็เอาชื่อไกด์หรืออีเมลไปเซิซหาข้อมูลของไกด์คนนี้รูปร่าง หน้าตา ดูเป็นมิตรไหม เพราะบางคนหน้าโหดไป 55+ เลยปรึกษากับเพื่อนๆ เหมือนจะถูกชะตากับไกด์ Arif ก็เลยเลือกไกด์คนนี้ (ตรรกะอะไรของมัน) แต่สุดท้ายแล้ว Arif ก็ส่งคนมาดูแลพวกเราอีกที ไม่ใช่ Arif เองที่มาดูแลพวกเราตลอดทริป อ้าวซะงั้นไป 5555+
สรุปแพ็คเกจตามนี้
My package price for 6 person is 13.650.000 idr. my package include
* rentcar, gasoline, parking and room driver
* jeep 4 location
* entrance fee bromo,ijen,madakaripura and belawan waterfall
* hotel at ijen 1 night
* hotel at bromo 1 night
* hotel at surabaya 1 night
* loco guide at ijen and madakaripura waterfall
* ride horse at bromo
* motorcycle
* gas mask
Exclude
* meal
การเลือกรถ jeep
จากที่อ่านๆรีวิวมาจะเห็นหลายๆคนขึ้นไปถ่ายบนรถ jeep ปีนตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง แนะนำให้บอกกับไกด์แรกๆว่าอยากได้รถ jeep สีอะไร เลือกแบบที่สามารถปีนขึ้นไปถ่ายบนหลังคาได้ กลุ่มผมไม่ได้ขึ้นไปถ่ายบนหลังคาเพราะรถไม่มีแร็คหลังคา ทางไกด์ก็คอยห้ามโน่นนี้ตลอด ตอนนั้นก็รู้สึกเซง เห็นกลุ่มๆอื่นขึ้นไปถ่ายบนหลังได้ ก็อยากบ้าง 55+ แต่ไม่เป็นไรวิวอื่นๆมีให้ถ่ายอีกเยอะ
ที่พัก Bromo
ที่พักยอดฮิตของคนไทยส่วนใหญ่คงไม่พ้น Cemara Indah hotel ก็สมกับที่คนไทยนิยมจริงๆ เพราะวิวสวย เห็นภูเขาไฟโบรโม่ชัดเจน ถ้าถามว่าไปโบรโม่พักที่ไหนดี ก็คงต้องแนะนำที่นี่แหละครับ 55+ แต่เรื่องเครื่องทำน้ำอุ่นต้องทำใจนิดนึงนะครับ ตอนเช็คอินเขาบอกว่า น้ำอุ่นเปิดน้ำแล้วให้รอประมาณ 2 นาที แล้วน้ำจะร้อน แต่ตอนอาบจริงๆ เปิดเป็น 10 นาทียังไม่ร้อนเลย สุดท้ายก็ต้องทนสั่นอาบน้ำเย็น(มากๆ)
ที่พัก Kawahijen
ที่พักยอดนิยมของคนไทยที่ kawahijen ก็คือ Catimor homestay และ Arabica homestay ซึ่ง Catimor จะเข้าไปลึกกว่าและใกล้กับน้ำตก blawan กลุ่มผมเลือกพักที่ Catimor homestay เรื่องความสะอาดก็พอใช้ได้ น้ำอุ่นใช้ได้ทุกห้อง เรื่องวิวไม่ต้องพูดถึงเพราะที่นี่อยู่ในหมู่บ้าน ไม่เห็นวิวอะไร
การเตรียมตัว
สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมากๆในการมาโบรโม่และคาวาอิเจี้ยน
- เสื้อกันหนาว เน้นที่เป็นแจ็คเกตนะครับรับรองว่าสบายชัวร์
- ผ้าปิดปากมีก็ดีครับ(คนละอันกับที่ไกด์มีให้นะครับ ที่ไกด์ให้จะเป็น gas mask) ใส่ตอนขึ้นไปถึงปากปล่องภูเขาไฟ เพราะ gas mask ไกด์จะไม่ได้แจกตลอดหรือบางทีก็ไม่แจกเลยเพราะเราไม่ได้เข้าไปใกล้โซนที่จะต้องใส่ขนาดนั้น ***อันนี้ประสบการณ์จากผมเองหลังลงจากปล่องภูเขาไฟผมตัวร้อน มึนหัวมาก เรียกได้ว่าแย่เลยครับตอนนั้นอยากจะกลับประเทศไทยเลยเพราะกลัวเป็นอะไรมาก กลับถึงไทยก็รีบไปโรงพยาบาล สรุปเป็นเกี่ยวกับทางเดินหายใจ น่าจะเป็นเพราะกำมะถันที่สูดเข้าไปเยอะตอนขึ้นไปบนปล่องอะครับ
- ไฟฉาย ไกด์ไม่มีไฟฉายให้นะครับต้องเตรียมไปเอง แบบคาดหัวจะโอเคมาก
- พลกำลัง ออกกำลังไว้บ้างเพราะการเดินขึ้นคาวาอิเจี้ยนระยะทางประมาณ 3 กิโลกว่าๆ ชันบ้างราบบ้างประกอบกับอากาศที่หนาวเย็น ถ้าคิดว่าโบรโม่ คาวาอิเจี้ยนเป็นทริปสบายๆ คิดผิดครับ แทบจะไม่ได้นอนเลยดีกว่า เพราะคาวาอิเจี้ยนต้องตื่น ตี 1 เพื่อขึ้นไปให้ทันดูบลูเฟรม และโบรโม่ต้องตื่น ตี 3 เพื่อขึ้นไปให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น ที่นี่พระอาทิตย์ขึ้นเร็วมากครับ
- ยาแก้เมารถ จะขึ้นเขาบ่อยหน่อยครับพกไว้อาจจะได้ใช้
- เสื้อกันฝน ใช้ที่น้ำตกซื้อที่โน่นก็ได้มีให้เลือกหลายแบบ
อุปกรณ์ถ่ายภาพ
- Canon EOS 60D
- Sony A5100
- Sony A6500
- Gopro Hero 4 silver
- DJI Mavic pro
- Iphone 6, 6+, 7
ซิม internet
พวกเราซื้อซิมของ travel sim ของ true ครับ เพราะรองรับทั้งสิงคโปร์และอินโดนีเซีย ที่อินโดนีเซียทางที่พวกเราต้องไปส่วนใหญ่เป็นเขา สัญญาณจะขาดๆหายๆบ้าง แต่ถ้าเลือกไกด์ดีๆรถของไกด์จะมี wifi ให้ด้วยเป็นอะไรที่ดีมากมาย 55+
แผนการเดินทาง
การเดินทางมาโบรโม่ต้องลงที่สนามบินสุราบายาหรือคนอินโดจะเรียกกัน Juanda International Airport ซึ่งจากประเทศไทย ณ ตอนนี้ไม่มีสายการบินที่บินตรง จะต้องไปต่อเครื่องที่
- Singapore สำหรับ Tiger air
- Kuala lumpur สำหรับ airasia
กลุ่มผมเลือก Tiger air เพราะมีแพลนจะเที่ยวสิงคโปร์ตอนขากลับประกอบกับช่วงเวลาที่จองตั๋ว Tiger air ให้ราคาดีกว่ามาก เลยตัดสินใจได้ไม่ยาก พวกเราเดินทางวันที่ 3 พ.ค. 60 ตอนสองทุ่ม ถึงสิงคโปร์ ห้าทุ่มกว่าก็นอนใน ตม. เลย เช้าวันที่ 4 พ.ค. 60 ก็บินไปสุราบายา อินโดนีเซีย เพื่อไปเจอไกด์ที่นัดไว้
และสำหรับแผนการเดินทางที่อินโดนีเซียจากที่ติดต่อไกด์ ได้แผนการเดินทาง 4 - 7 พ.ค. 60 ผู้ร่วมเดินทา 6 คน ดังนี้
4 may 2017
* 09.35 am : arrive at surabaya
* 10.00 am : go to ijen by car during 7 hour
* 17.00 pm : check in hotel near ijen ( catimor )
5 may 2017
* 01.00 am : ijen tracking
* 09.00 am : check out and go to blawan waterfall
* 10.00 am : go to bromo by car during 7 hour
* 17.00 pm : check in hotel near bromo ( cemara indah )
6 may 2017
* 03.00 am : bromo tour 4 location ( penanjakan view point, bromo crater, savanna and whispering sands )
* 09.00 am : back to hotel and breakfast
* 10.00 am : check out and go to madakaripura waterfall
* 11.00 pm : madakaripura waterfall
* 13.00 pm : go to surabaya by car during 3 hour
* 16.00 pm : check in hotel at surabaya ( cahaya hotel )
7 may 2017
* 08.00 am : check out and go to airport
* 10.15 am : departure
Finish trip
หลังจากสิ้นสุดทริปที่อินโด ไกด์ส่งพวกเราที่สนามบินก็นั่งเครื่องกลับมา Singapore เที่ยวและค้าง 1 คืน(เหตุผลที่เลือกค้างคืนที่สิงคโปร์คิดว่าเป็นการผ่อนคลายจากที่เหนื่อยกับการเดินขึ้นภูเขาไฟที่อินโดนีเซีย เลยมาตะลุยกิน ท่องราตรี ที่สิงคโปร์ ซึ่งตามจริงแล้วรอต่อเครื่องไม่นานก็มีให้เลือก แต่พวกเราไม่เลือกครับ 55+ ถือว่ามาเที่ยว 2 ประเทศเลย ) วันที่ 8 เดินทางไปสนามบินสิงคโปร์ขึ้นเครื่องกลับประเทศไทย
ค่าใช้จ่ายของพวกเรา หลายๆคนคงอยากทราบแล้วตามนี้เลยครับ (3-8 พ.ค. 60)
- ตั๋วเครื่องบิน Tiger air 6 คน 26340 บาท คนละ 4390 บาท
- น้ำหนักกระเป๋าขาไป 25 kg ขากลับ 35 kg (หารกัน) 5400 บาท คนละ 900 บาท **tiger air สามารถถือขึ้นเครื่องได้ 2 ใบ รวมกันไม่เกิน 10 kg และขาตั้งกล้องต้องโหลดเท่านั้น
- ค่าไกด์ทัวร์ 6 คน 13.650.000 idr คนละ 2.275.000 idr เป็นเงินไทยโดยประมาณ 6000 บาท
- ประกันเดินทาง cigna คนละ 652 บาท
- true travel sim 399 บาท คนละ 66 บาท
- ที่พักสิงคโปร์ Wink Hostel 6 คน 5600 บาท คนละ 935 บาท
- แลกเงินสิงคโปร์ (ค่าเดินทาง ค่ากิน) คนละ 2000 บาท
- แลกเงินอินโดนีเซีย (ค่ากิน) คนละ 2000 บาท
รวมๆแล้วตกคนละประมาณ 17000 บาท
สาระมากพอแล้วมั้ง 55+ ไปติดตามการเดินทางของพวกเรากันเลยครับ
วันที่ 1 3 พ.ค. 60
พวกเรารวมตัวกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ จัดการเช็คอิน(สำหรับกระเป๋าที่โหลดรับได้ที่ปลายทางระหว่างรอต่อเครื่องจะไม่ได้รับกระเป๋านะ) และหาของกินรองท้องเตรียมพร้อมเรื่องซิม
พร้อมออกเดินทาง 2 ทุ่ม
ถึงสนามบินสิงคโปร์เวลาประมาณ 23.30
พวกเราไม่ผ่าน ตม. ออกมาครับเพราะจะนอนและหาของกินข้างในนั้นเลย ก่อนขึ้นเครื่องก็เพิ่งกิน ลงเครื่องก็หิวอีกล่ะ 55+ แต่ใน ตม. ของอร่อยๆเยอะอยู่น้าาา พลาดไม่ได้ต้องไปกิน และก็ซิมที่ซื้อมาก็จัดการใส่และเปิด roaming ใช้งานได้ทันที ดีจังแฮะ
หลังจากอิ่มก็เดินหาที่นอน ได้ที่เหมาะเลยคือ ด้านหลัง kaya toast มีคนนอนกันเยอะ ไม่เหงาแล้วคืนนี้
**ประมาณตีสาม จะมีเจ้าหน้าที่ถือปืนด้วย(รู้สึกกลัว) เดินตรวจขอดู boarding pass ถ้าไม่มีไฟท์บินเช้า เจ้าหน้าที่จะเชิญให้ออกจาก ตม. ครับ พอดีพวกผมบินตอน 8.15 ก็เลยรอด หลับต่อได้ Zzz
วันที่ 2 4 พ.ค. 60
ตื่นล้างหน้าแปรงฟันพร้อมมุ่งสู่ สุราบายา เราได้ติดต่อและรายงานกับ Arif ตลอดว่าตอนนี้อยู่ไหน ถึงไหนแล้ว Arif ไลน์มาบอกว่า เมื่อถึงสนามบินทีมของเขาจะมารับพวกเรา Arif ส่ง contact ของไกด์ที่จะมารับให้ทางไลน์ จึงได้รู้ว่าไกด์ที่จะคอยดูแลพวกเราชื่อว่า Ferry ตอนแรกนึกว่า Arif จะมาเองฮ่าๆ
8.15 ไปกันเลย... อ้าวววทำไมยังไม่บิน สรุปไฟท์ดีเลย์ไปชั่วโมงกว่าๆ พวกเราก็ไลน์บอก Arif ว่าจะถึงช้าหน่อย ดีที่แพลนวันแรกไม่มีอะไรมากแค่นั่งรถต่อยาวๆถึงคาวาอิเจี้ยน
สรุปพวกเราถึง สุราบายา ประมาณ 11.30 ก็ไลน์คุยกับ Ferry ว่าถึงแล้วรอ ตม. กับรับกระเป๋าแปบนึง หลังจากออกมาพวกเราก็มองหาป้ายไกด์ นั้นไงงงง Ferry พวกเราก็ทักทาย Ferry จับไม้จับมือ ยินดีที่ไม่รู้จักเห้ยย ไม่ดิ ยินดีที่ได้รู้จัก จากนั้น Ferry ก็พาเราไปที่รถเก็บกระเป๋าเตรียมออกเดินทางสู่คาวาอิเจี้ยน (บนรถมีน้ำ ไวไฟ ทีวี)
แพลนอินโดนีเซีย ก็เริ่มขึ้น ณ บัดนี้….
เนื่องจากตอนเช้าพวกเรายังไม่ได้กินอะไรกันเลย เลยบอก Ferry พาพวกเราไปกินข้าวก่อน นั่งรถออกจากสนามบินไม่นาน Ferry ก็มาแวะร้านๆหนึ่งถามพวกเราว่าเอาร้านนี้ไหมพวกเราก็ไม่รู้เรื่อง
ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แต่ local มากๆ ไหนๆก็ไหนๆล่ะ ลองกินดูก็ได้ จำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไรเหมือนกัน เป็นเหมือนซุปไก่ มีเส้นกินกับข้าว (มื้อนี้ออกเอง) รสชาติก็พอกินได้ ส่วนตัวคิดไว้แล้วว่ามาอินโด "กินเพื่ออยู่" ค่อยกลับไป "อยู่เพื่อกิน" ที่เมืองไทย 55+
และนี้คือไกด์ของเรา ยังเห็นหน้าไม่ชัด
จากนั้นก็เดินทางต่อ Ferry แวะมินิมาร์ท ห้องน้ำให้พวกเราตลอด
สำหรับถนนหนทางจากสนามบินไปคาวาอิเจี้ยนเป็นเลนสวนกัน ขับกันน่ากลัว จี้ตูดกันตลอด จะชนคนเดินข้างทางหลายรอบ แต่ไกด์น่าจะชำนาญแล้วล่ะ พวกเราก็นั่งหลับไม่อยากมอง 55+
ระหว่างทางใกล้ถึงคาวาอิเจี้ยนส่วนใหญ่จะเป็นเขา ใครเมารถให้เตรียมยาแก้เมาไปด้วยนะครับ พวกเรามาถึง Catimor homstay ที่ คาวาอิเจี้ยน ประมาณสองทุ่ม เก็บกระเป๋าแล้วออกมาสั่งข้าวเย็นที่ homestay เขาจะจัดเป็นชุดๆไว้ ชุดนึงกินได้ 2 คน (มื้อนี้ออกเอง)
คือในหนึ่งชุดจะมี ผัดมาม่า,ไก่ทอด,ซุปถั่วฝักยาว,มันทอด,ออมเล็ต,แตงโม,ข้าวเกรียบ,ข้าวสวย ถามว่ากินได้ไหม พอกินได้ 55+
หลังจากกินอิ่มก็เข้าห้อง อาบน้ำพักผ่อน (น้ำอุ่นใช้ได้) เตรียมขึ้นคาวาอิเจี้ยนตอนตีหนึ่ง ไกด์จะมาปลุกประมาณเที่ยงคืนครึ่ง
วันที่ 3 5 พ.ค. 60
ถามว่าหลับหรือยัง เรียกว่าไม่ได้นอนดีกว่า Ferry นำมื้อเช้ามาให้พวกเราด้วย แต่ตอนนั้นยังไม่หิว เลยเก็บไว้บนรถก่อนเป็นขนมปังกับไข่ต้ม หยิบเสื้อกันหนาว ไฟฉายให้พร้อม เตรียมขึ้นคาวาอิเจี้ยน เพราะมันหนาวแน่ๆ นอกจาก Ferry ไกด์ประจำกลุ่มเราแล้วยังมีไกด์ท้องถิ่นที่คาวาอิเจี้ยน คอยนำทางพวกเราเดินขึ้นด้วย
ระหว่างทางแหงนขึ้นไปเห็นช้างเป็นลำเลย
วิวเมืองก็มี
พวกเราใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ถือว่าทำได้ดี ทันดู บลูเฟรม พวกเราไม่ได้เดินลงไปดูใกล้ๆ เพราะเห็นว่าคนเยอะ เลยเดินอยู่ข้างบนถ่ายรูปดีกว่า
และเดินต่อไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้น ระหว่างรอก็หนาวจิง บ่นในใจไม่ดูแล้วได้ไหม อยากกลับที่พัก 55+
แสงมา แดดมาก็ได้เวลาถ่ายรูปกันแล้วดิ
เก็บภาพมุมสูงสักหน่อย ถ่ายจากโดรน
ได้เวลาเดินกลับ
ระหว่างทางกลับวิวสองข้างทางสวยงามมาก ตอนเดินขึ้นมามันมืด เลยไม่รู้ว่าสองข้างทางมีอะไรบ้าง พอสว่างเท่านั้นแหละ ร้องโหเลยยย
ต้นไม้ปะหลาดด
นี้โฉมหน้าไกด์ท้องถิ่นที่นำขึ้น คาวาอิเจี้ยน
เดินลงตอนแรกคิดว่าง่ายๆ ที่ไหนได้เจ็บปวดกว่าตอนขึ้นอีก เพราะทางมันชันแล้วต้องจิกปลายเท้าตลอด เจ็บเลย พวกเราแวะจุดพักกลางทาง กินโอวัลติน ไข่ต้ม
และก็เดินต่อไป
ถึงแล้วเห็นรถพวกเราจอดอยู่ ดีใจมาก 55+
Ferry บอกว่าจะไปแวะน้ำตก Blawan ก่อนกลับที่พัก น้ำไหลแรงมากมาย
จากนั้นก็กลับที่พัก Ferry ให้เวลาพวกเราพักผ่อน เก็บของหนึ่งชั่วโมง และเช็คเอ้าท์ 10 โมงเดินทางต่อไปยังโบรโม่ และนี้คือที่พักที่พวกเราพักเมื่อคืนครับ
เดินทางไปโบรโม่และแวะกินข้าวกลางทาง local อีกแล้วครับท่าน (มื้อนี้ออกเอง)
จากนั้นก็หลับกันบนรถอีกเช่นเคยไม่อยากมองทาง จน
ถึงที่พัก Cemara indah ที่ โบรโม่อย่างปลอดภัย
วิวที่พัก
มาชมมุมสูงกันบ้าง บรรยากาศคูลๆ
ที่พักที่นี้มี wifi เครื่องทำน้ำอุ่นแต่ใช้ไม่ได้- - และเสื้อแจ็คเกตให้เช่าสำหรับคนที่เตรียมมาไม่พอ ส่วนอาหารเย็นวันนี้ก็สั่งกับทางโรงแรมได้เลย มาอินโดทั้งนี้ต้องลองเบียร์สักหน่อย (มื้อนี้ออกเอง)
ส่วนภาพอาหารนั้นไม่ได้ถ่าย ต้องขอโทษด้วยครับแฮะๆ
จากนั้น Ferry ก็มานัดแนะพวกเรา พรุ่งนี้ต้องตื่นตีสาม เพื่อยังชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว Penanjakan 1 Ferry จะมาปลุกประมาณตีสองครึ่ง
วันที่ 4 6 พ.ค. 60
ได้เวลาตื่นเตรียมของออกมายังจุดนัดพบ การขึ้นไปยังจุดชมวิวต้องใช้รถ Jeep ซึ่งพวกเราก็ได้เลือกแล้วว่าจะเอา Jeep สีแดง ส่วนคนขับนั้นก็เป็นไกด์ท้องถิ่นอีกคน ไม่ใช่ Ferry เพราะ Ferry จะคอยเตรียมม้าให้พวกเราหลังลงจากจุดชมวิว
นั่งรถ Jeep เกือบๆชั่วโมงก็มาถึงจุดชมวิว ไกด์บอกให้พวกเราถ่ายป้ายทะเบียนไว้เวลากลับมาจะได้หารถเจอ
ที่จุดชมวิวนี้มีของขาย มีเสื่อให้เช่า พวกเราก็เช่ามาเช่นกันเพราะกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นก็หนาวสั่นกันไป ระหว่างที่รอก็ถ่ายดาว ถ่ายช้างไปเรื่อย พวกเราโชคดีมากเจอช้างทุกวันเลย
เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ภาพหมู่ก็ต้องมา บังวิวหมดเลย 55+
และพวกเราก็ได้เห็นวิวโบรโม่ที่สวยงาม
มาชมอีกมุมบ้างครับ เสียดายพวกเราไม่เจอทะเลหมอก
จากนั้นก็กลับมาที่รถ เดินหารถดูป้ายทะเบียนตามที่ถ่ายมา
และลงจากจุดชมวิวเพื่อที่ไปขี่ม้า แต่กว่าจะลงได้ใช้เวลานานเหมือนกันเพราะทางแคบสวนกันน่ากลัว กลัวตกเขา 55+
เมื่อมาถึงข้างล่างแต่ยังไม่ถึงจุดขี่ม้านะ พวกเราก็เห็นรถคันอื่นจอดถ่ายรูปกับวิวภูเขา ถ่ายกับรถบ้างไรบ้าง
พวกเราก็เลยบอกให้ไกด์จอด แต่ไกด์รู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ที่พวกเราให้จอด ก็ไม่รู้ทำไม ไกด์ให้เวลา 10 นาที ในการถ่ายรูป พวกเราก็ต้องแข่งกับเวลาได้ภาพดีบ้างไม่ดีบ้าง จะปีนขึ้นไปถ่ายบนหลังคารถก็ไม่ได้ ไกด์ห้ามเด็ดขาด แต่เห็นคันอื่นก็ปีนกันได้ ตอนนั้นพวกเราไม่พอใจกับไกด์คนนี้เลย ห้ามโน่นห้ามนี้ตลอด เหมือนจะไม่ให้นั่งที่กระโปรงรถด้วยมั้ง เซงเล็กๆ พวกเราก็สังเกตคันอื่นๆนะ เห็นว่าคันที่เขาปีนขึ้นไปถ่ายได้ส่วนใหญ่จะเป็นคันที่มีแร็คหลังคา ซึ่งคันพวกเราไม่มี ก็เลยเข้าใจ แนะนำสำหรับใครที่อยากถ่ายบนหลังคารถบอกกับไกด์ไว้เลยว่าอยากถ่ายแบบนี้ขอรถที่มีแร็คหลังคา ไกด์จะได้จัดหามาให้
คันพวกเราหลังคาโล้นๆเลย เฮ้ออ
รูปสุดท้ายก่อนไกด์จะเรียกขึ้นรถ เป็นการถ่ายรูปที่ทำเวลาสุดๆ 55+
จากนั้นก็นั่งรถต่อไปยังจุดจอดรถ เตรียมขึ้นม้า
ได้เวลาเปลี่ยนจากรถเป็นขี่ม้า เห็นทางเดินแล้วท้อได้นั่งม้าแล้วสบายใจหน่อย
ขี่ม้าก็ต้องระวังด้วยนะครับ เพื่อนในกลุ่มตกม้าเพราะเดินๆอยู่ม้าสะดุดหินเลยล่วงลงมา แต่ไม่เป็นไรมาก
ม้าก็เดินเร็วเหลือเกิน
จากจุดที่พวกเราขึ้นม้า ม้าจะไปส่งพวกเราเกือบๆถึงบันไดขึ้นไปปากปล่องโบรโม่ แนะนำนะครับสำหรับใครที่อยากถ่ายรูปชิลๆเรื่อยๆ ไม่แนะนำให้ขี่ม้าทั้งไปและกลับเพราะเหมือนเขารีบทำเวลา จะถ่ายระหว่างขี่ม้าก็ต้องคอยจับระวังตกม้า และก็ไม่ได้ขี่ม้าไปพร้อมกับเพื่อนๆเหมือนใครขึ้นก่อนก็ไปก่อน รูปรวมๆตอนขี่ม้าแทบไม่ได้มาเลย หรือถ้ามากันเองแนะนำให้ขี่ม้าไม่ขาไปก็ขากลับครับเลือกเอาสักขานึง อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ
กว่าจะได้ถ่ายกับม้า
ลงจากม้าคนดูแลม้าก็จะให้ป้ายชื่อเขากับเราเวลาลงมาก็ยื่นป้ายชื่ออันนี้ให้เขา ก็ได้ขี่ม้าตัวเดิมกลับ จริงๆอยากเปลี่ยนม้าบ้าง 55+ บริเวณนั้นจะมีชาวบ้านขายดอกไม้เอาไว้อธิษฐานแล้วโยนลงไปในปากปล่องตามความเชื่อแหละมั้ง
ระหว่างเดินลองหันหลังไปมองสวยงามมาก อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเลย
ขึ้นบันไดไปตามทาง จะช้าหน่อยเพราะคนหยุดพักเยอะ เห็นแค่นั้นก็เหนื่อยเอาเรื่องนะ
พอขึ้นไปดูบนปากปล่อง เห็นเศษซากดอกไม้เพียบเลย ผมไม่โอเคเท่าไหร่ แต่ก็เป็นรายได้ของพวกเขาแหละ บริเวณนี้กลิ่นกำมะถันก็ยังพอมีอยู่นะแต่ไม่แรงมาก ไม่ต้องใส่ผ้าปิดปากก็ได้ พวกเราอยู่บริเวณปากปล่องสักพัก เพื่อเก็บภาพที่สวยงาม
ภาพมุมสูงบ้าง
หลังจากนั้นเดินลงไปขึ้นม้า เดินหาม้าตัวเดิม
เสร็จจากตรงนี้ก็นั่ง Jeep ไปทุ่งหญ้าสะวันนา อยู่ด้านหลังโบรโม่
พวกเราไม่ได้ถ่ายกับทุ่งหญ้าเลยมัวแต่ถ่ายกับรถ 55+
เสร็จแล้วก็ไป Whispering Sands บริเวณนี้เป็นจุดหนึ่งที่ถ่ายรูปได้สวยงาม
ได้เวลาตอนนี้ 9.00 กลับที่พักไปกินข้าวเช้า ที่พักของเรามื้อเช้าได้ถึง 10.00 แต่กว่าจะถึงที่พักก็เกือบไม่ทันเหมือนกัน 55+ ก่อนจากกับไกด์ที่ขับรถก็ให้ทิบเล็กๆน้อยๆ ถึงแม้จะไม่พอใจเท่าไหร่ถือเป็นน้ำใจจากคนไทยครับ
Ferry เดินมาบอกพวกเราว่า 11.00 ต้องเดินทางต่อ เพื่อไปน้ำตก Madakalipura พึ่งจะได้พักแปบเดียวเอง เดินทางอีกแล้ว บ่นๆๆ
หนึ่งชั่วโมงก็ถึงไม่นานนี่หว่า ทีนี้ต้องเปลี่ยนจากนั่งรถเป็นนั่งมอไซค์เข้าไป พวกเราไม่ต้องจ่ายเพราะรวมในแพ็คเกจแล้ว น้ำตกที่นี้ต้องใส่เสื้อกันฝนด้วยเพราะทางเดินเข้าไปเปียกแน่นอนหรือใครอยากเล่นน้ำอยู่แล้วไม่ใส่ก็ได้ หลังลงจากมอไซค์ ก็ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 1.5 km โดยมีไกด์ท้องถิ่นกับ Ferry พาเราเข้าไป
สะบักสะบอมตามรูป 55+
ถึงจุดแลนด์มาร์คเสียที
ไกด์ท้องถิ่นบริการดีมาก ช่วยถ่ายรูป ช่วยเหลือตอนปีนขึ้นไปชมน้ำตกด้านใน
ประทับใจไกด์คนนี้จริงๆ พอกลับออกมาก็ขอถ่ายรูปด้วยเลย จำชื่อไกด์ไม่ได้
จากนั้นก็นั่งรถกลับสุราบายา ระหว่างทางก็แวะร้านอาหาร Ferry ให้พวกเราเลือกจะไปร้านอาหารอินโดหรือร้านอาหารจีน พวกเราก็ตอบแบบไม่คิด ร้านอินโดก็ได้ 555+ สรุปก็ได้กินอย่างที่เห็น
และก็เดินทางต่อไปที่พักในเมือง
พวกเราพักที่ New cahaya hotel ใกล้กับสนามบิน ห้องโอเค ล็อบบี้ก็โอเค
ไฟท์ของพวกเราพรุ่งนี้ตอน 10.15 Ferry บอกพรุ่งนี้จะมารับ 7.30
วันที่ 5 7 พ.ค. 60
ตื่นเช้ากันอีกแล้ว ออกมากินมื้อเช้าโรงแรม
เช็คเอ้าท์และขนสัมภาระไปสนามบิน จะต้องกลับจริงๆแล้วหรือนี
ก่อนนจะจากพวกเราตกลงกันจะให้ทิบกับ Ferry พวกเราประทับใจมากดูแลดี อยากได้อะไรบอกได้หมด และขอถ่ายรูปกับ Ferry เป็นที่ระลึก Ferry ก็ขอไลน์พวกเราทุกคนด้วยเช่นกัน 55+ จากนั้น Ferry ก็รีบไปรับกลุ่มอื่นต่องานมาต่อเนื่องเลยจริงๆ 55+ ได้เห็นหน้าเต็มของ Ferry สักที
พวกเราเปลี่ยนเครื่องที่สิงคโปร์อีกเช่นเคยแต่คราวนี้จะไปค้างในเมืองสิงคโปร์ ถือโอกาสผ่อนคลาย ตะลุยกิน ก่อนจะกลับไทยพรุ่งนี้
โบกมือลา "อินโดนีเซีย" ประเทศที่มีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย #haloindonesia
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและสนุกไปกับการเดินทางของพวกเราครับ ฝากไลค์ฝากแชร์ฝากแคร์กันด้วยนะครับ
ติดตามเรื่องราวของผมได้ที่ เพจ "เที่ยวออกเดิน" by Fun_O
https://www.facebook.com/TiewOkDern/
https://th.readme.me/id/funotravel
http://pantip.com/profile/2443477
http://chillblog.chillpainai.com/index.php?c=home&a=share&uid=1373