ครอบครัวตัวอวบมุ่งหน้าจากแดนรถม้าสู่จุดหมายแรกอำเภอชะอำ
ด้วยเหตุที่สองสามีภรรยาแต่งงานครบรอบ 5 ปี กับทายาทตัวน้อยอายุครบสามขวบ เลยตกลงปลงใจกันว่าเราจะหาทริปหนักๆเป็นกำไรให้ชีวิต พร้อมๆกับให้ลูกสาวสุดที่รัก ได้ไปสัมผัสน้ำทะเลเค็มๆเป็นครั้งแรก
ผมและแฟน มองหน้าสบตากันมาหลายเดือนตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ หมายว่าจะพาตัวเองสู่โลกกว้างอีกครา
หลังจากที่ครั้งสุดท้าย คือตอนไปฮันนีมูนกันที่กระบี่ จวบจนวันนี้ที่เราตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินกันจนจิตใจและร่างกายกรอบสะท้าน
จังหวะที่เราได้โปรโมชั่นเหมาะกับทริปที่วางไว้ 5 วัน 4 คืนโดยตั้งใจจะไล่ตระเวณกินเที่ยวกันตั้งแต่ชะอำไปจบที่หัวหิน เลยออกมาเป็น โรงแรมสวนบวกหาดชะอำ และไปต่อที่ Cera Resort และสุดท้ายที่ Amari หัวหิน
12 เมษายน 57
วันดีของการออกสตาร์ท
สามคนพ่อแม่ลูกนอนแทบไม่หลับทั้งคืน เพราะตื่นเต้นจัด เซลส์ในร่างกายร่ำร้องหาแต่ทะเลและสายลม
หลังจากตื่นขึ้นราวๆตีสี่ เราอาบน้ำแต่งตัว หอบกระเป๋าหิ้วมาอัดใส่รถเก๋งครอบครัวคันเล็กๆจนแทบโหลด
ซดเครื่องดื่มชูกำลังเรียกความสดชื่นและขับรถสวนมวลมหานักท่องเที่ยวที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือเพื่อมาสัมผัสสงกรานต์ล้านนา
ล้อหมุนราวๆตีห้าเศษ ผมขับรถไปเรื่อยๆด้วยความเร็วสบายๆไม่เกินเก้าสิบ แวะจอดเติมแก๊สและพักทานอาหารยืดเส้นยืดสายและถามทางมาตลอดทุกจังหวัด ใช้เวลาราวๆสิบสี่ชั่วโมง
ฝ่าการจราจรแออัดตั้งแต่ลำปาง กำแพงเพชร นครสวรรค์ เข้าสุพรรณ จนมาโผล่เพชรบุรี รวมเวลาหลงทางในเมืองชะอำอีกเกือบสองชั่วโมงจนถึงเป้าหมายพิกัดแรก โรงแรมสวนบวกหาด ในสภาพอิดโรย ขณะที่ภรรยาและลูกนั้นคึกเต็มที่ด้วยความที่คนภูเขาตื่นทะเล
ดูแล้วคงลงยาก เพราะคลื่นสีน้ำตาลขุ่นคลั่ก แต่เจ้าตัวน้อยตื่นเต้น ไม่ได้ลงทะเลก็ขอลงสระ
เหมือนที่เห็นในภาพ เธอเกาะระเบียงชะเง้อซะป๊ากับแม่ใจอ่อน ก็เลยต้องแทรกโปรแกรมให้นางฟ้าได้ลงสระ ปลดปล่อยพลังให้หิวก่อนแล้วค่อยไปหาอะไรใส่ท้องกัน[ส่วนผมเองขออนุญาตนอนพักรออยู่ริมสระให้ลมทะเลพัดโกรกให้หายเหนื่อยก่อนแล้วกัน]
ที่หมายที่เราแพลนไว้แบบว่าต้องห้ามพลาดคือสังเวียนซีฟู้ดครับ เย็นวันแรกของช่วงหยุดยาวสงกรานต์ เราเตรียมใจเผื่อแผนสำรองไว้เหมือนกัน เพราะเชื่อว่าคลื่นมหาชนต้องแห่กันมาถล่มอย่างแน่นอน
แต่ผิดคาด เพราะทางร้านเองก็เตรียมพร้อมเช่นกัน แม้นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศจะชี้พิกัดเดียวกัน แต่พื้นที่ตั้งแต่ตัวร้านไปจนถึงริมหาดก็เต็มไปด้วยโต๊ะที่คอยบริการมากมาย พนักงานวิ่งกันขวักไขว่ เสียงตะโกนโต้ตอบทั้งจากในร้านและลูกค้า ทำเอาบรรยากาศคึกคัก กลบเสียงคลื่นแทบสนิท เมื่อไปถึง เราพุ่งไปหาโต๊ะว่างที่เหลือไม่กี่ที่พร้อมเป็นฝ่ายเดินหาเด็กเสริฟท์เอง
หิวกันจนตาลายแบบนี้ เราแทบชี้เมนูทุกรายการ แต่ด้วยสติที่ยังพอมีบ้าง เลยตัดสินใจสั่งเฉพาะของโปรดและจานแนะนำมาทานกันก่อน ทั้งนี้ก็ต้องรวมเซ็ทพื้นฐานสิ้นคิดอย่างข้างผัด กุ้งชุบแป้งทอดให้เจ้าตัวน้อยของเราด้วย
เมนูที่สั่งจึงออกมาประมาณนี้จัดกันจนแทบไม่หมดครับ เพราะปริมาณอาหารเขาให้มาเยอะมาก (แถมราคายังน่าคบหาอย่างยิ่งด้วยนะ)
รสชาติ ความสดของกุ้ง หอย ปู ปลาและกั้ง มันหวานอร่อย เนื้อแน่นหนึบ ถูกใจคนภูเขาอย่างพวกเรามากๆ
ความแซ่บของต้มยำทะเล เรียกว่าซดกันซู้ดซ้าดเรียกความสดชื่นให้กะเพาะร้อนวูบว่าบดีสุดๆครับ
จัดหนักๆกับอาหารทั้งหมด ชำระค่าเสียหายเสร็จสรรพ ก็พากันกลับสู่ที่พักและหลับกันยาวครับ สำหรับวันแรก
เช้ารุ่งขึ้น เราไม่รอให้ใครปลุก เจ็ดโมงเศษๆ ทั้งสามคนก็พร้อมลุย ออกมาสูดอากาศริมทะเลกันพร้อมอาหารเช้าในบรรยากาศห้องอาหารโซนชายหาดของโรงแรมเธอเลยขอแค่เล่นทรายเก็บเปลือกหอยบนหาด
ดูเวลากับท้องฟ้าแสงแดด เราขึ้นจากหาดมาเช็คเอ้าท์กันราวๆสิบโมง เก็บสัมภาระออกจากโรงแรมมุ่งสู่ที่หมายถัดไป
วันนี้โปรแกรมของครอบครัวคือพิกัดทัวร์ภาคบังคับที่ทุกคนต้องไป ได้แก่ฟาร์มแกะสวิสชีพ และซานโตรินี่
มาตามเส้นทางและแวะสวนน้ำกันเป็นจุดแรก น่าเสียดายที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายก็คิดเหมือนเรา
คือโซนวอเทอร์แลนด์ของซานโตรินี่นั้น อัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมายจนเราต้องยอมแพ้ เปลี่ยนโปรแกรมเป็นเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศสบายๆอีกฝั่ง
อากาศกลางวันที่ค่อยๆร้อนอบอ้าวมากขึ้น นางฟ้าตัวน้อยชักเบื่อกับการเดินดูโน่นดูนี่ ผมเลยจัดไอศกรีมหวานเย็นให้แท่งโตๆ เธอเลยยิ้มออกแบบแหยๆ จากนั้นตกลงกับแฟนว่าเราจะพาเด็กดอยไปดูแกะกันที่อีกฝั่งถนน
อารมณ์ตอนนี้เราเหมือนแข่งกับเวลาครับ เพราะยังมีจุดหมายต่อไปรออยู่ก่อนเข้าที่พัก
ซึ่งที่หมายต่อมาคือโรงแรม Cera Resort ชะอำ
พิกัดนี้ เราเลือกเพราะเหตุผลของความสงบเงียบ เป็นส่วนตัว แม้ไม่มีหาดให้ลง แต่มีสระน้ำพอให้ได้แช่เล่นกันเพลินๆครับ
เราแวะทานอะไรง่ายๆตรงร้านตามสั่งระหว่างทางก่อนเข้าเช็คอินช่วงบ่ายโมง ซึ่งทันทีที่ถึงห้องพักและที่นอน นางฟ้าของเราก็ชัทดาว์นทันที
ดูฟ้าดูเมฆที่ดวงตะวันเริ่มคล้อย เลยตัดสินใจขอปิดทริปวันที่สอง ด้วยการไปหาอะไรอร่อยๆทานกันในระแวกแถวโรงแรมก็แล้วกัน
พลขับอย่างผมเป็นคนทานง่ายครับ เมื่อผบ.เขาสั่งแบบนั้น เจ้าตัวเล็กนี่ยิ่งง่าย ขอแค่มีไอศกรีม จึงเลี้ยวรถไปตามป้าย
แป๊บเดียวก็ถึงพิกัดความอร่อย ที่จอดรถกว้างขวางสะดวก บรรยากาศดีริมชายหาด
ช่วงเย็นแบบนี้ ลูกค้ายังไม่ค่อยหนาตา เราเลือกวิวพ้อยท์โอเพ่นแอร์ติดทะเลให้ได้เสพเสียงคลื่นลมเน้นๆ
แฟนมีหน้าที่เลือกรายการอาหาร ส่วนผมนั่งคอยดีกรีความอร่อยเป็นรองสังเวียนครับความแซ่บยังไม่ค่อยโดนลิ้นคนภูเขาอย่างเรา แต่ความสดของซีฟู้ดส์ทุกจาน เราให้ผ่านแบบอารมณ์ดี หอยเชลส์ผัดฉ่าถึงเครื่องใช้ได้ นอกนั้น สาดพริกน้ำปลาก่อนใส่ปากก็หยวนๆ
ราคาเป็นมิตร ไม่ต่างจากร้านซีฟู้ดส์แถวลำปางเท่าไหร่ แต่เรามาทานกันชายทะเล ความสดใหม่ชนะเลิศ เน้นด้วยความหวานธรรมชาติวัตถุดิบทุกอย่าง เราพอใจจริงๆ
(แม้กระทั่งร้านตามสั่งง่ายๆข้างทาง เราเลือกเมนูสิ้นคิดอย่างผัดกะเพราทะเลก็ยังกดไลค์ครับ)
กว่าจะจัดการทุกอย่างบนโต๊ะเสร็จ ความมืดก็มาทักทายแล้ว
เรากลับที่พัก อาบน้ำอาบท่า เปิดดูอะไรนิดหน่อยๆในโทรทัศน์แล้วก็หลับกันไป...ใต้ฟ้าชะอำ
เช้าวันที่สาม เราตื่นกันอย่างสดชื่นพร้อมเสียงคลื่นทะเลที่ทายทักกันตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
แต่ละคนจัดการภารกิจส่วนตัวเสร็จ เก็บกระเป๋าสัมภาระ ก็ลงมาทานอาหารเช้ากัน ก่อนมุ่งสู่ที่หมายต่อไป "หัวหิน"
วันที่สามของเทศกาลหยุดยาวมหาสงกรานต์ จุดนัดพบอย่างเวเนเซีย ก็ย่อมแน่นขนัดด้วยผู้มาเยือนจากทุกสารทิศ
ที่จุดซื้อตั๋ว ครอบครัวเราเลือกเซ็ทแพ็คเกจที่กับตรงนิสัย เป็นล่องเรือกอนโดล่า เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สามมิติ ชมสวนสัตว์เล็ก และสวนยุโรป ตบท้ายด้วยทริปถ่ายภาพเล็กๆอีกนิดหน่อย
เมื่อกลับถึงรถ เราเปิดกระจกระบายความร้อนก่อนจะเร่งแอร์จนสุด และพล๊อคพิกัดทัวร์ต่อไป
คุยกันแป๊บเดียว ก็ได้ความเห็นลงรอยกันว่า ต้องเพลินวาน
เราจะฆ่าเวลากันที่นี่พร้อมๆกับหามุมถ่ายภาพแอ๊คชั่นสวยๆและหาอาหารกลางวันทานกันตามรีวิว
ตัดสินใจกันลุยในวันนี้เพราะอยากหลีกให้โปรแกรมตะลอนกินในวันถัดไป เราขับรถฝ่าแดดร้อนแสบผิว บนถนนลูกรังที่กำลังซ่อมแซม ให้อารมณ์ออฟโร้ดพอๆกับสงสารรถ แต่มากันถึงตรงนี้ เราจะถอยกลับก็ไม่ได้แล้ว ต้องออกจากตัวเมืองหัวหินไปพอสมควร มีหน้าที่ไปให้ถึงอย่างเดียวครับ
ขับตรงมาเรื่อยๆ เลี้ยวอยู่ไม่กี่โค้ง ก็มาสู่ที่หมายครับ
เราขับเข้ามาที่จอดรถ ซึ่งจัดไว้กว้างขวางเป็นลานโล่ง ไม่มีร่มเงา แสงอาทิตย์สาดแรงอย่าบอกใคร
ข้างในตลาดน้ำเย็นสบายกว่าที่คิด บรรยากาศตกแต่งให้ได้อารมณ์วินเทจ ทั้งร้านรวง สินค้าที่ระลึกแนวย้อนยุค
มีโซนป้อนนมลูกแพะน่ารักเอาใจเด็กๆ เหมาะกับการมาถ่ายรูปเพลินๆ นั่งให้ลมพัดโกรกสักพัก น่าจะพอดีครับ
สมกับที่ตั้งใจมาอยู่หรอก...
ดูนาฬิกา ก็คิดว่าถึงเวลาที่เหมาะสมที่เราจะไปที่พักสุดท้ายสำหรับทริปของเราครับ
ปลายทางคือ Amari หัวหิน ที่จองกันไว้ล่วงหน้าหลายเดือน เท่าที่อ่านรีวิวมา ที่เราพอจะรู้คือโรงแรมหรู
แต่ก็ไม่คิดว่าจะหรูขนาดนี้ เพราะตั้งแต่เช็คอินไปจนถึงห้อง เป็นอะไรที่ไม่คุ้นชิน สำหรับคนต่างจังหวัด ที่เคยพักแต่โรงแรมทั่วๆไปหรือรีสอร์ทธรรมดา
ระบบการ์ดที่ใช้กันตั้งแต่ขึ้นลิฟท์ แถมยังมีพนักงานสาวสวยเดินนำไปจนถึงห้องพัก ทำเอาเราแอบเกร็งเลยทีเดียว
แต่นี่คือความประทับใจและเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่เหมือนกันครับ
พอเปิดประตูห้องพักเข้ามา เราเห็นถึงความโอ่โถง กว้างขวาง ที่สำคัญคือ โชคดีที่ได้เป็นห้องโซนติดสระว่ายน้ำด้วยเพราะวิวสวยจริงๆแต่คราวนี้ยังก่อน เพราะเราตั้งใจจะไปเดินตลาดหัวหินกัน ซึ่งน่าเสียดายที่แพลนไปไม่ถึงครับ เพราะตัดสินใจผิดเลือกที่จะเอารถส่วนตัวไป สรุปคือ ขับวนอยู่หลายรอบ ก็เพราะมันไม่มีที่จอดน่ะสิครับ ตั้งแต่หน้าตลาด ยันในวัด รถจอดกันแน่นขนัด เราจึงเปลี่ยนโปรแกรม ขอเลือดไปหาของอร่อยใส่ท้องกันแทน หมุนรถไปทางหัวหิน ซอย 51 เสร็จทุกราย
เสร็จกระเป๋าตังค์ครับ เพราะพิกัดนี้ ต่อให้หลงเข้าไป ก็ยากที่จะออกมาแบบพุงไม่ปลิ้น
เราเลือกร้านอยู่เย็น บรรยากาศเย็นสบายสมชื่อ เพราะเป็นร้านนั่งชิลด์ๆริมหาด ติดทะเลกันเลยทีเดียว
รสชาตินั้น มาคนละแนวกับร้านเด็ดฝั่งชะอำ ทั้งการจัดแต่ง บรรยากาศ และการปรุง
อร่อยสมราคา ทั้งปลา ปู กุ้ง หอย มาทั้งแบบหมกมะพร้าว ต้มยำ ทอดน้ำปลา ผัดเผ็ด จัดจ้าน ครบรส ไม่ขาดไม่เกิน ไม่ต้องเติมพริกน้ำปลา ถูกปากคนเขลางค์ดีแท้
เสริมบรรยากาศริมหาดหัวหินที่มองไปเห็นโรงแรมหรูอีกฝั่ง กับลมและเสียงคลื่นยามเย็น
ช่วยให้รสชาติของดินเนอร์มื้อนี้สมบูรณ์สุดๆครับ
เช้าวันรุ่งขึ้น วันนี้เราสัญญาว่าจะพาตัวเล็กลงเล่นสระเกลือ เราสวมเสื้อผ้าทับชุดว่ายน้ำลงมาแต่เช้า
เข้าโซนรับประทานอาหารของโรงแรมที่อยู่ริมสระเย็นสบาย เราเลือกนั่งทานกันด้านนอกเป็นมุมกลางแจ้งที่ยังไม่ค่อยมีคนนั่งกัน
บุฟเฟต์นานาชาติของอมารีนั้นถูกใจผมกว่าทุกที่ครับ เพราะติดใจตั้งแต่ไส้กรอกเยอรมันที่ลุกเติมอยู่หลายรอบ หนังกรอบเนื้อแน่นหอมเครื่องเทศ ผักย่าง และเมนูที่เคยเห็นแต่ในภาพยนต์อย่างราทาทุยก็มาได้ทานครั้งแรกที่นี่เอง
เป็นมื้อเช้าที่แน่นท้องที่สุดตั้งแต่วันแรกที่มา
จากนั้นก็พาเจ้าตัวเล็กลงสระ สนุกกันเต็มที่เพราะช่วงสายคนยังน้อย เรากะใช้พลังงานมื้อเช้าให้หมดเพราะวันนี้มีนัดกับซอย 51 อีกครั้ง
เรามาหาของหวานและอาหารกลางวันทานกันที่นี่ ซึ่งต้องยอมรับว่าเด่นที่บรรยากาศมากกว่ารสชาติ
อาจเป็นเพราะเจอสังเวียนกับอยู่เย็นมาก่อน รายการของที่นี่เลยรสชาติอ่อนไปนิดนึง แต่เมนูแนะนำอย่างของหวานแลเครื่องดื่มนั้นรสชาติน่ารักครับ หอมมัน หวานเย็น เข้มข้นรสถั่วสมชื่อทีเดียว
ซึ่งที่หมายถัดมา เราขอเลือกมานั่งทานของหวานแบบจริงจังกันที่บ้านใกล้วัง
ที่นี่ เด่นที่บรรยากาศเช่นกัน เพราะข้างในนั้นเป็นบ้านแบบโบราณกลางดงไม้ร่มรื่นริมทะเล
เราเลือกนั่งบริเวณข้างบ่อปลาใต้บันไดพร้อมสั่งเค็กช๊อคโกแล็ตลาวากับทีรามิสุมาทานแกล้มเครื่องดื่มหวานเย็นข้นๆให้สดชื่นอีกสาเหตุก็เพราะพื้นที่ในกะเพาะเราทั้งสามเริ่มเต็มจนต้องปลดกระดุมกางเกงแล้วนั่นเอง
ใช้เวลากันในบ้านใกล้วังจนบ่ายคล้อย อาหารกลางวันทั้งหลายเริ่มย่อย สามคนพ่อแม่ลูกก็ขับรถออกมาจากซอย 51
คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของทริปจัดหนักแล้ว คนภูเขาเลยปรึกษากันว่าจะส่งท้ายกันด้วยดินเนอร์อะไร
แล้วจึงลงความเห็นว่า เราจะกลับไปฝากท้องกันที่สังเวียนซีฟู้ดส์อีกครั้ง
ตีรถออกจากหัวหิน กลับมาชะอำ ปักหมุดไว้อย่างแม่นยำ จอดรถเสร็จสรรพ ก็กลับสู่สมรภูมิโอชะอีกครั้ง
แต่วันนี้คนบางตาลงกว่าวันแรก รวมไปถึงปริมาณอาหารหลายตันที่ทางร้านตุนเอาไว้ก็เริ่มร่อยหรอ เราจึงไม่ได้สั่งรายการเอิกเริกเท่าคราวก่อน
สรุปว่าครั้งแรกที่หัวหินของเรา ขาดเช็คอินตลาดหัวหินไปอย่างน่าเสียดาย...
วันสุดท้ายของทริป เราตื่นแต่เช้าและไม่ลืมที่จะสวมชุดว่ายน้ำซ้อนข้างในเพราะยังติดใจสระเกลือของอมารีอยู่
สำหรับผมแล้ว ที่มากกว่าคือความสุขที่ได้ทานบุฟเฟต์อร่อยๆที่ยังชิมได้ไม่ครบจากเมื่อวานนั่นเอง...ฟินอย่างบอกไม่ถูกครับ
หลังขึ้นจากสระ สองสามีภรรยาก็พาเจ้าตัวน้อย นั่งรถกอล์ฟไปโซนหาดของโรงแรม
โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้าแสงแดดช่างเป็นใจ เวลาประมาณเก้าโมง น้ำทะเลที่ลดลงไปมาก เหลือแต่ส่วนของแอ่งน้ำใสที่ขังตื้นๆแค่หัวเข่า
แรกๆเจ้าลูกสาวยังทำว่ากลัวๆ เราเลยค่อยๆอุ้มเธอลงจุ่มน้ำทะเลช้าๆจนแช่ทั้งตัว
ทันทีที่นางฟ้าของเราได้สัมผัสน้ำทะเลอุ่นๆเป็นครั้งแรก ความกลัวที่รู้สึกในวันก่อนก็ถูกน้ำเค็มๆนี้ชะล้างออกไปจนหมด
คนภูเขาอย่างเรา มีความสุขที่สุดคือการที่ได้รู้สึกว่ามาถึงทะเลจริงๆในวันสุดท้าย และได้เห็นเจ้าหมาน้อยวัยสามขวบที่วิ่งเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน นี่คือประสบการณ์วิเศษที่สุด ที่เราตั้งใจจะมอบให้แก้วตาดวงใจคนนี้....
แต่กับคนภูเขาที่ไม่ค่อยทนกับอากาศร้อนอย่างพวกเรา คงเป็นสัญญาณบอกแล้ว ว่าถึงเวลาที่ต้องกล่าวอำลากันเพียงเท่านี้
ผมกับแฟนจูงมือลูกสาวขึ้นจากน้ำ ล้างตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะขึ้นรถกอล์ฟที่จอดรอ และกลับสู้ห้องพัก
เราเช็คเอ้าท์ออกมาช่วงประมาณสิบโมง เตรียมพร้อมสู่การเดินทางยังถิ่นนครเขลางค์
เวลาบนรถอีกสิบกว่าชั่วโมงที่รออยู่นั้น คงทำให้รู้สึกเร็วขึ้นบ้างเพราะความทรงจำที่เราจากมาเบื้องหลังคงยังพอมีอะไรๆให้นึกถึงและพูดคุยกันไปตลอดจนล้อหยุดหมุนที่ปลายทาง...
ภาพของดวงตะวันในรูปร่างที่ไม่ค่อยคุ้นเคย ฉายสะท้อนกับน้ำทะเลที่ทอดแนวออกไปสุดลูกตา
เสียงคลื่นและลมพัด เปล่งประสานจังหวะคล้ายจะส่งแขกผู้มาเยือนให้ไกลที่สุด เท่าที่จะทำได้
ลากันวันนี้ เพื่อพบกันอีกทีในวันหน้า
สามพ่อแม่ลูกสัญญา ว่าจะกลับมาหากันใหม่ครับ