นานๆ จะมีโอกาสได้เข้ากรุงเทพสักที ทริปนี้ผมจึงวางแผนสำรวจเมืองกรุง ในอีกมุมมองที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า มีที่แบบนี้ในกรุงเทพด้วยเหรอ บวกกับการเข้าพักผ่อน กินนอน แบบหรูหรา (กันสักเล็กน้อย) เพราะต่างจังหวัดบ้านผมไม่มี 555 ไม่ต้องเกริ่นนำกันมากมาย ไปสัมผัสเมืองกรุงฯ พร้อมกับผมกันครับ สำหรับทริปนี้ ผมเน้นเที่ยวในเส้นทางของรถไฟ MRT หลักๆ จะใช้การเดินเท้าเป็นหลัก เดินกันจนพื้นรองเท้าหลุดกันเลยทีเดียว 555 โดยสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ก็ไม่ได้ไกลกันนักครับ
ขอเปิดทริปด้วยที่พักของผมในทริปนี้ โรงแรมเก๋ๆ ย่านสุขุมวิท Aloft Bangkok Sukhumvit 11 ครับ
Aloft Bangkok Sukhumvit 11 เป็นหนึ่งในแบรนด์โรงแรมและรีสอร์ทของแมริออท อินเตอร์เนชันแนล ซึ่ง Aloft จะเน้นเอาใจนักเดินทางรุ่นใหม่ด้วยการออกแบบจากดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว โดยได้รับแรงบันดาลใจจากวิถีชีวิตคนเมืองอันทันสมัยครับ
เพียงก้าวแรกก็ให้ความรู้สึกถึงความโปร่งโล่งสบาย บริเวณลอบบี้เล่นสีสันอย่างสะดุดตา การออกแบบเป็นแนวลอฟท์ ให้เห็นโครงสร้างภายในแบบชัดเจน
ภาพกราฟิตี้ต่างๆ หากถูกใจ สามารถซื้อกลับไปติดตั้งที่บ้านก็ได้นะครับ
Check in เสร็จแล้ว ขึ้นไปชมห้องพักกัน โดยห้องพักของผมอยู่บนชั้น 20 ครับ
ทางเดินในแต่ละชั้น มีการเล่นสีสัน เพิ่มความเจิดจ้าด้วยแสงไฟครับ
จุดแรกอยู่ถัดจากลอบบี้ มีชื่อเรียกว่า รี:ฟิล บายอลอฟท์ (re:fuel by Aloft) เป็นคาเฟ่ที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เน้นรูปแบบการบริการตัวเองแบบสบาย ๆ ด้วยอาหารเบาๆ เช่น สลัด แซนด์วิช ขนมทานเล่นนานาชนิด และของหวาน รวมถึงกาแฟสดที่มีให้เลือกหลากหลายชนิดครับ
ทุกเย็นวันศุกร์ และเสาร์ ตั้งแต่เวลา 18.00-22.00 น. บนชั้น 8 ที่ Crave restaurant ซึ่งเป็นห้องอาหารซิกเนเจอร์ของ Aloft Bangkok Sukhumvit 11 จะให้บริการ Seafood Dinner Buffet ซึ่งนับว่าเป็นไฮไลท์ของ Crave Restaurant เลยก็ว่าได้ อาหารทะเลที่นี่สดจริงๆ ครับ แถมยังมีหลากหลายอย่างให้เลือกชิม เช่น กุ้งขาว กุ้งแม่น้ำ กั้ง ปูม้า หอยนางรม หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ ปลาหมึก ปลากะพง ปลาแซลมอน มาเผาให้ทานกันแบบร้อนๆ หรือใครอยากทานแบบ On ice ก็มีนะครับ
ที่ผมบอกว่า Crave restaurant เป็นห้องอาหารซิกเนเจอร์ของ Aloft Bangkok Sukhumvit 11 เพราะจากห้องอาหารเราสามารถชมวิวเมืองกรุงเทพแสนสวย และยิ่งช่วงค่ำๆ จะมองเห็นแสงไฟระยิบระยับที่อยู่ตามตึกรามสูงใหญ่ดูไม่ต่างกับดาวบนดินเลยครับ
นับว่าคุ้มค่าคุ้มราคาครับ อิ่มเอมทั้งใจที่ได้ทานอาหารท่ามกลางบรรยากาศดีๆ อิ่มทั้งท้องกับอาหารทะเลสดๆ ค่าเสียหายสุทธิเพียงคนละ 999 บาท จากราคาปกติ 1,599 บาท ราคานี้รวมเครื่องดื่มประเภทน้ำเปล่า น้ำอัดลม น้ำสมุนไพร ชา กาแฟ แต่ไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นะครับ และที่สำคัญ บุฟเฟต์ที่นี่ “ไม่จำกัดเวลา” ใครสายแข็ง ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
Seafood Dinner Buffet ให้บริการเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ ตั้งแต่เวลา 18.00 – 22.00 น. หากใครสนใจสามารถสำรองที่นั่งได้ที่ 02-2077000 Line MyShop https://shop.line.me/@aloftbangkok แชทผ่านไลน์ https://lin.ee/ZE9eT ครับ
Crave restaurant เป็นห้องอาหารที่ให้บริการทั้งมื้อเช้า กลางวัน และมื้อค่ำ สำหรับมื้อเช้า ให้บริการตั้งแต่ 06.00–10.30 น. ภายในห้องอาหารมีการรักษาระยะห่างระหว่างโต๊ะตามมาตรฐาน เมื่อเข้าไปใช้บริการจะมีน้องพนักงานนำถุงมือพลาสติกมาให้ สำหรับใส่ตอนไปตักอาหารครับ
เรียกได้ว่ามาพักที่นี่ อิ่มอกอิ่มใจจริงๆ แถมทำเลที่ตั้งยังอยู่ใจกลางเมือง เดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวกสบาย อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS นานาเพียง 5 นาทีเท่านั้นครับ โดยทางโรงแรมมีตุ๊กตุ๊กไว้บริการรับส่งสถานี BTS นานา , สถานี MRT สุขุมวิทและจุดท่องเที่ยวสำคัญอย่าง Terminal 21 ฟรีด้วยครับ
เอาละ ถึงเวลาออกไปสำรวจเมืองกรุงในอีกมุมมองหนึ่งกันแล้ว ผมให้ตุ๊กตุ๊กของโรงแรมไปส่งที่สถานี MRT สุขุมวิท แล้วต่อรถ MRT ไปยังสถานีสามยอด ออกที่ทางออกที่ 1 จากนั้นก็ตรงสู่จุดหมายแรก นั่นคือ สวนรมณีนาถ
ช่วงที่ผมเปลี่ยนเลนส์เพื่อจะถ่ายภาพกำแพงเก่านั้น ผมใช้การนั่งเหยียบส้นเท้าแทนการนั่งทิ้งก้นลงกับพื้นเพื่อเปลี่ยนเลนส์ และเมื่อเปลี่ยนเลนส์เสร็จ ก็ลุกขึ้นตามปกติ แต่สิ่งที่ผิดปกติคือตอนก้าวเท้าเดินนี่แหล่ะครับ รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างที่เท้า เพราะเวลาก้าวเดิน รู้สึกเดินลำบากขึ้น เลยก้มสังเกตรองเท้าตัวเอง ถึงได้รู้ว่าพื้นรองเท้าหลุดเอาซะดื้อๆ ครับ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้าย พื้นรองเท้าไม่ได้หลุดออกจากรองเท้าทั้งหมด คือหลุดตรงช่วงส้นเท้า ไล่ยาวมาจนเกือบถึงปลายนิ้วเลย ผมจะดึงพื้นรองเท้าทิ้ง ก็ดึงไม่ได้ เพราะติดรอยเย็บที่ช่างเย็บรองเท้าได้ซ่อมให้ผมตั้งแต่ทริปก่อนหน้านั้น สรุปคือต้องเดินลากพื้นรองเท้ากันยาวไป....
สวนรมณีนาถ ในส่วนที่เป็นสวนสาธารณะ เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 05.00-21.00 น. สำหรับพิพิธภัณฑ์ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันอังคาร-วันเสาร์ เวลา 08.30-16.30 น. ครับ
การเดินลากพื้นรองเท้า เป็นอุปสรรคต่อการเดินมาก เดินลำบาก แถมเวลาเดินก็จะมีเสียงดัง จนหลายคนต้องหันมามอง ผมพยายามมองหา 7-11 เพื่อจะหาซื้อกาวตราช้าง แต่พื้นที่ละแวกนั้นไม่มี 7-11 ให้เห็นเลย อาจเพราะพื้นที่แถวนั้นเป็นพื้นที่อนุรักษ์หรือไงไม่ทราบได้ นึกในใจ ทีเวลาผมไม่ต้องการซื้ออะไร จะมีร้าน 7-11 แทบจะทุกๆ มุมตึกเลย
จากสวนรมณีนาถ เดินเท้าต่อไปตามถนนหลวง ข้ามสะพานระพีพัฒนภาค และตัดเข้าถนนบริพัตร เพื่อมุ่งหน้าไปยังชุมชนบ้านบาตร แหล่งทำบาตรมือแหล่งสุดท้ายในเมืองกรุงครับ
ชุมชนบ้านบาตรมีอายุยาวนานกว่า 200 ปี ตั้งอยู่ด้านหลังวัดสระเกศ เล่าขานกันมาว่าชุมชนนี้เป็นชุมชนของชาวกรุงศรีอยุธยาที่อพยพเข้ามาหลังจากเสียกรุงครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งบ้านเรือนที่นี่ หลังจากสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีพร้อมการขุดคลองรอบกรุง ในปี พ.ศ.2326 สิ่งที่โดดเด่นและสืบทอดกันมาอย่างชัดเจนนั่นคือฝีมือการทำบาตรของชาวชุมชน จนชุมชนแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า”บ้านบาตร” โดยคำว่า “บ้าน” หมายถึง “ย่าน” ที่ทำบาตร เช่นเดียวกับตลาดบ้านบาตรในสมัยอยุธยา
บาตรที่ทำมือที่บ้านบาตรเป็นลักษณะบาตรที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย คือ เป็นบาตรเหล็กรมดำ ทำขึ้นด้วยมือ มีรอยตะเข็บเหมือนดังจีวรพระ ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมในการทำบาตร บาตรหนึ่งใบต้องผ่านขั้นตอนถึง 21 ขั้นตอน และอาศัยทั้งช่างตีขอบ ช่างต่อบาตร ช่างแล่น ช่างลาย ช่างตี จนถึงช่างตะไบมาร่วมกันทำครับ
บาตรมี 5 ทรง คือ
1.ทรงไทยเดิม ทรงโบราณ มีมานับร้อยปี มีฐานป้านก้นแหลม จึงไม่สามารถวางบนพื้นได้ ต้องวางบนฐานรองบาตร
2.ทรงหัวเสือ มีอายุประมาณ 30 ปี รูปทรงคล้ายกับทรงไทยเดิม แต่ส่วนฐานตัดเล็กน้อย สามารถวางบนพื้นได้ เป็นทรงที่พระสายธรรมยุดนิยมใช้
3.ทรงมะนาว มีอายุประมาณ 80-90 ปี รูปร่างมนๆ คล้ายกับผลมะนาวแป้น
4.ทรงลูกจัน มีอายุประมาณ 80-90 ปี เป็นบาตรทรงเตี้ย ลักษณะคล้ายทรงมะนาว แต่จะเตี้ยกว่า
5.ทรงตะโก ทรงโบราณ มีมานับร้อยปี ฐานมีลักษณะคล้ายทรงไทยเดิม แต่ก้นมนย้อย สามารถวางบนพื้นได้ เป็นทรงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
สำหรับขั้นตอนการทำบาตรมือ มี 8 ขั้นตอนครับ
1.การตีขอบ ต้องสร้างขอบขึ้นมาจากเหล็กเส้นตรงๆ แล้วนำมาโค้งให้เป็นวงรูปพระจันทร์ ขอบนับเป็นหัวใจของบาตรเลยเพราะเป็นตัวยึด
2.การประกอบกง เป็นการนำแผ่นเหล็กรูปกากบาทมาดัดงอขึ้นรูป ตามทรงที่ลูกค้าต้องการ แล้วนำมาติดกับขอบบาตร เมื่อขึ้นรูปเสร็จจะเหลือช่องว่างรูปสามเหลี่ยมใบโพ 4 ช่อง ช่างจะวัดและตัดแผ่นเหล็กรูปร่างเหมือนใบหน้าวัว 4 ชิ้น ที่เรียกว่า “หน้าวัว” หรือ “กลีบบัว” จักฟันโดยรอบเพื่อใช้เป็นตะเข็บเชื่อมกับส่วนต่างๆ ตีให้งอเล็กน้อยตามรูปทรงของบาตร ซึ่งเมื่อประกอบเสร็จก็จะได้บาตรที่มีตะเข็บ 8 ชิ้น ตรงตามลักษณะบาตรที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ชิ้นส่วนทั้ง 8 ชิ้นนั้นมีความหมายมาจาก มรรค 8 หนทางสู่ทางดับทุกข์ สมัยก่อน แผ่นเหล็กที่ใช้จะใช้ถังยางมะตอยสำหรับการราดยางถนน นำมาตัดเป็นแผ่นก่อนจะใช้เท้าช้างตีให้เรียบและใช้ประกอบบาตร ซึ่งบาตรที่ทำด้วยเหล็กถังยางมะตอยจะตีได้ง่าย สะดวก เนื้อบาง แถมราคาไม่สูงด้วย ปัจจุบันได้พัฒนาจากถังยางมะตอยมาเป็นแผ่นเหล็กหนาที่แข็งแรงกว่าเดิม และให้เสียงดังกังวานครับ
7.การสุมหรือระบมบาตร เพื่อป้องกันการเกิดสนิม โดยในสมัยก่อนจะใช้กำมะถันทา จากนั้นจึงนำบาตรมากองรวมๆ กัน แล้วใช้หม้อครอบสุม บาตรที่ได้จะมีสีดำ จากนั้นจึงใช้น้ำมะพร้าวทาทับอีกครั้ง แต่ปัจจุบันนิยมใช้น้ำมันกันสนิมชโลมให้ทั่วตัวบาตรแทนครับ
8.การทาสี เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ทำให้บาตรเป็นสีต่างๆ เช่น สีเขียว สีดำสนิท ถือเป็นเทคนิคเฉพาะของช่างแต่ละคน บ้างก็มีการแกะสลักลวดลายไทย การตีตรา ไปในบาตรด้วยครับ
ราวๆ ปี พ.ศ.2513 หลังกรมศาสนาอนุญาตให้ภิกษุใช้บาตรที่ผลิตด้วยเครื่องจักรได้ จึงมีการตั้งโรงงานผลิตบาตรพระแบบอุตสาหกรรมขึ้น บาตรปั้มเข้ามาตีตลาดแทนที่บาตรทำมือ เพราะการผลิตรวดเร็วกว่า ได้ปริมาณผลิตต่อครั้งสูงกว่า และราคาต้นทุนถูกกว่ามาก การผลิตบาตรของบ้านบาตรจึงต้องชะงักลง ช่างฝีมือหลายคนต้องเลิกอาชีพการทำบาตรมือไป ปัจจุบันหลงเหลืออยู่เพียง 7 บ้านเท่านั้น ช่างฝีมือที่ลดจำนวนลง ทำให้บาตรใบหนึ่งใช้เวลาทำกว่าหนึ่งอาทิตย์เลยครับ นึกแล้วก็น่าใจหายนะครับ ถ้าหากอาชีพตีบาตรที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจะหายไปในยุคสมัยนี้ สำหรับราคาบาตรทำมือจะอยู่ที่ราคาประมาณ 2,000++ บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของบาตรครับ
ผมไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่า ตึกรามบ้านช่องในละแวกชุมชนบ้านบาตร จะดูเก่าและคลาสิคแบบนี้ ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภาพบรรยากาศแบบนี้ในกรุงเทพ เมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า
เยื้องๆ กับวัดสุทัศน์ เป็นที่ตั้งของเทวสถาน หรือที่เรียกกันติดปากว่า โบสถ์พราหมณ์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีของศาสนาพราหมณ์ เช่น พิธีโล้ชิงช้า พิธีตรียัมปวาย พิธีตรีปวาย และพิธีโกนจุกครับ
ภายในเทวสถานประกอบด้วยอาคารก่ออิฐถือปูนทรงไทย 3 หลัง ประกอบด้วย เทวสถานพระอิศวร ภายในมีเทวรูปพระอิศวรประทับยืนตั้งเป็นประธานอยู่กลางแท่น ส่วนแท่นที่ลดต่ำลงมา ประดิษฐานเทวรูปประทับนั่งของพระอุมาเทวี พระพรหมและพระอิศวรครับ
จากโบสถ์พราหมณ์ เดินเท้าต่อตามถนนตีทอง ตัดเข้าถนนราชบพิธ และถนนเฟื่องนคร เพื่อมายังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารครับ
หลังจากได้ไหว้พระเป็นที่เรียบร้อย เหมือนสวรรค์มาโปรดผมแล้วครับ ระหว่างเส้นทาง มีร้าน 7-11 แล้ว ผมไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ จัดแจงซื้อกาวตราช้าง มาติดพื้นรองเท้า ให้พอเดินได้ไปจนจบทริป
แล้วก็มาถึง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดที่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อปี 2412 มีลักษณะผสมระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตก โดยลักษณะภายนอกจะเป็นสถาปัตยกรรมไทย ส่วนภายในออกแบบและตกแต่งแนวตะวันตก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง วัดนี้นับเป็นพระอารามหลวงสุดท้ายที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างตามโบราณราชประเพณีที่มีการสร้างวัดประจำรัชกาลครับ
เดินมาสักพัก ก็มาถึงคลองโอ่งอ่างแล้วครับ คือเมื่อเห็นทัศนียภาพของคลองโอ่งอ่างแล้วต้องร้องว้าวในใจ เฮ้ย!!! สภาพตอนนี้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยจริงๆ
คลองโอ่งอ่างเป็นส่วนหนึ่งของคลองรอบกรุง ที่ขุดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งสร้างพระบรมมหาราชวัง ปลายคลองไปออกแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้วัดบพิตรพิมุขวรวิหาร และยังเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างเขตพระนครกับเขตสัมพันธวงศ์ ในอดีตคลองโอ่งอ่างเป็นคลองที่ใช้สัญจรที่สำคัญของฝั่งพระนคร มีชุมชนตลอดช่วงสองฝั่งคลอง และยังเป็นแหล่งขายเครื่องปั้นดินเผาของชาวจีนและมอญที่สำคัญ จึงเป็นข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นที่มาของชื่อคลองโอ่งอ่าง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการสร้างสะพานที่ถอดรูปแบบสะพานริอัลโต เมืองเวนิช ซึ่งนับว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญในยุคนั้น จนเมื่อเมืองได้ขยายตัวมากขึ้น ความสำคัญของคลองก็ได้ลดลง การสัญจรทางบกจึงมีบทบาทมากขึ้น ทำให้เกิดชุมชนแออัดโดยรอบคลองและแปรเปลี่ยนสภาพเป็นคลองระบายน้ำทิ้งไปตั้งแต่บัดนั้น
จนเมื่อเดือนตุลาคม 2558 กทม.โดยมติของรัฐบาลได้ทำการรื้อถอนอาคารร้านค้าต่างๆ บริเวณริมคลองโอ่งอ่างที่ถูกบดบังทัศนียภาพมานานกว่า 40 ปี เพื่อทำการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้กลายเป็นถนนคนเดิน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกรุงเทพตั้งแต่นั้นมาครับ
วันนี้ยังเดินไม่หนำใจ ขอไปเดินต่อที่สวนเบญจกิติครับ
จากคลองโอ่งอ่าง ผมเดินย้อนกลับมาที่สถานี MRT สามยอด และนั่งรถ MRT ไปลงที่สถานีศูนย์ประชุมสิริกิติ์ครับ แต่.... ตอนนี้ศูนย์ประชุมสิริกิติ์อยู่ระหว่างการซ่อมแซม ประตูทางเข้าสวนเบญจกิติตรงศูนย์ประชุมสิริกิติ์ เดินเข้าออกไม่ได้ครับ เศร้าเลย... ผมต้องเดินต่ออีกประมาณ 1.5 กม. เพื่อไปเข้าอีกประตูหนึ่ง โอ้ว..ให้ตายซิโรบิน นี่ถ้าเดินต่ออีกนิดหน่อย ก็จะถึงสถานี MRT สุขุมวิทแล้ว สำหรับใครที่ต้องการมาเที่ยวสวนเบญจกิติ แล้วใช้การเดินทางด้วย MRT แนะนำให้มาลงที่สถานีสุขุมวิทนะครับ จะเดินใกล้กว่าสถานีศูนย์ประชุมสิริกิติ์ครับ
ที่ผมเลือกมาปิดทริปที่สวนเบญจกิติเพราะทราบมาว่าสวนเบญจกิติเพิ่งเปิดตัวพื้นที่เฟสใหม่ไปไม่นาน เป็นสวนป่า มีไฮไลท์อยู่ที่ Sky walk ไหนๆ ได้เข้ากรุงเทพทั้งที ขอมาเปิดหูเปิดตา รับรู้สิ่งใหม่ๆ สักหน่อย เพราะเดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง
การเดินทางมายังสวนป่าเบญจกิติเฟสใหม่ ให้เดินเข้ามาจากประตูหลัก เดินตรงมาเรื่อยๆ จนจะเห็นประตูเล็กๆ เพื่อไปยังลานจอดรถ เดินผ่านประตูเล็กเข้าไปแล้วเลี้ยวซ้าย เดินต่ออีกนิดก็ถึงทางเข้าเฟสใหม่แล้วครับ ถ้าเห็นป้ายนี้แปลว่าเดินมาถูกทางแล้ว
สวนเบญจกิติตั้งอยู่ในที่ดินของการยาสูบแห่งประเทศไทย กินพื้นที่รวม 450 ไร่ หลังจากที่ย้ายโรงงานยาสูบเดิมออก จึงพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ต่อมาในปี 2557 ได้มีการพัฒนาเฟสต่อมาเพื่อเป็นสวนป่ากลางใจเมือง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับสวนเบญจกิติเดิมได้ โดยโครงการนี้ต้องการเป็นต้นแบบของสวนสาธารณะเชิงนิเวศ เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยใน 450 ไร่ แบ่งเป็นสวนป่าเบญจกิติ 259 ไร่ และ สวนน้ำอีก 130 ไร่ ครับ
สวนป่าเบญจกิติ จะแบ่งเป็น 3 เฟส โดยเฟสแรกเน้นปลูกต้นไม้หายาก จะมีเส้นทางเดิน ทางวิ่ง ทางปั่นจักรยานให้ออกกำลังกายกัน
สำหรับเฟส 2 และ 3 ถูกออกแบบให้เป็นสวนป่าธรรมชาติ มีบึงน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และเขตป่าที่มีต้นไม้นานาพันธุ์ มีเนื้อที่รวมกันทั้ง 3 เฟสประมาณ 259 ไร่ โดยประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ พื้นที่ทางธรรมชาติ พื้นที่อาคาร และเส้นทางสัญจร จะเน้นให้มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าเดิม เป็นป่าที่เกิดจากการคงต้นไม้เดิมกว่า 1,700 ต้นเอาไว้ และปลูกเสริมใหม่อีกกว่า 7,100 ต้น นอกจากนี้ยังมีบึงน้ำ 4 บึง สามารถรองรับน้ำได้ถึง 1.28 แสนลูกบาศก์เมตรเลยทีเดียว
สำหรับเส้นทางสัญจรภายในสวนป่านั้น ประกอบด้วยเส้นทางเดินลัดเลาะธรรมชาติ 5.8 กิโลเมตร เส้นทางวิ่ง 2.8 กิโลเมตร และเส้นทางจักรยาน 3.4 กิโลเมตร และไฮไลท์ที่ผมกล่าวไว้ในตอนต้น นั่นก็คือ Sky walk ที่จะเชื่อมต่อไปยังแต่ละโซน แต่ละบึงต่างๆ นอกจากนี้ยังมีทางเดินกลางสวน เป็นเส้นทางคดเคี้ยวที่แทรกตัวไปตามโซนต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้ที่มาใช้บริการสามารถสัมผัสกับความเป็นธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิดครับ
บึงน้ำ 4 บึง จะมีการแบ่งปลูกพรรณไม้ที่แตกต่างกัน มีทั้งไม้ป่าชายเลน ไม้บึงน้ำจืด ไม้ป่าดิบลุ่มน้ำ-ป่าดิบแล้ง และวนเกษตรสวนบ้าน ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมเพียง 2 บึง คือ บึงพรรณไม้ป่าดิบลุ่มน้ำ-ป่าดิบแล้ง และบึงพรรณไม้น้ำจืด ส่วนที่เหลือ 2 บึง ยังไม่เปิดให้เข้าชมครับ
ส่วนพื้นที่ที่เป็นอาคาร จะมีอาคารกีฬาในร่ม ซึ่งรีโนเวดมาจากโกดังเก็บใบยาสูบ มีอาคารพิพิธภัณฑ์ รวมถึงอัฒจันทร์รองรับกิจกรรมของผู้ใช้งานได้ราว 15,000 คนเลยครับ
ช่วงพลบค่ำ จะมีการเปิดไฟบน Sky walk ด้วย เพิ่มความมีเสน่ห์เข้าไปอีกครับ
สวนป่าเบญจกิติ ถือว่าเป็นปอดแห่งใหม่และแห่งใหญ่ของกรุงเทพเลยครับ หากใครว่างๆ ลองไปซึมซับกับธรรมชาติแบบนี้ดูนะครับ วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ คนอาจจะเยอะสักหน่อย แต่ถ้าใครไม่ชอบบรรยากาศพลุกพล่าน อาจเลือกมาเดินในวันธรรมดา หรือว่าช่วงเช้าเลยก็ได้ สวนป่าเบญจกิติเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 – 21.00 น. ครับ
ทริปนี้เป็นอีกหนึ่งทริปที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเปิดโลกทัศน์ของตัวเองให้กว้างขึ้น ได้เห็นกรุงเทพในอีกมุมมองหนึ่ง มุมมองที่ไม่คิดเลยว่าจะมีแบบนี้ในเมืองกรุง หยุดเสาร์อาทิตย์นี้ ถ้าหากเพื่อนๆ ไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวไหน สามารถตามรอยเส้นทางเที่ยวของผมได้นะครับ อาจจะทำให้วันธรรมดาๆ ของคุณ กลายเป็นวันที่ทำให้คุณได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างผมก็เป็นได้ครับ
ปล.เข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ