เข้าสู่วันที่สองของทริปอุทัย ออกปั่นจักรยานแต่เช้า เป้าหมายคือ the sun house ร้านกาแฟไร่สุดท้าย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านอิงน้ำ 4 โลกว่า บรรยากาศเช้าวันนั้นดูขุ่นมัว เมื่อคืนนอนๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงฟ้าร้อง จึงคาดว่าเช้านี้ไม่น่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ เป็นแน่แท้ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด แต่วิวข้างทางก็ยังสวยอยู่ดี
![]()
![]()
พวกเรามาถึงร้านไร่สุดท้ายในเวลาเจ็ดโมงเช้า ซึ่งต้องปั่นมาถึงถนนใหญ่ ผ่านสวนน้ำเฉลิมพระเกียรติ และปั่นยาวไปอีกโลนึง
![]()
เจ็ดโมงนี่ร้านยังไม่เปิดเลย ลองโทรเข้าร้านถามว่าร้านเปิดกี่โมง เขาบอกแปดโมง เลยอ้อนวอนขอเข้าไปนั่งรอในร้านก่อน และคุณพี่ใจดีสุดๆ ออกมาเปิดประตูต้อนรับด้วยตัวเอง พวกเราจึงรีบเข็นจักรยานเข้าไปจอดภายในร้าน บริเวณด้านในน่ารักดีนะ ลักษณะร้านเป็นบ้านดินสีขาวอยู่ริมทุ่งนา เสียดายที่นาเกี่ยวไปแล้ว แต่ยังมีสวนมัลเบอรี่ที่สามารถเด็ดกินสดๆ ได้จากในสวน ระหว่างรอเวลาแปดโมง พวกเราก็เดินเล่นถ่ายรูปไปพลางก่อน ซึ่งมันก็ไม่นานเกินรอ เพราะที่นี่มีมุมถ่ายรูปเยอะ เดินสำรวจสวนมัลเบอรี่ซึ่งมีอยู่หลายแถว สำรวจที่พักซึ่งที่นี่ก็มีที่พักอยู่หลายห้อง หลายหลัง เผลอแป๊บเดียว กาแฟที่สั่งไว้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว
![]()
![]()
ไร่สุดท้าย เป็นร้านกาแฟที่ตั้งอยู่บนเกาะเทโพ อ.เมืองอุทัยฯ บรรยากาศดีตรงที่ติดริมท้องนา จุดขายของที่นี่อยู่ตรงที่มีสวนมัลเบอรี่เป็นซุ้มอุโมงค์ เมื่อคุณเดินไปในดงมัลเบอรี่คุณจะได้เห็นผลมัลเบอรี่อยู่มากมาย สามารถเด็ดกินได้สดๆ เลย
![]()
![]()
![]()
สำหรับที่พัก ที่นี่มีห้องพักสำหรับสองท่าน ราคาอยู่ที่ 1200 และถ้ามากันหลายคนก็มีบ้านเป็นหลัง หลังละ 4000 นอนได้ 7 คน ราคานี้ถือว่าไม่แพงเลยนะ
![]()
![]()
![]()
![]()
ไร่สุดท้าย เปิดบริการทุกวัน 8:00 - 16:00 อาจเลทไปถึง 17:00 แล้วแต่สถานการณ์
หลังจากนั้นเราก็ปั่นกลับรีสอร์ท แต่ปั่นกลับอีกทางซึ่งทางนั้นเราจะได้ผ่านสะพานแขวนด้วย ซึ่งเป็นสะพานที่นักเดินทางไม่ควรพลาด อันซีนนะ สะพานแขวนที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า ที่จะพาเราข้ามไปยังจุดหมาย
![]()
![]()
![]()
ระหว่างทางจากสะพานแขวนกว่าจะไปถึงบ้านอิงน้ำ พวกเราต้องเจอกับพายุฝนอย่างหนัก ทำให้เปียกกันถ้วนหน้า เป็นสี่กิโลกว่าที่สาหัสเอามากๆ นอกจากฝ่าฝนแล้ว พวกเรายังต้องฝ่าด่านหมาหมู่อีกด้วย แต่สุดท้ายพวกเราก็ปั่นกลับมาถึงบ้านอิงน้ำอย่างปลอดภัย นับว่าเป็นการปั่นจักรยานที่ยาวไกล ไปกลับก็ราวๆ เก้าโลเห็นจะได้ สนุกดีค่ะ
พอกลับมาที่พักฝนยังคงตกต่อเนื่อง จากที่วางแผนว่าจะไปห้วยขาแข้ง วัดถ้ำเขาวง และหุบป่าตาด ต้องฝันสลายเพราะเวลาไม่เพียงพอ กว่าฝนจะหยุดตกก็เกือบเที่ยงละ เลยต้องปรับแผนใหม่ คือต้องเที่ยวแบบใกล้ๆ ตัวเมือง แว้บเดียวที่คิดได้ก็คือไปวัดท่าซุง กับวัดสังกัส ได้แค่นั้นแหละ หลังจากเช็คเอาท์ออกจากบ้านอิงน้ำแล้วก็เข้ามาในตัวเมือง หามื้อเที่ยงกินก่อน ร้านที่หมั้นหมายไว้ว่าอยากกินคือ ก๋วยเตี๋ยวเจ๊เน้ย เห็นเขาว่าเส้นบะหมี่ร้านนี้น่ะเจ๋งมาก
![]()
![]()
"ก๋วยเตี๋ยวเจ๊เน้ย" เป็นร้านที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง หลังจากกินไปชามนึงมันโคตรโดนใจและติดลิ้นเป็นอย่างมาก เป็นร้านที่ทำเส้นบะหมี่เอง เป็นเส้นที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ มันเป็นเส้นตรงๆ สีเหลืองเข้ม ยาว นุ่มมาก เส้นไม่ติดกัน มันนุ่มลื่น รสชาติกลมกล่อมกำลังดี ภายในชามบะหมี่เขาปรุงมาให้เสร็จ คือไม่ต้องปรุงอะไรอีกแล้ว ตะเกียบคีบแล้วซูดเข้าปาก อร่อยได้เลย ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนดั่งขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นเลยค่ะท่านผู้อ่าน
![]()
ก๋วยเตี๋ยวเจ๊เน้ย เป็นร้านบะหมี่สูตรโบราณ ต้นตำรับกว่า 80 ปีจากรุ่นอากง เจ๊เน้ยได้ทำการสืบทอดมาจนเป็นรุ่นที่สามแล้ว นับเป็นของดีของเด่นย่านตลาดเทศบาลเมืองอุทัยธานี
![]()
เส้นบะหมี่ของเจ๊ทำสดใหม่ทุกวัน จุดเด่นของบะหมี่อยู่ที่การลวก ที่ต้องลวกให้สุกถึงสองรอบถึงจะเหนียวนุ่มอร่อยพอดี และการปรุงรสเส้นบะหมี่ เจ๊เน้ยจะนำหม้อมาปรุงรสก่อน โดยใส่น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำมันเจียว พริกป่น น้ำตาล และใส่บะหมี่ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ก็จะได้รสชาติบะหมี่ที่จัดจ้านครบรส อร่อย รสชาติกำลังพอดีตามแบบฉบับของคนอุทัยแท้ๆ
.................................................................
เมนูแนะนำ : บะหมี่แห้งหมูแดง / กระเพาะปลา
![]()
ก๋วยเตี๋ยวเจ๊เน้ย ตั้งอยู่บน ถ.ท่าช้าง ต.อุทัยใหม่ อ.เมืองอุทัยธานี เยื้องศาลเจ้าพ่อหลักเมือง (ปุงเถ่ากง) และใกล้กับร้านมุมสะแกที่อยู่ตรงเชิงสะพานวัดโบสถ์
ร้านเปิด 11.00 - 15.30 น.
เบอร์ติดต่อ 093-2327282
![]()
หลังจากโซ้ยบะหมี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็มองหารถเหมาเที่ยวเอาดาบหน้า ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่เราก็ค้นพบรถสกายแล็บจอดอยู่อีกฟากฝั่งของถนนโดยบังเอิญ เราตกลงกับรถเหมาว่าเราจะไปแค่วัดท่าซุง วัดสังกัส และมื้อค่ำที่ร้านอาหารบ้านนอกริมนา ส่วนราคาเหมานั้นลุงชายเจ้าของรถเหมาบอกว่าแล้วแต่เราจะให้ พวกเราจึงตัดสินใจกันว่าราคา 600 น่าจะเป็นราคาที่เหมาะสม แต่ก่อนอื่นให้ลุงแกไปส่งพวกเราที่ "เรือนอยู่ อู่ไท" บ้านพักสำหรับพวกเราในคืนที่สอง
![]()
เรือนอยู่ อู่ไท เป็นบ้านพักแห่งใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก เป็นเรือนไม้สองชั้น สามารถจอดรถหน้าบ้านได้หนึ่งคัน บ้านตั้งอยู่ที่ถนนศรีน้ำซึม ซอย 1 ใกล้ๆ กับสวน ๒๐๐ ปี
![]()
บริเวณชั้นล่างของตัวบ้านมีเพียงเก้าอี้หวายสี่ตัว และห้องน้ำห้องเล็กหนึ่งห้อง
![]()
ส่วนชั้นสองมีห้องน้ำห้องใหญ่ ตามด้วยห้องโถง และห้องนอนอยู่ด้านใน
![]()
ภายในห้องนอนได้ถูกจัดวางให้นอนได้สามคน โดยเพิ่มที่นอนเสริมอีกหนึ่งที่ ภายในห้องมีแอร์ ทีวี ระเบียงด้านนอก มีตู้เย็นอยู่ตรงโถงด้านนอก รวมๆ แล้วถือว่าเป็นบ้านพักที่กว้างขวาง สะอาด เดินสบาย ราคาไม่แพง สำหรับสามคนราคาอยู่ที่ 1,250 บาทเท่านั้นเอง
![]()
หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้วเราก็เริ่มออกเที่ยว งานนี้เที่ยววัดอย่างเดียวเลย เริ่มจากวัดธรรมโฆษก หรือ วัดโรงโค ตั้งอยู่บน ถ.ศรีอุทัย ใกล้ตลาดเทศบาล เป็นวัดที่สร้างในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการเมืองอุทัยธานี และเคยเป็นลานประหารนักโทษมาก่อน
![]()
![]()
ประตูวิหารเป็นไม้จำหลักลายดอกไม้ทาสีแดงงดงามมาก
![]()
และนี่คือศพหลวงพ่ออั้น อภิปาโล พระเกจิดังแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง ท่านมรณภาพด้วยโรคหลอดเลือดสมองใหญ่ตีบตัน ยังความเศร้าโศกให้กับชาวอุทัยธานีเป็นอย่างมาก
![]()
จากวัดโรงโค เราไปต่อที่วัดท่าซุง ซึ่งเป็นวัดที่กินอาณาเขตกว้างขวางเทียบเท่าเมืองๆ นึงเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะวิหารหรือมณฑปล้วนแล้วแต่แยกกันอยู่คนละอาคาร คนละสถานที่เลย เรียกว่าครั้งนี้มาวัดท่าซุงได้เกือบครบทุกจุดแต่ก็ยังไม่ครบอยู่ดี เริ่มจุดแรกที่ "มณฑปพระศรีอาริย์"
![]()
มณฑปพระศรีอริยเมตไตรย เป็นสิ่งก่อสร้างอยู่ในกลุ่มบริเวณวิหารสมเด็จองค์ปฐม ตัวมณฑปประดับกระจก มี ๒ ชั้น ชั้นบนประดิษฐานรูปหล่อพระศรีอาริยเมตไตรย (หรือพระนามในฐานะพระโพธิสัตว์ชั้นดุสิต พระเดชพระคุณหลวงพ่อเรียกว่า “ท่านปรีชาทรงธรรม”) ประทับยืนทรงเครื่องเทวดา พระหัตถ์ซ้ายทรงจักร พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ ปิดทองคำเปลวและแผ่นเงิน
มณฑปพระศรีอริยเมตไตรย วันธรรมดาเปิดเป็นสองช่วงคือ 9.00 - 10.30 / 13.00 - 16.00 น.
ส่วนวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการเปิดต่อเนื่อง 9.00 - 16.00 น.
สถานีต่อไปคือ "วิหารสมเด็จองค์ปฐม"
![]()
สมเด็จองค์ปฐม หมายถึง พระพุทธเจ้าพระองค์แรก ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้ทำสมาธิกรรมฐาน และได้เกิดเหตุการณ์ปาฎิหาริย์ขึ้นคือ ปรากฎองค์พระพุทธเจ้ายืนพนมมือหันหน้าเข้าหากันทั้งสองด้าน เว้นตรงกลางไว้ หลังจากนั้นได้มีพระพุทธเจ้าองค์ปฐมเดินมาตรงกลาง จนกระทั่งท่านเดินมาถึงหลวงพ่อ ท่านก็ได้กล่าวว่า "ต่อไปนี้ ถ้าจะสอนธรรมะให้บอกฉันก่อน แล้วฉันจะให้สอนตามที่ฉันต้องการ"
วันหนึ่งหลวงพ่อได้เจริญกรรมฐานและขออาราธนาเพื่อพบสมเด็จองค์ปฐม ท่านก็มาปรากฎกายให้เห็น ท่านบอกว่าให้ปั้นอย่างนี้ก็แล้วกัน แล้วท่านก็นั่งทำภาพให้ดู เป็นเหมือนพระพุทธรูปปั้นแล้วก็มีเรือนแก้วเป็นพระพุทธชินราช ท่านมาแสดงแบบนั้นอยู่ถึงสามวันติด หลวงพ่อจึงสั่งให้นายประเสริฐ แก้วมณี ปั้นรูปขี้ผึ้งขึ้น บอกลักษณะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ในที่สุดเมื่อทำการปั้นเสร็จเรียบร้อย ช่างเอามาให้ดูก็เหมือนกับรูปที่ท่านแสดงจริงๆ ในส่วนของสถานที่สร้างองค์มณฑปสมเด็จองค์ปฐม หลวงพ่อก็ได้นิมิตจากสมเด็จองค์ปฐมให้สร้างในสถานที่ปรากฎในปัจจุบันนี้ เพราะพื้นที่แห่งนี้มีพระบรมสารีริกธาตุสำคัญอยู่ และได้มีพิธีหล่อสมเด็จองค์ปฐมในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕ โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธานจับสายสิญจน์ในการหล่อ
วิหารสมเด็จองค์ปฐม วันธรรมดาเปิดเป็นสองช่วงคือ 9.00 - 10.30 / 13.00 - 16.00 น.
ส่วนวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการเปิดต่อเนื่อง 9.00 - 16.00 น.
สถานีต่อไปคือ หอพระไตรปิฎก หลวงพ่อเงิน ไหลมาเทมา
![]()
ลักษณะเป็นพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร สูง 30 ศอก ที่มาของชื่อหลวงพ่อเงินไหลมาเทมา มาจากพลังศรัทธาของญาติโยมทั้งหลายที่ช่วยบริจาคในการสร้างพระยืน 30 ศอก
เวลาเปิดปิด ถ้าเป็นจันทร์ถึงศุกร์ เปิดเป็นสองช่วงคือ 9.00 - 11.00 / 12.30 - 16.00 น.
ส่วนวันเสาร์ อาทิตย์ เปิดต่อเนื่อง 9.00 - 16.30 น.
สถานีต่อไปคือ ปราสาททองคำ (กาญจนาภิเษก)
![]()
ปราสาททองคำเริ่มสร้างเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๓๖ ที่มาของคำว่าปราสาททองคำนั้นสืบเนื่องจากปี พ.ศ.๒๕๓๙ เป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์ครบ ๕๐ ปี ท่านเจ้าอาวาสจึงนำการสร้าง "ปราสาททองคำ" ขึ้นถวายเป็นพระราชกุศล และทางสำนักพระราชวังได้ให้ชื่อปราสาททองคำใหม่ว่า "ปราสาททองกาญจนาภิเษก"
![]()
ปราสาททองคำ ก่อสร้างด้วยการก่ออิฐฉาบปูน ประดับลวดลายไทยปิดทองคำเปลวติดกระจก ใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ญาติโยมถวาย
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
ผู้ที่ออกแบบสร้างปราสาททองคำแห่งนี้คือ พระสามารถ ซึ่งมีความชำนาญด้านศิลปลายไทย นอกจากออกแบบแล้วท่านยังทำหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างตลอดจนการตกแต่งต่างๆ อีกด้วย
![]()
ปราสาททองคำถูกออกแบบให้มีถึงสามชั้น มียอดทั้งหมด 37 ยอด เป็นยอดเท่าๆ กัน 36 ยอด ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ และยอดตรงกลางเป็นยอดใหญ่หนึ่งยอด
สถานีต่อไป วิหารแก้วร้อยเมตร
![]()
วิหารแก้วร้อยเมตร เป็นวิหารสำคัญที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสร้างไว้ก่อนมรณภาพ รวมทั้งยังเป็นที่รักษาสังขารร่างของหลวงพ่อที่ไม่เน่าเปื่อยในโลงแก้ว ภายในสร้างด้วยโมเสกสีขาวใสดูเหมือนแก้ววาววับ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปจำลอง พระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระประทานในวิหารอีกด้วย วิหารแก้วเปิดให้ชมในช่วงเช้า 9.00 - 11.45 น .และ ช่วงบ่าย 14.00 - 16.00 น.
และสถานีสุดท้ายของวัดท่าซุง คือ ท่าเทียบเรือแพปลาวัดท่าซุง
![]()
![]()
![]()
ที่นี่นอกจากสามารถให้อาหารปลาได้แล้วยังมีบริการล่องเรืออีกด้วย แต่ไม่ได้ล่องหรอกนะ แค่มานั่งชมวิวเล่นๆ มองปลาตัวใหญ่ๆ และนกพิราบเดินเล่น
![]()
จนเวลาเกือบๆ บ่ายสี่โมงเย็นก็ได้เวลาย้ายร่างไปยังวัดสังกัสรัตนคีรี ที่ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาสะแกกรัง
![]()
วัดอยู่สุดถนนท่าช้าง ในเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานี เป็นวัดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ในเรื่องประเพณีตักบาตรเทโว ที่จัดขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ถือเป็นประเพณีสำคัญของจังหวัดอุทัยธานี ในวันดังกล่าวจะมีพระสงฆ์กว่า 500 รูป เดินลงมาตามบันได 449 ขั้น จากมณฑปบนยอดเขาสะแกกรังสู่ลานวัดสังกัสรัตนคีรีเบื้องล่าง เพื่อมารับบิณฑบาตร
![]()
ภายในวัดสังกัสรัตนคีรี ยังประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง "พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์" พระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยที่มีพุทธลักษณะงดงาม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพญาลิไท มีอายุประมาณ 600 - 700 ปี ที่ได้อัญเชิญมาจากสุโขทัย เดิมทีประดิษฐานอยู่เบื้องหน้าพระประธานในวิหารวัดขวิด ริมแม่น้ำสะแกกรังฝั่งตะวันตก ครั้นเมื่อเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) เดินทางมาตรวจเยี่ยมวัดและเห็นพระพุทธรูป จึงโปรดให้อัญเชิญหลวงพ่อพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ มาประดิษฐานที่วัดสังกัสรัตนคีรี และได้มีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุภายในพระเศียรของหลวงพ่อ
![]()
หลังจากจบทัวร์วัดแล้ว ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย รู้สึกหิวมาก อยากกินปลาแรดขึ้นมาทันใด เลยเสิร์ธหาร้านนั่งกินดีดีสักร้านแบบเร่งด่วน ในที่สุดเราก็ตกลงกันว่าเราจะไปที่ร้านอาหาร "บ้านนอกริมนา" ซึ่งอยู่นอกเมืองไปหน่อย คือไปทาง อ.หนองขาหย่าง ร้านบรรยากาศดีมากเพราะติดริมทุ่งนา แต่เนื่องจากความหิวที่รุนแรงเราจึงมิได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าไหร่ เมื่อได้โต๊ะนั่งแล้วเราก็รีบสั่งอาหารทันที
![]()
![]()
รอไม่นาน อาหารที่สั่งไว้ก็ทยอยมาเสิร์ฟ ที่มาก่อนเพื่อนเลยคือปลาแรดทอดน้ำปลา น่ากินมากๆ จานนี้ 280 เท่านั้น ไม่แพงเลย
![]()
ต้มแซบซี่โครงอ่อน 180
![]()
เห็ดรวมผัดกุ้ง 90 บาท
![]()
![]()
อร่อยทุกจานเลย ทั้งหมดนี้ค่าเสียหายอยู่ที่ 645 บาท รวมข้าวเปล่า น้ำเปล่า น้ำแข็ง และข้าวผัดปูให้ลุงชายเจ้าของรถเหมา ให้แกไว้กินที่บ้านด้วย
ร้านเปิดทำการเวลา 10:30 - 22:00 น. โทรมาจองโต๊ะก่อนได้นะที่ 087 200 4998