....หากคิดถึงแหล่งท่องเที่ยวหน้าฝน คงมีหลายที่ที่อยู่ในใจของเพื่อนๆนักเดินทาง ผมเองก็เช่นเดียวกันได้ plan ไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วหลังจากที่ทาง air asia ปล่อย pro 0 บาท"จองชาตินี้บินชาติหน้ามา" เข้าไปจองได้ตั้งแต่วันแรกๆเลือกเดินทางวันธรรมดาไปยังจังหวัดน่านโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ใด พอต้นปีมานี้ก็เลยเริ่มหาดูสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดน่านไปเรื่อยๆ น่าแปลกใจที่จังหวัดนี้กลับมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายจนน่าอิจฉาทั้งๆที่เป็นเมืองปิด หากใครจะมาต้องตั้งใจมาจริงๆเพราะจังหวัดนี้ไม่ใช่เมืองทางผ่าน หากไม่นับ"ดอยเสมอดาว"ที่อยู่อ.นาน้อย ที่เป็นที่รู้จักกันดีแล้ว ผมว่ามีอีก 2 อำเภอที่คนนิยมไปกันก็ที่อ.ปัว และต่อไป อ.บ่อเกลือ เลยเป็นที่มาของการตามรอยเส้นทางสีเขียวของ 2 อำเภอนี้ว่าจะมีความสวยงามสมคำร่ำลือกันจริงหรือเปล่า มาตามรอยไปกับผมเลยน่ะครับ...
...เครื่องแอร์บัส เอ 320 เที่ยวบินที่ FD 3556 ทะยานออกจากน่านฟ้าเมืองกรุงตอนเวลาบ่าย 3 โมง ทิ้งความวุ่นวายของสังคมเมืองไว้ข้างหลัง ออกจากเมืองกรุงนั่งมองสายน้ำของลำน้ำเจ้าพระยาจากความสูง 18,000 ฟุต พอพ้นเขตนครสวรรค์สักพักมองลงไปเห็นลำน้ำสีแดงไหลลัดเลาะผ่านที่ราบเชิงเขาเข้าสู่เขื่อนที่มองจากข้างบนก็รู้ว่าเป็นเขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถฺ์ เพราะตัวหนังสือบนสันเขื่อนเด่นชัดมาก เข้าใจได้ทันทีว่าต้องเป็นลำน้ำน่านและอีกไม่นานก็จะถึง
สนามบินน่านนคร - อำเภอปัว
ถึงท่าอากาศยานน่านนคร ผมใช้บริการรถเช่าของ Avis ในการเดินทางในครั้งนี้ โดยซื้อ voucher ล่วงหน้าไว้ในงานไทยเที่ยวไทยในราคาวันละ 800 บาทเมื่อต้นปี เพราะจะถูกกว่า ไปจองตอนใกล้ๆวันเดินทาง counter รถเช่าจะอยู่ในสนามบิน หลักฐานที่ใช้ในการติดต่อเช่ารถก็มีใบขับขี่ บัตรเครดิตในการวางมัดจำ รูด authorize ไว้ 8,000 บาทหากซื้อประกันอุบัติเหตุ กับ ประกันรถหายเพิ่มก็จ่ายเพิ่มอีก อย่างล่ะ 170 กว่าบาทต่อวัน
ผมเก็บภาพอยู่พักหนึ่ง ก็ต้องรีบเดินทางต่อเพื่อเข้าที่พัก เพราะดูจากรีวิวถนนหนทางเข้าที่พักตอนกลางคืนนั้นค่อนข้างจะมืดมาก ที่พักยอดฮิตของอ.ปัวก็หนีไม่พ้นตานงโฮมสเตย์ ความจริงที่พักในปัวก็ยังมีอีกหลายที่ แต่ทำไมอ่านรีวิวก็เจอแต่ตานงโฮมสเตย์ซะส่วนมากก็เลยอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง มันจะสวยเหมือนที่เห็นในรีวิวหรือไม่ไปดูกัน เส้นทางไปบ้านตานง search หาใน gps garmin ไม่เจอ เลยมาพึ่ง google map รับรองเจอแน่นอน ขับไปตามที่ gps บอกทาง ถ้าเห็นสภาพเส้นทางไปแล้วเป็นคันนาที่รถยนตร์สามารถลัดเลาะไปได้ ไม่ต้องตกใจหรือกังวลน่ะครับมาถูกทางแล้ว เส้นทางจะวกวนไปตามคันนาถนนก็เป็นถนนดินแคบๆนี่แหละ สวนกันทีต้องดูดีๆไม่งั้นลงไปนอนแช่ในท้องนา กว่าจะมาถึงก็มืดค่ำแล้ว ขับรถเข้ามาจอดมีตากับยายคู่หนึ่งมาต้อนรับ ตาก็คงเป็นตานงนี่แหละ ส่วนยายก็คงเป็นเมียตานงอีกที เอ๊ะหรือว่าไม่ใช่ก็ไม่รู้ไม่ได้ถามชื่อซะด้วย 55 ผมจองที่พักไว้เป็นเฮือนคันทรี่ชั้น 2 ในราคา 500 บาท เข้ามาถึงห้องก็ขออาบน้ำก่อนเลย แล้วมานอนฟังเสียงธรรมชาติยามค่ำคืนของท้องนาขับร้องประสานเสียงกันระงมทั้งกบเขียดจักจั่นลองไนและแมลงกลางคืนอีกนับล้าน หลับไปตอนไหนไม่รู้มาสะดุ้งตื่นตอนย่ำรุ่งที่ฝนตกลงมา แสงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นเหลี่ยมเขาเผยแสงสีทองมารำไร รีบลุกล้างหน้าล้างตา ประกอบอุปกรณ์กล้องถ่ายภาพเตรียมจับภาพรุ่งอรุณของวันใหม่
ตานงโฮมสเตย์
..ตานงโฮมเสตย์ตั้งอยู่ที่บ้านดอนสถาน อ.ปัว หากนั่งรถมาเองให้มาลงที่ ตลาดปัวแล้วต่อวินมอเตอร์ไชด์เข้าไป หากนำรถมาเองก็ตาม google map ได้เลย รายละเอียดข้อมูลต่างๆติดตามได้ที่นี่เลยครับ ตานงโฮมสเตย์เช้านี้จริงๆตั้งใจว่าจะย้อนกลับไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่วัดภูเก็ตอีกรอบ ก็มีอันต้องเปลี่ยนแผนเพราะฝนตกเมื่อตอนใกล้รุ่ง เลยมีเวลาเดินเล่นอยู่ตามท้องทุ่งนายามเช้าบริเวณที่พัก การใช้ชีวิตที่ไม่รีบเร่งมันก็ดีเหมือนกันแต่ไม่เคยทำได้ตามใจคิดเพราะโปรแกรมการเดินทางที่ set ไว้มันเป็นชนักติดหลังอยู่ตลอด การพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับผมแล้วก็คือการเดินทางนั่นเอง...ดังนั้นพอคิดได้ก็จัดแจงเก็บกระเป๋า check out ไปยังเป้าหมายต่อไปนั่นคือ "ดอยสกาด"แต่เจ้ากรรมที่ GPS บอกสถานที่นี้ผิด ขับหลงไปทาง อ.เชียงกลางได้สัก 20 กม.แปลกใจว่าทำไมไม่ถึงสักทีเพราะก่อนหน้านั้นเคยศึกษาข้อมูลการเดินทางจากบ้านดอนสถานขับขึ้นดอยไปประมาณ 20 โลเท่านั้น มา search หาใหม่อีกครั้งที่อ.เชียงกลางบอกไปต่ออีก 30 กว่าโลซึ่งมันเป็นทางที่จะไปอ.ทุ่งช้าง นี่ถ้าขับไปกลับจากปัว ไม่เป็น 100 โลเหรอ เลยเปลี่ยนเพราะกะว่าจะกลับมาเที่ยววัดดังๆในอ.ปัวอีก ระหว่างทางเลยแวะเที่ยวชมวัดในอ.เชียงกลางก่อนเห็นป้ายบอกวัดพระธาตุจอมกิตติอยู่ไม่ไกลเลยแวะไปกราบสักการะพระธาตุสักหน่อย
วัดพระธาตุจอมกิตติ
ตั้งอยู่บ้านป่าเลา ต.พระพุทธบาท อ.เชียงกลาง จากปัวมุ่งหน้ามาบนถนนเส้น ปัว-เชียงกลาง-ทุ่งช้าง ถึงอ.เชียงกลางมีทางแยกซ้ายมือ ป้ายบอกทางเข้าวัดขับต่อไปอีก 8 กิโล วัดตั้งอยู่บนภูเขาหลังหมุ่บ้าน มีองค์พระพุทธรูปประดิษฐานหันหน้าไปทางดอยภูคา ตัวพระธาตุซึ่งบรรจุพระเกศาธาตุแยกออกมาอีกเนินหนึ่งใกล้ๆกัน มองเห็นวิวทิวทัศน์ของหมู่บ้านป่าเลาได้ชัดเจนวัดหนองแดง
ออกจากวัดพระธาตุจอมกิตติ ดูใน gps เห็นมีวัดชื่อดังของอ.อีกวัดหนึ่งใกล้ๆกัน เลยขับเลี้ยวลัดเลาะเข้าไปในหมู่บ้าน วัดนี้ก็อยู่ ถ.เส้นเดียวกับที่มาวัดพระธาตุจอมกิตตินั่นแหละ เป็นวัดเก่าแก่ประจำหมู่บ้านหนองแดงสร้างมา 200 กว่าปีโดยชาวไทลื้อกับไทพวน ภายในวิหารมีพระประธานประดิษฐานอยุ่บนนาคบัลลังก์ หลังวัดมีต้นโพธิ์เก่าแก่อายุ 1,700 ปีและต้นโพธิ์ต้นนี้ยังได้รางวัลที่ 1 จากการประกวดต้นโพธิ์เก่าแก่ประจำจังหวัดอีกด้วย ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเขาวัดอายุต้นโพธิ์ยังไง เพราะดูท่าแล้วมีมาก่อนวัดสร้างเป็นพันปี นอกจากนี้บริเวณต้นโพธิ์ยังเป็นที่ฝังทรัพย์สมบัติของกษัตริย์องค์หนึ่งของอาณาจักรน่านเจ้า หลังจากฟังเรื่องเล่าประวัติความเป็นมา อภินิหารต่างๆจากท่านเจ้าอาวาสที่มาต้อนรับ จับความได้แค่ประมาณนี้ เพราะบางคำผมก็ฟังภาษาเหนือไม่ออก ท่านดีใจมากที่เห็นว่ามีนักท่องเที่ยวขับรถเข้ามาดู ท่านฝากผมมาว่ากฐินผ้าป่าทางวัดไม่ต้องการ อยากจะเชิญชวนให้คนมาเที่ยว มาศึกษาเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทลื้อและช่วยกันบอกต่อมากกว่า ต้องกราบขอบพระคุณที่ท่านพาชมวัดและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆมากมายออกจากวัดจุดหมายต่อไปคือ ย้อนเข้าเมืองปัวอีกครั้ง เพื่อจะไปเก็บภาพวัดที่มีชื่อเสียงของอำเภออีกหลายวัด กลับไปที่วัดภูเก้ตอีกครั้งเพื่อเก็บตกภาพทุ่งนาเต็มๆในตอนสายๆและถ่ายภาพวัดอีกที
วัดภูเก็ต
ตั้งอยู่ที่บ้านเก็ต ต.วรนคร อำเภอปัว เส้นทางไปดู google map ได้เลยไม่มีหลง ลักษณะตัววัดตั้งอยู่บนภู อยู่ ต.บ้านเก็ต ชาวบ้านเลยเรีกวัดภูเก็ต ง่ายดี อุโบสถทรงล้านนาประยุกต์ประดิษฐานพระประธานชื่อว่าหลวงพ่อแสนปัว หรือหลวงพ่อพระพุทธเมตตา จุดเด่นของวัดนี้คือวิวบริเวณทุ่งนาหลังวัดที่อลังการมาก ตอนแรกสงสัยว่าทำไมทุกวัดจึงหันหน้าไปทางดอยภูคา มีอุบายอะไรหรือเปล่า แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นทิศตะวันออกนั่นเอง วัดแห่งนี้ยังเป็นวัดที่เปิดให้บริการด้านที่พักอีกด้วย แต่เรียกว่าเป็น templestay มีอุปกรณ์ในห้องดีไม่น้อยไปกว่าโรงแรมเล็กๆทั่วไปซะอีกทั้ง TV Wifi แอร์ มีครบออกจากวัดภูเก็ต ก็บ่ายโมงกว่าแล้ว เรื่องอาหารคงไม่เน้นหาร้านดังมารีวิวเท่าไหร่ เพราะผมจะเน้นง่ายๆอาหารจานเดียวเป็นหลัก เป้าหมายต่อไปที่จะตามแกะรอยนักรีวิวทั้งหลายก็คือ แน่นอนว่าบ่ายๆแบบนี้อาการง่วงเหงาหาวนอนก็ตามมา หนีไม่พ้นที่ต้องหาร้านกาแฟวิวสวย บรรยากาศดีชื่อดังของเมืองปัวก็คือ
ร้านกาแฟสดบ้านไทลื้อ
ร้านนี้อยู่ใน ต.ศิลาแลง อ.ปัวนี่แหละ มีคนแวะเวียนมาตลอดทั้งวันสังเกตุจากรถเดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก หลังร้านมีทางเดินสร้างคร่อมอยู่บนคันนาและมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ตามเส้นทางที่สร้างไว้ เส้นทางยังเชื่อมต่อไปร้านลำดวนผ้าทอที่อยู่ติดกันอีกด้วย กาแฟแก้วล่ะ 40 สั่งเสร็จเดินมานอนเล่นในกระต๊อบ กาแฟร้านนี้กินเสร็จแล้วอยากนอน ไม่ใช่เพราะกาแฟไม่แรง แต่เพราะวิวท้องนามีลมพัดเอื่อยๆมาเป็นระยะๆ มันน่าเคลิ้มเสียนี่กระไรฟาร์มสเตย์บ้านหัวน้ำ
ออกจากร้านกาแฟบ้านไทลื้อหาร้านอาหารชื่อดังอีกร้านนึงซึ่งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันห่างออกไปอีกไม่กี่กิโล ร้านนี้ที่เข้าไปไม้ได้สนใจเรื่องอาหารแต่สนใจเรื่องวิวของร้านมากกว่า แต่ถ้าจะไปถ่ายภาพก็กระไรอยู่เลยสั่งอาหารจานเดียวมาทานด้วย ซึ่งที่นี่จะเป็นฟาร์มเห็ดเพราะฉะนั้นเมนูอาหารส่วนใหญ่จะเป็นเห็ด ผมก็เลยสังข้าวผัดกระเพราหมูใส่เห็ดมาจานนึง รสชาติคาดไม่ถึงจริงๆ อร่อยมากโดยเฉพาะหมูที่มาทำกระเพราเขาหมักได้รสชาติจริงๆ ระหว่างรอก็เดินหามุมถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ตรงนี้จะมีสถานที่ unseen อีกที่นึงคือ วังศิลาแลง เดินไปไม่ไกลมากเท่าไหร่เพียงแต่เวลาไม่พอ ก็เลยตัดออกจากโปรแกรมไปก่อน ร้านนี้นอกจากจะเป็นฟาร์มเห็ดและร้านอาหารแล้วยังมีที่พักเป็นโฮมสเตย์อีกด้วยปัว - บ่อเกลือ - สปัน
บ่ายสามโมงตอนขับรถออกจากฟาร์มเห็ด ยังเก็บภาพแหล่งท่องเที่ยวเมืองปัวได้ไม่กี่ที่เอง ต้องเปลี่ยนแผนที่จะเก็บภาพสถานที่อื่นๆ เพราะเวลาร่นเข้ามาและสภาพอากาศเริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝนแล้ว ไม่อยากขับรถข้ามดอยภูคาในขณะฝนตกเพราะผมยังไม่รู้ว่าสภาพเส้นทางข้างหน้าเป็นอย่างไร ก่อนมาได้ข่าวว่ามีดินสไลด์เส้น ปัว - บ่อเกลือ ซึ่งมันเป็นเส้นทางที่เราจะผ่านด้วย เลยตั้ง GPS เปลี่ยนเส้นทางไปยังอ.บ่อเกลือวิ่งเข้าเส้น 1256 ที่ตัดขึ้นดอยภูคา สภาพถนนเป็นทางราดยางอย่างดี เส้นทางคดเคี้ยว ไปตามเหลี่ยมเขา ขึ้นเขาลงเขาไม่รู้กี่ลูก เส้นทางที่ผ่านไปมีจุดที่ดินสไลด์ ต้นไม้หักโค่น ตลอดทางแทบไม่ค่อยมีรถสวนกันเลย จะมีแต่พวกรถเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าบ้าง เจ้าหน้าที่การทาง ที่เข้ามาเคลียร์เส้นทาง ยิ่งขึ้นไปสูงจะมองเห็นทิวทัศน์สองข้างทางที่เป็นไร่นาไร่ข้าวโพดกินพื้นที่ป่าเขาเป็นลูกๆ
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
ยังไงก็ต้องผ่านอุทยานอยู่แล้วเลยแวะจุดชมวิวทะเลหมอกของอุทยานสักหน่อย อยู่ริมถนนเลย ตัวเลข 1715 เป็นระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ช่วงหน้าหนาวหมอกคงจะเต็มไปทั้งหุบ ช่วงนี้อุทยานจะปิดตั้งแต่ 1 กค - 30 ก.ย งดกางเต้นท์พักแรมในบริเวณอุทยานและกิจกรรมท่องเที่ยวในเขตอุทยานจะงดให้บริการ แต่ในส่วนบ้านพักของอุทยานยังสามารถเข้าพักได้ทั้งปีบ่อเกลือวิวรีสอร์ท
ขับรถข้ามดอยภูคามาแล้วเข้าเขตอ.บ่อเกลือ ทีแรกจะแวะไปดูบ่อเกลือสินเธาว์ชื่อดังของอำเภอสักหน่อย แต่ช่วงนี้จะปิดบ่อต้มเกลือช่วงเข้าพรรษาตามความเชื่อของชาวบ้าน เลยแวะซื้ออะไรเข้าไปกินที่บริเวณที่เราจะไปพักกันคืนนี้ ดูร้านอาหารในบ่อเกลือมีร้านวิวสวยอยู่ร้านหนึ่งตรงเชิงสะพานปูนข้ามลำน้ำ ทำเลอยู่บนเชิงเขาชื่อร้านบ่อเกลือวิว สั่งอาหารแล้วก็เดินมาตรงระเบียงของร้านเพื่อชมวิวด้านหน้า มองลงไปเห็นลำน้ำมางสายเล็กๆสีโอวัลตินไหลผ่านโขดหิน ใกล้ๆกันมีทีพักชื่อว่าเฮือนฮิมมางตั้งอยู่ แต่ลักษณะเหมือนไร้ผู้คนไม่รู้ว่าทำเสร็จหรือยัง ค้นข้อมูลมาว่าเมื่อก่อนตรงนี้จะเป็นที่พักชื่อดังคือ อุ่นไอมาง บ่อเกลือ แต่ตอนหลังได้ขายกิจการไปและไปเปิดที่ใหม่ในหมู่บ้านสปันห่างจากจุดนี้ไปอีก 8 กิโล ซึ่งก็คือที่พักของผมคืนนี้นั่นเอง