ย่ำทะเลหมอก...ที่เขาค้อ

 

ทริปนี้...เป็นการจัดทริปของก๊วนเพื่อนเก่าสมัยมัธยมค่ะ จุดหมายปลายทางของพวกเราคือ แคมป์ปิ้งที่เขาค้อค่ะ ซึ่งพวกเรานัดเจอกันที่จ.พิษณุโลก

วันที่ 1

       เราอยู่กทม. เดินทางไปจ.พิษณุโลกโดยเครื่องบิน เราขึ้นเครื่องบินของสายการบินAir Asia เคร่ื่องขึ้นเวลา 06.55 น ถึงจ.พิษณุโลกเวลา 07.55 น. ลงจากเครื่องบินได้ก็เดินออกจากประตูมาขึ้นรถรับจ้างเพื่อเข้าเมือง รถรับจ้างราคาไม่แพงค่ะ ใครที่จะเดินทางเข้าเมืองเขาคิดราคา 150 บาท  

บรรยากาศCheck in ที่สนามบินดอนเมือง คนแน่นมากๆ ใช้เวลารอประมาณ 45 นาที T_T พร้อมเดินทางสู่จ.พิษณุโลก

 

    โชคร้ายนิดนึงค่ะ เมื่อมาถึงจ.พิษณุโลก ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป เขาคงเดินทางไปที่พักเพื่อเก็บสัมภาระกันก่อน แต่เราไม่สามารถทำอย่างคนอื่นได้ เพราะโรงเเรมเปิดให้Check in ห้องพักตอนเที่ยง ดูเวลาเเล้วคงอีกนานออกไปเที่ยวในตัวเมืองจ.พิษณุโลกฆ่าเวลาดีกว่า เราให้รถรับจ้างมาส่งที่วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) มาถึงก็ไปนมัสการพระพุทธชินราช พระคู่บ้านคู่เมืองของชาวจ.พิษณุโลก ไหว้พระเสร็จก็เดินไปชมความงดงามของวัดในจุดต่างๆ นอกจากสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้วที่นี่ยังมีร้านของฝากตั้งขายอยู่หลายสิบ ร้านให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อค่ะ

             ไหว้พระเสร็จ...เราก็เดินไปลิ้มรสก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ร้านอาหารเรื่องชื่อของจ.พิษณุโลก อยากรู้เหมือนกันว่ารสชาติจะเด็ดขนาดไหน ระยะทางในการเดินไปร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ไกลจากวัดใหญ่ค่ะ หากคาดคะเนคิดว่าระยะทางน่าจะประมาณ 600 เมตรได้ เมื่อมาถึงก็ไม่รอช้าค่ะ สั่งอาหารกันดีกว่า เกี๋ยวเตี๋ยวที่เราสั่งคือ ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก แผ่นเกี๊ยวทอด และน้ำกระเจี๊ยบพุทรา เรื่องรสชาติของก๋วยเตี๋ยว เป็นรสกลางๆ คนไทยทานได้ฝรั่งทานดี รสชาติไม่หนักมาก...และเราสามารถเพิ่มรสชาติความจัดจ้านได้ด้วยเครื่องปรุงรสค่ะ

         เรากินก๋วยเตี๋ยวเสร็จประมาณ 10.30 น. อากาศเริ่มร้อนอบอ้าว คิดว่าถ้าแบกเป้น้ำหนัก 13 กิโลไปเที่ยวต่อไม่น่าจะรอด...เลยเสี่ยงเดินไปที่พักดีกว่าเอาของไปเก็บแล้ว ค่อยออกมาเที่ยวต่อ ซึ่งโรงแรมอยู่ห่างจากวัดใหญ่ประมาณ 2 กิโลเมตร รถไม่มีก็เดินแบกเป้กันไปค่ะ ร้อนเหงื่อซก..แต่สนุกดีเดินไปเพลินๆ สักแป๊บก็ถึงโรงแรม เราพักอยู่ที่โรงแรมThe Room อยู่ตรงข้ามกับวัดคูหาสวรรค์ ราคาค่าห้องคืนละ 450 บาท เป็นเตียงTwin มาถึงโรงเเรมโชคคีมากที่ห้องพักพร้อมสำหรับผู้เข้าพักแล้ว ไม่รีรอค่ะกดลิฟต์ขึ้นไปห้องพักทันที...ใจจริงกะ ว่ามาวางกระเป๋าแล้วจะออกไป แต่พอหัวหนุนหมอนเท่านั้นแหละม่านตาก็ค่อยๆ ปิดลงโดยอัตโนมัติ หลับขนาดนี้ก็คงอดไปเที่ยวสินะ ฮ่า ฮา ฮา..

     ให้ตายเถอะ...ตื่นมาอีกทีฟ้ามืดซะแล้ว มองนาฬิกาอ้าว!!! 19.35 น. นอนมาราธอนไปแล้ว ฮ่า ฮา ฮา...ตื่นมาได้ท้องก็ร้องเรียกหาอาหารเลย จำได้ว่าใกล้ๆ ที่พักมีร้านจิ้มจุ่มรสชาติดีอยู่ไม่ไกล ยิ่งอากาศเย็นๆ แบบนี้กินอะไรร้อนๆ ชุ่มคอดี ช้าทำไมสวมรองเท้าบิดลูกบิดเดินออกไปกดลิฟต์แล้วมุ่งตรงสู่ร้านลาบอีสานกัน เถอะ มาถึงก็ส่งอาหารทันที อาหารที่สั่งคือ หมูจุ่ม 1 ชุด พร้อมด้วยลาบหมู 1 จาน กินคนเดียวชิวๆ ริมถนนได้บรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองพิษณุโลกดีค่ะ กินไปฟังเสียงรถขับสวนกันไปสวนกันมาเพลินดี 

กินอาหารเย็นจนอิ่มท้องแล้ว จ่ายตังได้ก็เดินทางกลับที่พักค่ะ พักผ่อนรอเพื่อนมารับตอน 7.00 น. 

 

วันที่ 2

         7.00 น. เพื่อนขับรถมารับ พวกเราขนของขึ้นรถและเดินทางไปหาเพื่อนที่รออยู่อีกกลุ่ม แวะทักทายพูดคุยกันอยู่ครู่นึง ระหว่างรอเพื่อนอีกกลุ่มที่กำลังเดินทางมา เพื่อนโทรมาบอกว่าให้ไปรอที่ตลาดไนท์บาร์ซา พวกเราจึงขับรถไปรอที่นั้นจนเวลาประมาณ 9.45 น. เพื่อนๆ มาครบ ก็เริ่มการเดินทางสู่จ.เพชรบูรณ์ มุ่งตรงสู่เขาค้อดินแดนทะเลหมอก

         พวกเราเดินทางมาถึงจ.เพชรบูรณ์ เวลาประมาณ 14.00 น. พักกันที่เขาค้อ ฟลอร่า รีสอร์ท ที่นี่บริการทั้งบ้านพักและเต้นท์สำหรับนอนรับบรรยากาศหนาวท่ามกลางสายหมอกห้อมล้อมรอบๆ เขา อากาศที่เขาค้อช่วงบ่ายค่อนข้างร้อน แต่ในตอนมืดสัก 20.00 น. ไปแล้ว อากาศจะค่อยๆ เย็นและหนาวมากในช่วงตี5 จนเวลาประมาณ 8โมงเช้าอุณหภุมิจะค่อยๆ สูงขึ้นตามลำดับ

 

บรรยากาศลานกางเต้นท์ของรีสอร์ทข้างๆ

 

              พูดถึงอากาศกันไปแล้ว เรามาพูดถึงเรื่องแคมป์ปิ้งของเรา และก๊วนเพื่อนกันดีกว่า เมื่อมาถึงทุกคนนำอุปกรณ์ทำแาหาร กระเป๋าเสื้อผ้าลงจากรถนำไปเก็บ จากนั้นทุกๆ ต่างพร้อมใจมาช่วยกันทำอาหาร กินได้บ้างไม่ได้บ้างก็ว่ากันไป 

หนุ่มๆ กำลังขมักเขม้นสำหรับเตรียมทำอาหารเย็นนี้ เนื้อย่างร้อนๆ จากเตาค่ะ

หมูหันก็มา ^^

 

           สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นออเดิร์ฟของพวกเราทุกคน เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าของรีสอร์ทบอกว่าใกล้ๆ ที่พักมีน้ำตก รอช้าทำไมคะไปเที่ยวน้ำตกกันดีกว่า น้ำตกที่เรากำลังไปมีชื่อว่าน้ำตกศรี ดิษฐ์ อยู่ห่างจากที่พักประมาณ 2 กิโลเมตร น้ำตกนี้เหมาะสำหรับมาชมบรรยากาศของธรรมชาติมากกว่ามาเล่นน้ำ มีเพียงบางจุดเท่านั้นที่เจ้าหน้าที่เปิดให้นักท่องเที่ยวลงมาเล่นน้ำได้ค่ะ

บรรยากาศบริเวณน้ำตก มีนักท่องเที่ยวมาชมทัศนียถาพความงดงามของสายน้ำเป็นระยะๆ ค่ะ บริเวณนี้สามารถลงเล่นน้ำได้ค่ะ สะพานเดินเข้าชมน้ำตกศรีดิษฐ์ ใช่แค่มาชมน้ำตกเท่านั้น บริเวณรอบๆ น้ำตกก็มีดอกไม้นานาพันธุ์ให้ได้ชมค่ะ

 

          เที่ยวน้ำตกกันจนเพลินแล้ว ฟ้าเริ่มมืดกลับที่พักกันเถอะ...มาถึงที่พักคนที่ตัวเปียกปอนไปด้วยน้ำก็แยก ย้ายกันไปชำระล้างร่างกาย ส่วนคนที่ไม่ได้เล่นน้ำก็ทำอาหารกันต่อไปค่ะ แคมป์ปิ้งทริปนี้ยาวนานเหลือเกิน ทุกคนต่างสนุกสนานไปด้วยห้วงความรู้สึกของความคิดถึงเพื่อนเก่า บางคนเจอกันบ่อยๆ แต่บางคนเป็นเดือนเป็นปีกว่าจะได้กลับมาเจอกัน 

 

         เวลาแห่งความสุขและความสนุกผ่านไปเร็วเสมอค่ะ ....เพิ่มเติมด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ก็พลันให้บางคนสลบไสลไปก่อนเพื่อนๆ ส่วนบางคนคอแข็งหน่อยก็ไม่ยอมหลับยอมนอนนั่งลิ้มรสสุรากันทั้งคืน ส่วนตัวเราเองนอนดีกว่า หนาวจับใจขนาดนี้ใครจะอดทนนั่งต่อ ฮ่า ฮา ฮา

 

วันที่ 3

           เสียงนาฬิกาปลุกดัง กรี๊งงงงงงงงง!!! เวลาตี 5.30 น. เป็นเวลาที่เหมาะแก่การเฝ้ารอชมทะเลหมอก แม้ว่าทะเลหมอกจะงดงามขนาดไหน ก็ไม่สามารถหยุดความง่วงของเราได้ มือเอื้อมไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่โทรศัพท์และก็หลับต่อ..Zzzz.^__^

           ฟ้าค่อยๆสว่างหยด น้ำเล็กๆ ร่วงหล่นลงดวงตาข้างหนึ่งพลันให้เราต้องลุกออกจากที่นอน ตืนได้ก็รีบวิ่งไปอาบน้ำล้างหน้าเเต่งตัว เพื่อไปเดินดูสายหมอกสีขาวปกคลุมไปทั่วรีสอร์ทแห่งนี้หนาวจับขั้วหัวใจค่ะ หมอกลงหนามากจนท้องฟ้าขาวโพลนไปทั่วทั้งหุบเขา อีกทั้งความหนาและหนักของสายหมอก ทำให้หมอกตกมาเป็นละอองเม็ดเล็กๆ จนพื้นทางเดินชื้นตามไปด้วย

                เพื่อนบอกว่าก่อนถึงที่พักของพวกเรามีทะเลหมอกสวยๆ ให้ชม ไม่รอช้าค่ะ พวกเราขับรถไปชมทะเลหมอกกัน สถานที่ชมทะเลหมอกอยู่ห่างจากที่พักประมาณ 5 กิโลเมตร โดยให้ขับรถย้อนกลับมาทางเพชรบูรณ์ แต่จุดที่ชมทะเลหมอกได้สวยที่สุดอยู่ตรงบริเวณอำเภอคะ ปุยหมอกขาวลอยล่องอยู่ในหุบเขาสลับซับซ้อนเป็นทัศนียภาพยามเช้าที่พาให้เพลินตาเพลินใจจ้องมองกี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยเบื่อ บวกกับอากาศที่หนาวเย็นเป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจจริงๆ ค่ะ

                  ชมทะเลหมอกกันจนอิ่มอกอิ่มใจแล้ว สถานที่ต่อไปของพวกเราคือวัดผาซ่อนแก้วค่ะ วัดนี้โดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมและเจดีย์ที่ถูกตกแต่งประดับประดาไปด้วย กระเบื้องและเครื่องเบญจรงค์ค่าจอดรถราคา 30 บาทค่ะ

           เที่ยวที่วัดผาซ่อนแก้วเสร็จ เรามุ่งหน้ากลับสู่จ.พิษณุโลก และแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน การเดินทางในครั้งนี้คงมีมากกว่าความสนุก แต่ทว่านี้คือความโหยหาความทรงจำครั้งเก่าของก๊วนเพื่อนเก่า ความสนุกความสุขจึงเกิดขึ้น และมันก้พิเศษมากกว่าปกติ เพราะเราต่างต้องทำงาน มีชีวิตในแบบของตนเอง ยากเหลือเกินที่จะมีเวลามาพบหน้ากัน โชคดีมากๆ ที่ฤดูหนาวของปีนี้ทำให้ทุกคนได้มาเจอกัน ดีใจที่ได้พบพวกคุณทุกๆ คนค่ะ

                                                               ....แล้วพบกันใหม่....