หากจะพูดถึงทะเลสวยๆ น้ำใสๆ เชื่อว่า "กระบี่" คงต้องเป็นจังหวัดหนึ่งที่อยู่ในลิสต์ของทุกคนแน่ๆ ซึ่งตัวฉันเองก็เช่นกัน แต่ทว่า การไปกระบี่ของฉันในครั้งแรก และครั้งนี้นั้น อยากจะหลบหลีกความวุ่นวายและการพักบนตัวกระบี่ ซึ่งจุดหมายปลายทางของฉันนั่นก็คือ ------>>> "เกาะลันตา"
: รูปแบบการเดินทาง :
- จองโปรหางแดงล่วงหน้า 1 ปี
- เป้าหมายคือ "เกาะลันตา"
- อยากเที่ยวทั้งบนกระบี่ และที่เกาะลันตา ขอดำน้ำสัก 1 ที่
- มีโอกาสได้ไปไปเดินงานท่องเที่ยวไทย และเหมือนมีพลังงานบางอย่างดึงดูดไปที่บูธหนึ่งของกระบี่ สุดท้าย เดินออกจากบูธตัวปลิว ได้แพคเกจ "ที่พัก 3 วัน 2 คืน + รถรับ/ส่งและพาเที่ยวบนกระบี่ + ดำน้ำเกาะรอก" (โปรแกรมเที่ยวเราจัดเอง และทางทัวร์ช่วยแนะนำจัดเรียงเพื่อให้เหมาะสมกับเวลา)
: โปรแกรมการท่องเที่ยว :
Day 1 (เที่ยวบนกระบี่ช่วงเช้า และข้ามไปเกาะลันตาช่วงบ่าย)
- ทานขนมจีนไก่ทอดร้านโกจ้อย
- น้ำตกร้อน
- สระมรกต
- ขึ้นแพขนานยนต์ไปเกาะลันตา
- เดินเที่ยวชุมชนเมืองเก่า Lanta Old Town บนเกาะลันตา
- เดินเที่ยวชมวิถีชาวเล บ้านสังกะอู้ บนเกาะลันตา
- อุทยานแห่งชาติเกาะลันตา (ประภาคาร) ........ไม่ได้ไป เพราะฝนตก ถนนลื่น ทางอันตราย
- เข้าที่พัก
Day 2 (ดำน้ำเกาะรอก)
- ดำน้ำเกาะรอก
- เล่นน้ำหน้าโรงแรม / เล่นน้ำสระว่ายน้ำ / นวด พักผ่อนตามอัธยาศัย
- ทานมื้อเย็นร้านลานตา ซีฟู้ด และเดินเล่นตลาดกลางคืน บนเกาะลันตา
Day 3 (กลับมาเที่ยวบนกระบี่ต่อ + เที่ยวเขาขนาบน้ำ และเกาะกลาง)
- ข้ามเรือกลับขึ้นฝั่งกระบี่
- วัดถ้ำเสือ
- วัดแก้วโกรวาราม
- ถ่ายรูปอนุสาวรีย์ปูดำ + นกอินทรีย์
- ขึ้นเรือไปเที่ยวเขาขนาบน้ำ + ทานกลางวันบ้านมะหญิง + นั่งรถสามล้อชมชุมชนเกาะกลาง
- กลับสู่กทม.
: ค่าใช้จ่ายหลักๆ โดยประมาณ :
- ค่าตั๋วเครื่องบิน (ขึ้นอยู่กับโปรแต่ละช่วง และแต่ละสายการบิน)
- แพคเกจที่พัก 3 วัน 2 คืน + ดำน้ำเกาะรอก 4,100 บาท / คน
- ค่ารถตู้รับ/ส่งสนามบิน พาเที่ยวบนกระบี่ ไปเกาะลันตา (รวมค่าข้ามแพขนานยนต์ + ค่าน้ำมัน + คนขับ) 4,400 บาท/คัน/ 2 วัน (วันไป/วันกลับ)
- ค่าเข้าน้ำตกร้อน 20 บาท/คน + ค่าจอดรถ 20 บาท/คัน
- ค่าเข้าสระมรกต 20 บาท/คน
- ค่าเข้าเขาขนาบน้ำ 30 บาท/คน
- ค่าเรือไปเที่ยวเขาขนาบน้ำ + ร้านอาหารบ้านมะหญิง + นั่งสามล้อชมเกาะกลาง 350 บาท/คน (เป็นแพคเกจของทางร้านอาหารบ้านมะหญิง โดยค่าอาหารจ่ายตามจริง)
*** ราคาแพคเกจ อาจมีการปรับเปลี่ยน ให้ตรวจสอบกับทางร้านอีกครั้ง ***
: กล้อง :
- samsung galaxy note 5
- sony a5100
- กล้องใต้น้ำ nikon coolpix aw100
-----------------------------------------------------------------
> Day 1 06:40 ทริปนี้เราเลือกใช้บริการหางแดง เครื่องออกจากสนามบินดอนเมือง ถึงกระบี่ 08:00 ตรงเวลาเป๊ะ
> เปิดทริป ลงเครื่อง ต้อนรับด้วยสายฝนโปรยปรายลงมาเบาๆ สอบถามกับคนพื้นที่กระบี่บอกว่าก่อนหน้านี้แดดเปรี้ยง เพิ่งจะมาตกวันที่น้องมานี่แหล่ะ......ง่ะ ซะงั้น อ้ะๆๆๆ คิดในแง่ดี จะได้ไม่ร้อน
> 08:00 ลงเครื่องปุ๊บ พี่บังคนขับรถที่เราติดต่อจองไว้ในแพคเกจ ก็โทรมาทันที แหม พี่บังนี่รู้เวลาดีจริงๆ รีบเอากระเป๋าขึ้นรถ ยกพลขึ้นบกเรียบร้อย> 08:20 พี่บังก็พาเรามาอัดพลังกันก่อนที่ร้าน "โกจ้อย" มีขนมจีนเส้นสดที่ทำกันสดๆ หลังร้าน พร้อมน้ำพริก น้ำยา แกง หลากหลายชนิดให้เลือก นอกจากนี้ยังมีไก่ทอด และสารพัดทุกส่วนของไก่ที่นำมาทอดกรอบๆ พร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ หรือถ้าใครสนใจห่อหมกที่นี่เค้าก็อร่อยไม่แพ้กัน
> ขนมจีนเสริฟมาเป็นชุดพร้อมน้ำยาหลากหลาย หรือใครจะสั่งแบบราดน้ำยาจานเดียวเลยก็ได้ พี่เค้าจัดให้ได้ > 09:40 เติมพลังกันเสร็จเรียบร้อย โปรแกรมแรกที่เราวางไว้ก็คือ "น้ำตกร้อน" อ.คลองท่อม > ค่าธรรมเนียมเข้าชมน้ำตกร้อน คนละ 20 บาท + ค่าจอดรถคันละ 20 บาท > ที่นี่เค้าจะมีรถกอล์ฟไว้บริการนักท่องเที่ยว (ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม) เพื่อเข้าไปยังน้ำตกร้อน หรือใครใคร่อยากจะเดินชมบรรยากาศระหว่างทางเองก็ได้ > ต้นน้ำตกร้อนจริงๆ จะอยู่สุดทางข้างใน แต่ระหว่างทางก็จะมีบ่อน้ำร้อนให้นักท่องเที่ยวได้แวะลงแช่เป็นระยะเหมือนกัน > ออนเซ็นเมืองไทย ไม่แพ้ที่ใดในโลก> ด้วยบรรยากาศชุ่มฉ่ำแบบนี้ ลงแช่น้ำที่อุณหภูมิกำลังดี แหม มันฟินดีจริงๆ
> น้ำตกร้อน...ที่กระบี่ ฟังเสียงน้ำตก...ผ่อนคลายในลำธารร้อน > 10:45 เรามาต่อกันที่จุดที่สองของโปรแกรม นั่นก็คือ "สระมรกต" ซึ่งระยะทางอยู่ไม่ห่างกันมากจากน้ำตกร้อน > ค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท > ทางเดินเข้าประมาณ 800 เมตร ที่จริงแล้วฝนตกก็ดีนะ อากาศชุ่มช่ำ ชมป่าดิบชื้นสองข้างทางไปเรื่อยๆ ทำให้ลืมเหนื่อยไปโดยปริยาย > ภายในมีป้ายแสดงเส้นทางเดินไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆ > เมื่อเริ่มเข้าสู่สระมรกต จะมีทางเดินสะพานไม้สลับกันไป> ถึงแล้ววว สวยมากๆๆ จากที่เคยเห็นแต่ในภาพ ในเวป พอได้มาเห็นของจริง สวยสุดจะบรรยายจริงๆ > น้ำใสมากๆ สีเขียวมรกต โชคดีที่ตอนมาถึงกรุ๊ปทัวร์ยังไม่ลง ทำให้ได้เสพธรรมชาติได้เต็มสองตา> สักพักเราได้เดินไปยังอีกจุดสถานที่ท่องเที่ยว นั่นก็คือ "สระน้ำผุด" ทางเดินเป็นทางปูนสลับกับทางป่าดิบชื้น และด้วยช่วงที่ไปนั้นฝนตก เลยทำให้เฉอะแฉะพอประมาณเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเราซะหรอก > หอดูนก > ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์> ปลายทางคุ้มค่ากับการเดินทาง
> สระน้ำผุดเป็นต้นกำเนิดของสระมรกต และต้นน้ำไหลมาจากภูเขาหินปูน จึงทำให้มีสารแร่ธาตุมากมาย จึงไม่สามารถลงเล่นน้ำได้ > 13:15 สมควรแก่เวลาเราก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ท่าเรือบ้านหัวหิน เพื่อข้ามเรือแพขนานยนต์ มุ่งหน้าสู่เกาะลันตากันต่อ> ค่าข้ามเรือแพขนานยนต์ รถ 4 ล้อทุกประเภท 100 บาท/คัน + นักท่องเที่ยว 10 บาท/คน > 13:45 ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็ขึ้นฝั่งเกาะลันตาน้อย ยินดีต้อนรับสู่หมู่เกาะแห่งความสุขจ้าาาา > ตอนนี้มีการสร้างสะพานสิริลันตาเพื่อเชื่อมระหว่างเกาะลันตาน้อย กับ เกาะลันตาใหญ่ การเดินทางไปเกาะลันตาใหญ่จึงสะดวกขึ้น> 14:20 โปรแกรมเป้าหมายจุดที่สามของเราก็คือ "ชุมชนเมืองเก่าเกาะลันตา (Lanta Old Town)" มีร้านอาหาร ร้านค้า ร้านของที่ระลึก รองรับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนทั้งสองข้างทาง ผสมผสานความเป็นเมืองเก่าและความเป็นปัจจุบันได้อย่างเหมาะสมและลงตัว> ที่ชุมชมเมืองเก่านี้จะมีศาลพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เพื่อให้ได้สักการะกันด้วยค่ะ> บรรยากาศ> ร้านขายของแก่นักท่องเที่ยว มีให้เห็นอยู่ทั้งสองข้างทาง> ร้านขายเปลญวนนี้ตกแต่งร้านได้อย่างสวยงามสะดุดตาจริงๆ> 14:45 เราฝากท้องมื้อบ่ายไว้ที่ร้าน "Shine Talay" ร้านนี้เค้าขายอาหารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์ ซีฟู้ด ไทย > สำหรับมื้อนี้ขอเน้นไปที่อาหารอินเตอร์หน่อยละกัน (หิวจัด ซัดซะเกลี้ยง จนลืมถ่ายรูปจานอื่น) > 16:20 เมื่อซัดกันเต็มคราบเสร็จแล้ว โปรแกรมต่อไปของเราก็คือ "ชุมชมบ้านสังกะอู้" เพื่อชมวิถีชาวเลที่อาศัยและใช้ชีวิตอยู่ริมทะเล > การเดินชมบ้านเรือนชาวเล เราต้องจอดรถริมไหล่ทาง (หรือทางใครขี่มอเตอร์ไซต์ก็สามารถขับลงไปเลียบทะเลข้างล่างได้เลย)> บรรยากาศบ้านเรือน วิถีการดำรงชีวิตของชาวเล สังกะอู้> 17:20 เนื่องด้วยสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ฝนตก ถนนลื่น ทำให้เราจำเป็นต้องยกเลิกไปหนึ่งโปรแกรม นั่นคืออุทยานแห่งชาติเกาะลันตา เราจึงเข้าเช็คอินกันที่รีสอร์ทเลย และที่เราพักในครั้งนี้ก็คือ "นครา ลองบีช รีสอร์ท" หาดพระแอะ> บรรยากาศภายในห้องพักและรีสอร์ท > ห้องพักค่อนข้างเก่า เนื่องจากส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ แต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่พอรับได้> หน้าบ้านจะมีระเบียงและเก้าอี้หวายไว้ให้เพื่อนั่งชิวๆได้> ภายในรีสอร์ทบ้านพักจะถูกจัดวางแทรกตัวอยู่ในสวน มีต้นไม้ร่มรื่นดีมาก พื้นที่โรงแรมค่อนข้างกว้าง เงียบ สงบ เป็นส่วนตัวดีมาก> บริเวณห้องอาหาร นั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ เบาๆ ชมพระอาทิตย์ตกยามเย็น สุดฟินนนน> สระว่ายน้ำของรีสอร์ท สะอาด น่าเล่นมากๆ มีทั้งสระเด็ก และสระผู้ใหญ่> บริเวณหาดหน้ารีสอร์ท (หาดพระแอะ) หาดที่สวยที่สุดบนเกาะลันตา> นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาพักบนเกาะลันตา มักจะเป็นประเภทครอบครัว หรือต่างชาติวัยเกษียณ จะแตกต่างจากหาดอื่นๆ ที่กระบี่ หรือหาดอื่นๆ ที่จังหวัดอื่น ซึ่งจะเป็นวัยรุ่น หรือbackpacker ดังนั้น บนหาดพระแอะ เกาะลันตานี้จึงค่อนข้างเงียบ และสงบ เหมาะแก่การมาพักผ่อนจริงๆ
> เดินเลียบหาดมา จะมีร้านกึ่งผับอยู่บ้าง
> ยามเย็น> มื้อเย็นคืนแรก ขอฝากท้องไว้ที่รีสอร์ทละกัน> Day 2 วันนี้เรามีนัดไปดำน้ำที่เกาะรอกัน> 08:30 รถสองแถวมารับที่รีสอร์ทไปขึ้นเรือเพื่อไปดำน้ำ เป็นการ join trip
> เดินทางด้วยสปีดโบ้ท> 10:00 มาถึงเกาะรอกด้วยความปลอดภัย หลังจากที่นั่งสปีดโบ้ท กระแทกคลื่น ลม จนตับไตแทบเคลื่น
> ทางทัวร์จะวนเรือเข้ามาเพื่อนำของ อาหาร ต่างๆ ลงบนเกาะรอกก่อน ซึ่งหากใครจะไม่ไปดำน้ำ พี่เค้าก็จะให้ลงตอนนี้เลย เพราะพอเอาของลงเสร็จ ก็จะออกเรือไปดำน้ำตรงบริเวณเกาะใกล้ๆ นี้ก่อน > เมื่อดำน้ำเสร็จ เรือก็พาเราเข้าเกาะรอก เพื่อทานกลางวันและพักผ่อนเล่นน้ำตามอัธยาศัย > บนเกาะมีบริการให้นักท่องเที่ยวมากางเต้นท์กันได้ด้วย และมีจุดบริการขายอาหารไว้รองรับด้วย (แต่ห้องน้ำแอบสกปรกนิดนึง) > มี life guard คอยดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว > 13:10 ทางทัวร์ประกาศให้ขึ้นเรือ เพื่อจะแถมให้ไปดำน้ำที่เกาะห้าต่อ แต่ก็น่าเสียดาย ด้วยสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ทำให้ไม่สามารถลงดำน้ำได้ น้ำใสสวยมากๆๆ ถ้าดำได้ข้างใต้คงสวยน่าดู
> 15:15 กลับขึ้นฝั่ง รถที่มารับตอนเช้ามารอรับกลับเข้ารีสอร์ท พักผ่อน เล่นน้ำ นวด ให้สบาย เตรียมพร้อมไปลุยราตรีคืนนี้
> 18:30 เราให้ทางรีสอร์ทช่วยเรียกแท๊กซี่ให้เพื่อไปร้านอาหาร ซึ่งทางรีสอร์ท (รวมถึงหลายๆ รีวิว) แนะนำให้ไปทานร้านลานตา ซีฟู้ด การเดินทางบนเกาะลันตา ส่วนใหญ่จะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ หรือเรียกแท๊กซี่หน้าตาแบบนี้ โดยจะคิดค่าบริการเริ่มต้น 50 บาท/คน
> เมนูนี้แนะนำเลย อร่อยดี "หอยตลับต้มตะไคร้" > เมื่อเสร็จจากมื้อค่ำกันแล้ว เราก็ไปเดินย่อยกันต่อที่ตลาดคนเดิน ตอนแรกเข้าใจว่าจะเป็นตลาดนัดขายของเยอะๆ เหมือนตลาดทั่วไป แต่พอไปถึงเห็นมีแต่ร้านรถเข็นขายของกินประมาณสิบกว่าร้าน > Day 3 09:00 เราเช็คเอ้าท์จากรีสอร์ท เพื่อกลับเข้าฝั่งและเที่ยวบนกระบี่ต่อ แต่เกิดเหตุการณ์ทางพนักงานรีสอร์ทหยิบกระเป๋าแขกสลับไปผิด จึงทำให้ต้องเสียเวลาตามหาไปชั่วโมงนึง แต่สุดท้ายก็ประสานงานและตามหาจนเจอ > 11:20 เราก็มาถึง "วัดถ้ำเสือ" กัน> ที่วัดถ้ำเสือจะมีศูนย์วิปัสสนาสำหรับพุทธศาสนิกชนไว้ด้วย> ภายในบริเวณวัดถ้ำเสือ จะมีแต่ละจุดให้ได้เที่ยวชม มีทางขึ้นเขาเพื่อชมวิวทิวทัศน์ซึ่งต้องขึ้นบันไดไป 1,237 ขั้น (ใช้เวลาขึ้นลงประมาณ 2 ชม.) ด้วยเวลาและความชันของบันได เราจึงต้องขอผ่านไปก่อนในครั้งนี้> 13:00 เราก็มาต่อที่ "วัดแก้วโกรวาราม" > 13:25 ถ้ามากระบี่แล้วไม่ได้มาถ่ายรูปที่นี่ ก็ถือว่ามาไม่ถึงกระบี่สินะ "อนุสาวรีย์ปูดำ และนกอินทรีย์" > 13:40 ถ่ายรูปชมวิวเขาขนาบน้ำเสร็จแล้ว ขับรถต่อไปอีกนิดก็ถึงท่าเรือเพื่อไปลงเรือโทงล่องไปตามแม่น้ำ เพื่อเที่ยวบนเขาขนาบน้ำกัน > 13: 50 เรือก็พาเรามาถึงเขาขนาบน้ำ
> ค่าธรรมเนียม คนละ 30 บาท
> ดาราดังบนเขาขนาบน้ำ ที่นักท่องเที่ยว นักเดินทางทุกคนมาจะต้องเจอ และอดไม่ได้ที่จะต้องเก็บบันทึกภาพเค้าไว้ "เจ้าแมวกังฟู" > ระหว่างทางโปรดระวังเจ้าถิ่นพวกนี้ให้ดีๆ ชอบแอบอยู่บนต้นไม้ขย่มกิ่งไม้ หรือโรยเศษอาหารลงมา> ภายในถ้า มีหินงอก หินย้อย สวยงามมาก> มีรูปปั้นแสดงจำลองเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ให้เราได้เรียนรู้กัน > 14:35 เราออกจากเขาขนาบน้ำมา เพื่อล่องเรือลำเดิม (เหมาอยู่ในโปรแกรมแล้ว) ไปทานกลางวันที่ร้านอาหารบ้านมะหญิงกัน > มากระบี่ถ้าไม่ได้กินเมนูนี้ ก็ถือว่ามาไม่ถึงกระบี่เหมือนกันนะ "หอยชักตีน"> ทางร้านมีจับปลาปักเป้าโชว์ลูกค้าให้ดูชมด้วย พอเอามือลูบๆ ที่ท้องมันก็พองตัวแบบนี้ พ่นน้ำฟู่ๆๆ ออกปาก น่ารักจุง> ตบท้ายมื้ออาหารล้างปากด้วยผลไม้อภินันทนาการจากทางร้านจ้าา> 15:50 อิ่มท้องแล้ว เราก็ต้องไปย่อยกันด้วยโปรแกรมสุดท้ายของเราคือ "นั่งสามล้อชมชุมชนเกาะกลาง" (รวมอยู่ในโปรแกรมล่องเรือจากทางร้านแล้ว) > ชมทุ่งนาข้าวสังข์หยด ช่วงที่ไปนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว หากจะมาช่วงที่ข้าวยังออกรวงอยู่ อาจต้องเช็คช่วงฤดูอีกครั้ง > จุดต่อไปพี่เค้าพาเรามายัง OTOP ผลิตภัณฑ์ผ้าปาเต๊ะ ของชุมชนเพื่อชมวิธีการทำ การเพ้นท์ผ้าบาติก ผ้าปาเต๊ะ และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ> คุณพี่ขับสามล้อมาถึงจุดหนึ่งแล้วก็หยุด ให้เราได้เห็นวิวไกลๆ นั่นคือ เกาะแต่ละเกาะสามารถมองเห็นได้จากจุดนี้ > จุดต่อไปคือ OTOP กลุ่มเรือหัวโทงจำลอง
> พี่เค้ากำลังอธิบายประวัติและความเป็นมาของเรือหัวโทงให้เราได้ฟัง ซึ่งพี่เค้าแรงบันดาลใจมาจากคุณพ่อของเค้าเองที่เป็นผู้สร้างเรือหัวโทงลำแรกเพื่อใช้ในอดีตและได้เริ่มแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน> นอกจากนี้ในภาพ พี่เค้ากำลังสาธิตวิธีการจุดไฟจากภูมิปัญญาชาวบ้าน เพราะสมัยก่อนไม่มีไฟแช็ค> จุดต่อไป พี่เค้าพาเรามาที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มชาวนาบ้านเกาะกลาง เพื่อแนะนำและสาธิตการสีข้าวสังข์หยด> ที่นี่ใครอยากจะช่วยอุดหนุนผลิตภัณฑ์กลุ่มพี่ๆชาวนาก็ได้นะ ถุงละ 1 กก. ราคา 100 บาทเท่านั้น> และแล้วสามล้อก็มาหยุดส่งที่ร้านบ้านมะหญิงเพื่อส่งเราขึ้นเรือกลับเข้าฝั่ง สู่เมืองกรุง .......อันวุ่นวาย
: When you feel down, just wake up and bring yourself to the simply way :
- The Wanderer Myself -