PaiNaiDee ทริปฉุกเฉิน 300 ยอด
"พี่มีข่าวดีมาบอกน้อง" ฟังเหมือนข่าวดี แต่ดูไม่ค่อยดีอย่างไรไม่รู้ เมื่อตามด้วย "งานวันเสาร์อาทิตย์ ขอเลื่อนไปเป็นช่วงปลายเดือนนะ และจากเดิมสองวัน ลดเหลือหนึ่งวัน น้องจะได้เที่ยวต่อไง"
"ครับ" คือคำพูดที่ผมพูดได้ตอนนี้ ตามจริงงานนัดเดือนที่แล้วแต่เนื่องจากเหตุการณ์การเมือง เลยขอเลื่อนมาเป็นเดือนนี้ ซึ่งตรงกับงานอื่นที่รับไว้ เลื่อนได้ ก็เลื่อน แต่ส่วนใหญ่เลื่อนไม่ได้ ก็ต้องหาคนแทน แต่มาเจออย่างนี้ พูดได้คำเดียวคือ "จุก" ครับ
งานไม่มีนั้นก็คือปัญหา แต่สิ่งที่มีปัญหาคือ อุตสาห์ไปโม้ใครต่อใครว่าเสาร์อาทิตย์นี้ไม่อยู่ มีงานไปต่างจังหวัด
"แม่ต้องแซวแน่ๆ" ผมคิด "วันนี้ ฝนตกลูกอยู่บ้าน" คำพูดของแม่แวป ขึ้นบนหัว ต้องหาเรื่องไปที่ไหนดี วันนี้วันพฤหัส ยังมีโอกาส อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ไม่ไกลเท่าไรนัก หาที่พักก่อน .... บ้านน้ามาลัย ห้องพักขวัญใจชาวเน็ต ลองโทรไป ป้าบอกว่า มีว่างอยู่สองห้อง 800 และ 1,400 บาท ทายซิครับ ผมเลือกราคาเท่าไร......ถูกต้องครับ ราคาที่เหมาะสมกับฐานอย่างผมคือ 800 บาท ว่าแล้วรีบโอนเงินไปจองก่อนที่ป้าจะเปลี่ยนใจ...ไชโย ไชโย ได้เที่ยวแล้ว
เช้าวันเสาร์ ผมหอบงานไปทำใส่ท้ายรถ ดูเหมือนกิจกรรมจะเยอะไหมเนี่ย แน่นอน เป้ใส่อุปกรณ์กล้องถ่ายรูปหนัก..มาก 15 กิโล โน๊ตบุ๊ค และตำราอีกสามเล่ม หนึ่งกระเป๋า ไอเพด เอาไว้แชร์สาธารณะให้ชาวบ้านอิจฉาเล่นๆ
จักรยานเอาติดไป ได้ข่าวว่าสามร้อยยอด มีทางจักรยานโดยเฉพาะ จากงานเล็กๆ กลายเป็นงานช้างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างยัดเข้าไปในรถ โชคดี ที่ยังเหลือที่นั่งคนขับ
ตั้งใจว่าออกแต่เช้า แต่แม่ให้พาไปงานบวช ก็เลยต้องพาแม่ไป แม่บ่นอุ๊บว่า "จะให้ฉันนั่งตรงไหน" ก็เลยต้องเอาของที่ใส่ไปออกมากองไว้ แล้ว ก็พาแม่ไปงานบวช ผมไม่ได้ไปงานบวชนานแล้ว
พึ่งรู้ว่าเดียวนี้ งานบวชต้องดนตรีนำ โดยเฉพาะวงพิณ แถมมีนักร้องนำด้วยนะ เพลงแต่ละเพลงวัยรุ่นทั้งนั้น ไปถึงวัดยืน งง มาถูกงานหรือป่าว
กว่าจะเสร็จจากงานบวช ส่งแม่กลับบ้าน กว่าเอาของใส่รถเสร็จ ฤกษ์เดินทางก็เกือบบ่ายสองโมง ไม่รีบร้อนขับรถไปเรื่อยๆ 5 โมงเย็นถึงที่พัก บ้านน้ามาลัย แต่ขอบอกว่า แผนที่ง่ายมาก แต่หายากเหมือนกัน ผมขับรถเลียบหาด มาจนถึงถนนหักโค้ง GPS บอกว่าถึงแล้ว แต่ตรงนี้ มันมุมถนน เย็นแล้วบ้านป้าอยู่ที่ไหน เดียวหาที่จอดรถก่อน
เจอร่มไม้ด้านหน้า กำลังจะควักโทรศัพท์ออกมาโทร อ้าว ฝั่งขวามือคือบ้านน้ามาลัยนี้เอง ผมแจ้งน้ามาลัย ซึ่งตอนนี้ กำลังสาระวิงในการทำอาหารอยู่ ผมเลยฝากท้องมือเย็นกับน้ามาลัย ดูซิเขาสั่งป้าทำอะไร ผมเอาด้วยชุดหนึ่ง
ผมถามน้าว่าห้องผมอยู่ที่ไหน น้าชี้ว่ากระท่อมตรงโน้น แล้วกุญแจหละน้า น้าาบอกว่าห้องไม่ได้ล๊อก เพราะคนมาพักงวดที่แล้วไม่ได้คืนกุญแจน้า แกบอกว่าของไม่หายหรอก แค่เอาแม่กุญแจคล้องก็พอแล้ว....
ผมเดินสำรวจที่พัก มีห้องเดิมอาคารไม้ 3-4 หลัง และอาคารปูนสร้างเพิ่ม 4-5 ห้อง มีสระว่ายน้ำด้วยนะ สังเกตุดูรั้วด้านข้างไม่ได้ปิดไว้ ทราบว่า น้าแกกำลังซื้อที่ขยายออกไป... ตอนแรกตั้งใจจะเดินเที่ยว เอาเป็นว่าวันนี้ขับรถเพลีย ขอนอนก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเที่ยวแล้วกัน เพราะของผมเยอะ ถ้าออกไปเที่ยวก็ต้องเก็บของเลย
กระท่อมคือที่พักที่น้ามาลัยเรียก แต่ผมว่ามันดูดีกว่ากระท่อม
ห้องน้ำเปิดโปร่ง open air ดี แต่ไม่ดีตรงที่ พอดึกๆ ยุงเข้านะซิ ทำให้คืนนี้ต้องนอนจนเช้าแล้วค่อยเข้าห้องน้ำ ไม่ไหวครับ เดียวก้นลาย
เมื่อคืนหลับเต็มที่ ผมตื่นตอนตี 5 ครึ่ง เพื่อออกไปเก็บแสงอาทิตย์ขึ้น อุปกรณ์ทั้งหมดก็อยู่ในรถ ผมคืนห้องน้ามาลัยแต่เช้า ผมถามน้าว่าค่าอาหารเมื่อคืนเท่าไร น้าบอกว่า 760 บาท โอ้ย ดีใจเหลือเกิ้น หนึ่งพันยังเหลือถอน น้ามาลัยถาม ไม่กินมื้อเช้าอีกเหรอค่ะ สเต็กอร่อยนะ จะได้ไม่ต้องทอน ....แว๊ก ผมอุทานในใจ ก่อนขอตัวน้า ลาไปเที่ยวต่อ
ผมเก็บภาพแสงอาทิตย์ยามเช้าตามชายหาด เงียบสงบดี ผมชอบที่นี้นะ เงียบสงบดี ผมขี่จักรยานตามชายหาด เก็บภาพทะเลอย่างจุใจ เสียดายน้ำทะเลที่นี้ ไม่ค่อยน่าเล่นเท่าไรนัก แต่ไม่เป็นไรแค่เขาจุ่มน้ำก็สบายใจแล้ว
เจอชาวประมงกำลังตากปลา กุ้งอยู่ เลยขอเข้าไปถ่ายรุป
ผมจำได้ว่าได้คุยกับอาจารย์มะอึก แกบอกว่า ถ้ำพระยานครแสงจะสวยเวลา 10.30-11.00 อย่างนั้นมีเวลาวันนี้ ไปเที่ยวถ้ำดีกว่า ผมมาที่นี้หลายครั้ง ไม่เคยไปเที่ยวที่นี้เลย ว่าแล้วขับรถไปถ้ำพระยานคร
9 โมงเช้า ถึงที่จอดรถหาดบางปู ผมหอบเป้กระเป๋ากล้องใบใหญ่ลง กลัวโน๊ตบุ๊คหาย ก็ยัดเข้าไปในเป้เพิ่ม ตอนนี้ น้ำหนัก 15 กิโล กลายเป็นหนักเกิน 15 กิโลไปเรียบร้อยแล้ว ผมเดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่ไปถ้ำพระยานคร เจ้าหน้าที่ชี้ทางเดินด้านหลังขึ้นเขาไป ผมเข้าใจว่าขึ้นไปแล้วเจอถ้ำเลยหรือป่าว เจ้าหน้าที่บอกว่า ทางเดินนี้แค่ไปถึงที่ทำการอุทยาน
อ้าวนึกว่าขึ้นบันไดแล้วถึงถ้ำเลย ผิดแผนเสียแล้วนึกโทษตัวเองที่ไม่ได้ทำการบ้านสำรวจเส้นทางมาก่อน ....ตอนนี้ ผมเริ่ม ยืน งง ว่าจะไปดีไหม
เจ้าหน้าที่เห็นผมลังเล เลยบอกว่า ไหนๆก็มาแล้วก็ไปเที่ยวเถอะ ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน 40 บาท
"จ่ายไปก่อนแล้วกัน ได้เที่ยวหรือป่าวก็ไม่รู้" ผมคิด
"คุณไปทางเรือ จะสะดวกกว่า" เจ้าหน้าที่เห็นกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ผมลากมา ว่าแล้วก็ชี้ทางให้ผมติดต่อคนเรือ
ต้องลงเรือ ตอนนี้น้ำลง ต้องเดินลุยขี้โคลนแน่ๆ โชคดีผมมีรองเท้าสกอล์ แบบรัดส้นติดมาท้ายรถ อย่างนี้ค่อยทะมัดทะแมงหน่อย
"ไปคนเดียวเท่าไร" ผมถามคนเรือ "ถ้าเหมายกลำ 400 บาท แต่ถ้าไปกับคนอื่น 200 บาท" ทายซิ ผมเลือกไปราคาไหน .....แน่นอนฐานะอย่างเรา 200 ดูสมเหตุสมผล
ผมเดินแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่เดินไปขึ้นเรือ ที่จอดรอในทะเล นั่งเรือแป๊บเดียวก็ถึงชายหาดถ้ำพระยานคร เรือเข้าหาดไม่ได้ต้องเดินลุยน้ำลงไปก็ไม่ลึกมากนัก โชคดีที่ผมวางแผนไว้ดี ใส่กางเกงขาสั้นและรองเท้าสกอล์รัดส้นอย่างดี ได้ยินคนเรือเล่าให้ฟังว่า เมื่อวานแบกฝรั่งหลงจากถ้ำเนื่องจาก อากาศร้อนมาก ฝรั่งเป็นลม แถมตัวใหญ่อีก เดือดร้อนคนเรือ ต้องมาช่วยกันยกฝรั่งไปปฐมพยาบาลด้านล่าง
มันชักเริ่มหวั่นๆ ใจ อย่างไรก็ไม่รู้ จะเป็นลมแบบฝรั่งไหม ความรู้สึกบอกว่า รองเท้ามันเริ่ม นืดๆชอบกล พอขึ้นมาหาดได้ รองเท้าเท้าขวาแยกร่างเป็นชิ้นๆ สงสัยกาวยึดรองเท้าหมดอายุซะแล้ว เอารองเท้าไปวางซุกไว้ที่โคนต้นไม้ กลับมาเอากลับไปซ่อมใหม่
ผมเดินเท้าเปล่าขึ้นหาดทราย แถมซู๊ดปาก ทรายร้อนมากๆ ผ่านที่ทำการอุทยาน ก็เจอ“บ่อพระยานคร” อ่านประวัติศาสตร์ ทราบว่าถ้ำพระยานคร” ถูกค้นพบโดยเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เมื่อครั้งที่เดินทางโดยทางเรือมุ่งหน้าขึ้นมาสู่กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งได้นำเรือเข้ามาจอดพักหลบพายุในแถบนี้และสำรวจพบถ้ำที่อยู่ด้านบน ถ้ำนี้จึงได้ชื่อว่า “ถ้ำพระยานคร” และในคราเดียวกันนั้นเอง ก็ได้ขุดบ่อน้ำไว้ใช้ดื่มกิน เรียกว่า “บ่อพระยานคร”
เดินเลยไปสักพัก ปากทางขึ้น เจอผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บริเวณป้าย ผมทักทายถามว่าจะขึ้นไปไหม จะได้ด้วยกัน แกบอกว่าไม่ไป กลัวขึ้นไม่ไหว ผมเริ่มเดินขึ้น ระยะแรก ก็สบายๆ
แต่เริ่มสังเกตุว่า แดดเริ่มร้อน หินบริเวณทางเดิน เป็นก้อน แหลมมนแต่ไม่คม แต่ถ้ากระแทกแรงๆ ห้อเลือดเหมือนกัน ช่วงเช้าทางเดินจะรับแดดได้โดยตรง ผมเดินไปต้องหาร่มไม้พักเท้าไปตลอดทาง หินร้อนมากๆ
ตอนนี้ปัญหาอีกอย่างเริ่มตามมา คือ กระเป๋าเป้ 15 กิโล ดูเหมือนมันจะหนักเกือบ 30 กิโลได้แล้ว เรียกว่าเดินไป หอบไป เดินได้ครึ่งทางนึกได้ เรายังไม่ได้กินข้าวเช้า....เป็นลมดีกว่า..
ถึงจุดนั่งพักชมวิวกลางทาง เท้าเริ่มผอง มีรอยคล้ายตาปลาขึ้นที่นิ้วเท้า จับดูเริ่มเป็นตุ่มใสๆ แข็งใจเดินต่อ กว่าจะถึงปากถ้ำ ระยะทาง 430 เมตร ใช้เวลารวมทดเวลาบาดเจ็บเกือบครึ่งชั่วโมง
ชีวิตเริ่มไม่ได้ขึ้นอย่างเดียว เริ่มมีขาลงแต่ปัญหาคือ ขาลงน่ากลัวกว่าขาขึ้น เพราะทั้งน้ำหนักตัวและน้ำหนักสัมภาระรวมกันลงมาที่เท้าเปล่าเปลื่อย ก้อนหินบริเวณทางเดินก็เหมือนเดิม จึงเสียเวลาตอนลงถ้ำ ก่อนถึงทางลงมีหินงอกหินย้อยที่ผนังถ้ำซึ่งดูราวกับธารน้ำตก
เมื่อมองไปยังด้านบนปล่องถ้ำจะเห็นว่ามีลักษณะแผ่นหินเชื่อมติดกันคล้ายกับสะพาน ซึ่งจุดนี้เรียกว่า "สะพานมรณะ" นั้นซิ ใครกล้าไปเดินบ้าง น่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่ผนังด้านบนยุบตัวลงมา
“ถ้ำพระยานคร”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ก็ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จประพาสถ้ำ ในคราวเดียวกับที่เสด็จประพาสแหลมมลายู โดยได้เสด็จมาประพาสถ้ำพระยานครเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2433 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์ ทรงออกแบบสร้างพลับพลาจตุรมุข กว้าง 2.55 เมตร ยาว 8 เมตร สูง 2.55 เมตร โดยสร้างขึ้นที่กรุงเทพฯ แล้วส่งมาประกอบทีหลัง โดยให้พระยาชลยุทธโยธินเป็นนายงานก่อสร้าง และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมายกช่อฟ้าด้วยพระองค์เอง และพระราชทานชื่อว่า “พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์" พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ยังถูกนำมาเป็นตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์อีกด้วย
10.15 ผมเดินหาทำเลถ่ายรูปรอบๆ พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ บริเวณพื้นทางเดินใกล้พระที่นั่ง เป็นปุ่มหินขนาดเล็กใหญ่สลับกันไปคล้ายกับปุ่มหลังของจระเข้ จึงมีชื่อเรียกว่า "ทางสันจระเข้" เขาบอกว่าให้เดินนวดฝาเท้า แก้เมื่อยได้ ว่าแล้วก็เดินไปเจ็บไปเพราะเท้าเราก็เริ่มระบมพอสมควร
ใกล้เวลา 10.30 แดดเริ่มจะทะแยงแล้ว เรายืนรอมุมที่ต้องการ ตอนนี้ เริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาสมทบหลายคน จนกระทั้งถึงเวลานาทีทองห้ามกระพริบตา 10.30-11.00 ปรากฏว่า
แสงมาไม่ถึง ได้แต่เงาสะท้อนของผนังถ้ำแทน โอ้ยๆๆๆ จะบ้าตาย ผมนั่งรอลุ้นจนเที่ยง สงสัยจะไม่ได้ลำแสงแล้ว เลยเปลี่ยนใจไปเก็บภาพรอบๆ พระที่นั่งแทน
นอกจากรัชกาลที่ 5 ได้เคยเสด็จประพาสถ้ำพระยานครมาแล้ว ยังมีพระมหากษัตริย์อีกสองพระองค์ได้เสด็จประพาสถ้ำพระยานคร เช่นกัน นั่นคือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยย่อ ป.ป.ร. เมื่อครั้งเสด็จประพาสถ้ำนี้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2469 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เคยเสด็จประพาสถ้ำพระยานครสองครั้ง เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2501 และวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2524
บริเวณโดยรอบถ้ำยังมีความสวยงามเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหาดแหลมศาลาซึ่งเป็นพื้นที่ต่อเนื่องระหว่างภูมิประเทศเขาหินปูนและชายฝั่งทะเล มีลักษณะเป็นภูเขาล้อมรอบ 3 ด้าน ด้านหน้าเป็นท้องทะเลอ่าวไทยที่งดงาม โดยหาดแหลมศาลายังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทาง 900 เมตร มีความน่าสนใจของธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้งภูมิประเทศเขาหินปูน ภูมิประเทศชายฝั่งทะเล และพืชพรรณเฉพาะบริเวณเขาหินปูน เช่น ปรงเขา จันผา สลัดได เป็นต้น
เที่ยงครึ่งแล้ว ท้องผมเริ่มร้องสงสัยไม่ได้ลำแสงแห้วซะแล้ว ว่าแล้วเก็บของกลับดีกว่า ไม่อยากบ้านดึกเกินไปนัก เพราะพรุ่งนี้ ต้องทำงาน ขามาว่าลำบากแล้ว แต่ขากลับยิ่งลำบากน่าดู เพราะช่วงลงและก็ลงอย่างเดียว เท้าเปล่าๆ อีก หินร้อนอีก ขาลงในเวลา 15 นาที สุดยอด เท้าแทบพัง
ผมออกจากหาดบางปู ไปหาร้านอาหารกิน จริงๆแล้วที่หาดบางปูก็มีร้านอาหารเยอะ แต่ขอไปลองร้านบริเวณปากทางเข้าสามร้อยยอด เจอแล้วร้านยกซด อร่อยไม่ธรรมดา เวลาสั่งอาหารเวลาหิว เราจะสั่งมาเยอะมาก บ้างครั้งเยอะจนต้องห่อกลับไปกินที่บ้านแทน พอเช็คบิล แทบตกใจ ทำไม ราคาถูกกว่าอาหารบ้านน้ามาลัยอีก
อย่าคิดมากเลย กลับบ้านดีกว่า...
ปล.ทริปนี้ผมกลับมาปวดหน้าอกด้านขวามือ จะเสี้ยวแป๊บเวลาหายใจ ไปหาหมอทราบว่าเป็นผลจากการแบกสัมภาระหนักเกินไป กล้ามเนื้อด้านหลังอับเสบ แต่มาปวดหน้า...พักยาวเลยครับ
การเดินทาง
การเดินทางสู่ตัวถ้ำสามารถเดินทางได้ 2 แบบ คือ การเดินเท้าขึ้นและข้ามเขาเทียนไปประมาณ 500 เมตร หรือจะไปทางเรือ โดยขึ้นเรือที่หาดบางปูนั่งอ้อมเขาไปประมาณ 10 นาที ส่วนช่วงที่สองนั้นต้องเดินขึ้นเขาในระยะทาง 430 เมตร