ทริปผจญภัยที่ลำคลองงู

ทริปลำคลองงู ตั้งใจอยากจะลองไปซักครั้งตอนที่ร่างกายยังแข็งแรง ไปก็ไม่ผิดหวังเลยซักนิด ตั้งแต่ทางเข้าที่ฉวัดเฉวียน ชวนอวก คนอื่นอาจจะนอนไม่หลับ แต่สำหรับฉันหลับ รู้ตัวอีกทีตอนถึงที่พัก เดินทางถึงน่าจะตีสาม เต้นท์กางไว้แล้ว หัวถึงหมอนก็หลับต่อเลย เช้านัดหกโมงครึ่งรับประทานอาหาร อาหารเช้าวันแรกเป็นข้าวผัดกับไข่ดาว เสียเวลาไปกับติดขาให้กับกล้องโกโปร สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ แถมที่ติดยังหักอีกต่างหาก พี่ต๊ะบอกไม่เป็นไรใช้เชือกผูกเอา แล้วก็เชือกสีขาวมัดกล้องเข้ากับแขนข้างขวา เวลาเดินก็ปล่อยกล้องห้อยต่องแต่งไป วันแรกนั่งรถกระบะยังต้นทางไปที่ถ้ำเสาหินก่อน การเดินตั้งแต่เริ่มก็เห็นเป็นป่าไผ่แห้งๆ ดอกร่วงโรยเต็มพื้น แดดไม่แรง มีเมฆบังแต่อากาศร้อนอบอ้าว ยิ่งเดินทางยิ่งชันขึ้นเรื่อยๆ พ้นป่าไผ่ก็พบกับทางเดินที่มีแต่หินแหลมคมและทางชัน ต้องระมัดวังในการเดินอย่างมาก เจ้าหน้าที่อาสาเอากระเป๋ากล้องไปถือ เขาให้ใส่เสื้อชูชีพไว้ ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าว ก็ถอดเสื้อชูชีพออกอีก ไกด์ก็เอาไปถือให้ เดินตัวเปล่าเลยคราวนี้ ถึงกระนั้นไกด์ก็คอยยืนมือมารับตอนเดินผ่านจุดที่เป็นอันตราย รู้สึกเป็นคุณหนูก็ทริปนี้ เดินทางถึงนำ้ตกพักกันชั่วคราว บางก็โดดน้ำ เห็นเขาโดดกับเขาบ้าง สนุกดีเหมือนกัน ยังมันยังไม่ใช่แค่นั้น เราทิ้งกล้องไว้ปากถ้ำแล้วเดินทางเข้าถ้ำ ถ้ำที่เข้าไปเป็นถ้าที่ค้างคาวอาศัยอยู่ ขี้ค้างคาวก็เต็มตามหิน ส่องไฟขึ้นเพดานถ้ำก็เห็นค้างคาวเป็นฝูงดำอยู่ข้างบน ไม่ต้องถามถึงเรื่องกลิ่นขึ้ค้างคาวมีแน่นอน แต่กลิ่นพอทนได้ แต่ลายเห็นที่ถูกน้ำเซาะนั้นสวยงามมาก โค้งมน เป็นเกลียวเป็นศิลปะที่งดงามมาก การเดินทางเข้าไปในถ้ำ บางจุดก็ต้องเดินบนหินทางแคบๆ บางจุดก็ต้องว่ายน้ำไป บางจุดต้องเกาะผนังถ้ำไป บางจุดไกด์จะต้องว่ายน้ำฝ่ากระแสน้ำไป เพื่อไปผูกเชือกให้เราเกาะเชือกไป ทริปนี้เป็นเหาฉลามเกาะหลังไกด์บ้าง เพื่อนร่วมทริปบ้าง ไกด์ถามว่าใครว่ายน้ำไม่เป็นบ้างก็ยกมือแล้วไปกับไกด์ แล้วก็นำขบวนในการเดินทางครั้งนี้ เพราะอยู่หลังไกด์ตลอด เมื่อถึงเสาหินต้องใช้ไฟหลายๆดวงส่องถึงจะเห็นว่าเสานั้นใหญ่และสูงมาก และมีรูปร่างสวยงามมาก แต่มันมีแมลงบินอยู่หน้าเราเพราะแมลงบินมาแล่นไฟบนหัว ขากลับเราต้องสวนกับคณะอื่นที่มาดูเหมือนกัน ต้องคอยหลีกทางและให้เขาสวนเข้าไปก่อน ถ้าได้ที่แล้วยืนหรือนั่งให้ดีๆ ถ้าเดินไปมาอาจลื่นได้ เพราะเท้าเราเปียกบวกกับหินที่ลื่นด้วย ที่สำคัญเราควรปฏิบัติตามคำสั่งไกด์หรือเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เมือออกมาถึงปากถ้ำ ก็จะเจอจุดกระโดดน้ำ หรือใครจะเดินกลับทางเดิมก็ได้ มาแล้วมีอะไรให้ทำก็ต้องลอง จุดนี้สูงกว่าจุดแรกที่โดด ตอนโดดก็กล้ากลัวๆ แต่มีคนนำหน้าไปก่อนแล้วก็กล้าที่จะโดดตาม โดดลงมาแล้วถ้าไหลไม่ตามที่ไกด์บอก ไกด์ก็กระโดดลงมาลากเข้าที่ แล้วก็ขึ้นฝั่งไปกินข้าวข้างน้ำตก เมือนี้กระเพราหมูกับไข่ต้ม นั่งกินเอาเท้าแช่นำ้เย็นๆ นั่งตากแดดให้ตัวแห้งหน่อย อิ่มแล้วก็กระโดดอีกซักรอบ แล้วค่อยไปเดินถ่ายรูป จุดถ่ายนำ้ตกห่างไปนิดหนึ่ง ขากลับลังเลว่าจะเดินกลับทางไหน เหยียบไปบนกองใบไม้แห้ง ขาร่วงไปในโพลง คราวนี้ตัดสินใจได้แล้วว่าควรกลับทางเดิม ขากลับจ่าเอากระเป๋ากล้องไปถือให้ เสื้อชูชีพเจ้าหน้าที่เอาถือให้ ระหว่างทางที่เป็นหินก็ปีนขึ้นไปแล้วไม่ใช่ทางที่ไปต่อได้ก็ต้องเดินถอยกลับมาเดินใหม่ช่วงนี้มีต้นไม้คลุมไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ พอถึงช่วงป่าไผ่อากาศมันร้อนอบอ้าว ไม่มีพัดให้กินน้ำบ่อยๆ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย เดินเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่บอกให้พักบ้าง แต่เราก็พักได้แค่แป๊บเดียว เพราะมันร้อน ต้องเดินให้มันมีลมผ่านตัว บางจุดที่หยุดพัก เจ้าหน้าที่ใช้ชูชีพพัดให้ ถามว่าที่พัดให้นี้เห็นหน้าหนูซีดเหมือนจะเป็นลมใช่ไหม เขาบอกว่าใช่ เลยบอกไปว่าหน้าซีดอย่างนี้อยู่แล้ว ยังไหวอยู่ แล้วก็เดินต่อ ใกล้จะถึงน้ำจะหมดขวดอยู่แล้วเหลือนิดเดียว จ่าเดินลงมาพร้อมกับน้ำแดงหวานชื่นใจ ดีขึ้นเยอะแล้วเราก็ถึงรถ แล้วเราก็กลับที่พักก่อน บางส่วนยังรอเพื่อนที่ยังมาไม่ถึง  อาบนำ้ แล้วก็ไปหลับเปลคนขับรถที่ผูกไว้ใต้ต้นไว้ เป็นการหลับที่สบายมากๆ ตื่นมาอีกทีตอนที่ลมพัดแรงๆ ฝนกำลังจะตก ตื่นมาด้วยความตกใจทำอะไรไม่ถูกวิ่งหอบหมอนมาเก็บที่เต้นท์ แล้วเดินไปที่ราวตากผ้าว่าจะเก็บผ้าแล้วก็ไม่เก็บ ทิ้งไว้ตากฝนอย่างนั้นแหละ แล้วก็เข้าครัวไปช่วยปอกแอบเปิล เมื่อนี้จ่าทำสเต็กหมู ด้วยสเต็กชิ้นใหญ่กินไปสักพักมันจะเลี่ยน แก้ด้วยน้ำจิ้มแจ๋ว มื้อนั้นจึงกลายเป็น สเต็กจิ้มแจ่ว อร่อยเกลี้ยงจาน ยามค่ำคืนก็เกิดวงสนทนาขึ้นต่างคนต่างถามไถ่ชือ เล่าประสบการณ์การเดินทางของแต่ละคนและเหตุการณ์ในวันนี้ คอเดียวกันคุยกันสนุกสนาน จนไม่อยากจะนอนกันเลยทีเดียว แต่ฉันขอตัวไปนอนตอนสามทุ่มนั่งกินกับแกล้มไม่ไหวแล้ว ทั้งแหนมทอด กระเพราเนื้อ บะหมี่ต้มร่วมสาบาน สุกี้จากเพื่อนอีกกลุ่มที่มาทำอาหารข้างๆเรา เราแลกเปลี่ยนอาหารกัน เหมือนมาคราวนี้เพื่อนๆจะเจอเพื่อนที่รู้จักที่มากับกลุ่มอืนเยอะ เหมือนรู้สึกว่าโลกมันแคบอย่างเขาว่าจริงๆหรือคนที่ชอบเทียวแนวนี้ก็แทบจะรู้จักกันหมด หลับตื่นมากลางดึกมาเข้าห้องน้ำ รู้สึกดีไม่ต้องแย่งหรือว่ารอต่อใคร เงียบสงัด แต่ไม่วังเวง สถานที่กางเต้นท์เรามีห้องส้วมสองห้อง ห้องอาบน้ำสองห้อง ค่อนข้างแย่งกันใช้ ความจริงมีอีกแปดห้องแต่อยู่ไกลจากที่กางเต้นท์ เช้าวันอาทิตย์กินอาหารมื้อเช้า แล้วนั่งรถกระบะเดินทางไปถ้ำนกนางแอ่น การเดินทางวันนี้สบายกว่าเมื่อวาน เดินผ่านป่าไผ่ อากาศร้อน ทางชัน แต่วันนี้ไม่มีใครบ่นเลย มีแต่เสียงหัวเราะตลอดการเดินทาง เดินไปหยุดถ่ายรูปไป เหมือนเป็นเพื่อนกันมานานแล้วพึ่งเจอกันถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อย แต่ความจริงแล้วเราพึ่งรู้จักกันเมื่อวาน ตอนนั่งรถมายังไม่รู้เลยว่าใครนั่งข้างๆ แค่ช่วงเวลารับประทานอาหารทำให้ทุกคนรู้จักและสนิทกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อถึงปากถ้าทางเข้านั้นแคบมาก ต้องนั่งยองแล้วใช้มือจับหัวไว้ แล้วค่อยขยับเข้าไป ไม่น่าเชื่อแค่ไม่ถึงห้าก้าวก็พบปากถ้าอีกข้างกว้างๆ เห็นถ้ำอีกถ้ำใหญ่โตมากและเห็นผูกนกบินเข้าอก เราใช้เวลาถ่ายรูปและเดินสำรวจไม่นานแล้วเราก็ต้องเดินทางต่อ แน่นอนฉันขอลงไปสำรวจด้านล่างด้วย ด้านล่างปากถ้ามีน้ำไหลออกมาจากปากถ้ำ มองดูเหมือนแค่กระแสนำ้ไหลเอื่อยๆ พอลองลงไปเดิน ความแรงของน้ำอาจทำให้เราล้มได้เหมือนกันถ้าไม่ตั้งหลักดีๆ ไกด์เอาเสื้อชูชีพมาให้สวมตอนแรกก็คิดในใจว่าน้ำตื้นๆแค่นี้เอง แต่ก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี พอเดินผ่านน้ำถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมต้องสวมชูชีพ การจะเดินทางต่อไปได้นั้นเราต้องโดดน้ำอีกแล้ว ฝากกล้องกับเจ้าหน้าที่แล้วกระโดดลงไปแล้วก็ลอยตามน้ำไปเรื่อยๆ จุดที่น้ำแรง มีหินมีตอไม้ ไกด์จะมายืนดักและคอยให้คำแนะนำ ลอยน้ำต้องเอาเท้ายื่นไปข้างหน้า เพื่อยันหิน ลอยมาเรื่อยเราจะพบกับถ้ำอีกถ้ำหนึ่ง จะผ่านถ้าน้ำไปได้ต้องใช้มือจับเชือกอย่างหลวมๆ แล้วไหลไปตามกระแสน้ำ ถึงปากถ้ำอีกฝั่ง เราใช้เวลาชื่นชมความของถ้ำ ถ่ายรูป แต่ที่แน่ๆ มือสั่นถ่ายรูปไม่ค่อยได้ หนาวก็หนาว เหนื่อยก็เหนือยๆ ขาเริ่มจะสั่นแล้ว เดินตามหินด้วยความระมัดวัง เพราะหินแหลมและคมด้วย แล้วก็เดินทางอีกนิดหนึ่งไปถ้ำเอเลี่ยน ก่อนถึงถ้ำเอเลี่ยนเห็นน้ำตกที่ผุดออกมากจากหน้าผาสวยมาก อดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายรูป ไม่มีขาตั้งกล้องก็วางกับหินนั่นแหละ เดินมาเรื่อยๆ ก็จะพบกับหัวเอเลี่ยน อยู่ตามผนังถ้า ที่เห็นอยู่ประมาณสามหัวได้ หน้าตามันเหมือนเอเลี่ยนจริง จุดนี้เป็นจุดสุดท้ายที่จะต้องกระโดด มันค่อนข้างสูงประมาณสามถึงห้าเมตรได้ สำหรับคนไม่กล้าโดดก็มีจุดให้เดินลงไปลงน้ำใกล้ๆ สำหรับฉันเกือบจะได้กระโดดเป็นคนสุดท้ายเพราะมัวแต่ถ่ายรูปอยู่ แต่คนที่อยู่ก่อนหน้าบอกให้โดดก่อน ระหว่างที่เดินไปยืนจุดที่จะกระโดด เขาบ่นออกมาว่าสูง สูง วินาทีที่ไปยืนก็ไม่คิดอะไรแต่พอมีคนพูดเท่านั้นแหละ ใจเริ่มแกว่ง ตัดสินใจรีบกระโดดลงน้ำ ขึ้นจากน้ำได้ก็ตะโกนต่อว่าเลย ว่าจะบ่นทำไม แล้วบอกให้รีบโดดลงมา ยิ่งบอกตัวเองว่าสูงก็ยิ่งกลัว โดดลงมาครบทุกคนแล้วก็ลอยไปตามน้ำไปยังทางออก ระหว่างทางไกด์ให้เราเกาะผนังถ้ำแล้วไปทีละคน ระหว่างที่เกาะอยู่ เจ้าหน้าที่ถามว่าไปไหม ก็เลยเกาะเจ้าหน้าที่ไปเป็นเหาฉลามอีกแล้ววันนี้ ถึงปลายทางถึงได้เข้าใจว่าทำไมต้องมาทีละคนข้างหน้าน้ำแรง ขึ้นจากน้ำได้ก็เดินขึ้นบันได ผ่านต้นจาก อ่านตามป้ายบอกว่าเป็นต้นไม้ดึกดำบรรพ์ ประเทศไทยเหลือน้อย ต้องนำเข้าจากลาว เดินพ้นป่าจากก็เจอกับป่าไผ่ ไม่ร้อนมากตัวยังชื้นอยู่ เดินไม่ไกลก็ถึงที่จอดรถ เดินทางกลับที่พักอาบน้ำกลับบ้าน ทริปนี้เน้นความสนุกและมันส์สะใจ เที่ยวสนุกมีความสุขกับธรรมชาติ วันที่ไม่มีเทคโนโลยีไม่มีสัญญาณมือถือ เราจึงพูดคุยกันมากขึ้น มองหน้าเห็นความรู้สึก เห็นแววตา เมื่อเจอคนที่มีนิสัยชอบเที่ยวแนวธรรมชาติเหมือนกันยิ่งคุยยิ่งสนุก